ได้อ่านกท. ของคุณเพียงดิน "ผมขอทำนายว่าสุญญากาศเกิดขึ้นเต็มรูปเมื่อใด เมื่อนั้นทักษิณจะถึงฆาต" แล้วไม่สบายใจเลยค่ะ เกิดความวิตกถึงขั้นวิตกจริตเลยนะคะ
ก็จากหัวข้อกท.ที่คัดมาจากบทความของนายปราโมทย์ นาครทรรพ มันบอกอะไรตั้งหลายอย่าง
มันบอกให้รู้ว่าศึกครั้งนี้เห็นทีจะไม่ง่าย แต่แรก ทั้งเขาและเราต่างก็คิดเหมือนๆกันว่า
หากขาดหัวขบวน(ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง) เรื่องน่าจะซาลงได้ แต่จากบทความ
แสดงให้เห็นว่าผลไม้พิษที่ออกมาจากต้นไม่พิษ มีจำนวนมากมายมหาศาล
ที่สำคัญขณะนี้ผลไม้บางลูกยังหล่นไปงอกรากอยู่บนพื้นแผ่นดินไทยไปแล้ว
และจำนวนก็คงมีไม่น้อย
เมื่อเป็นดังนี้ต่อให้ต้นตายไป ต้นใหม่ๆที่มีการกำเนิดขึ้นคงจะไม่ยอมถูกตอนหรือตาย
ไปโดยง่าย ผลประโยชน์เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งผลประโยชน์ส่วนตัวที่พวกนี้ถือเป็นสรณะ
ยิ่งน่ากลัว ตามความคิด ผลไม้เหล่านี้มีไปในทุกวงการ ไม่เฉพาะแค่ข้าราชการ
แต่ลุกลามไปยังเอกชนที่ทำการค้า นักวิชาการไร้สักัด(เรียกตัวเองว่านักวิชาการอิสระ)
และประชาชนอีกส่วนหนึ่ง
การปลูกฝังความเกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง มีมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน และไม่มีทีท่า
ว่าจะลดน้อยลง แต่ประการใด ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการแสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายเกลียดชัง
ก็ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลอย่างไม่อั้น จนแทบสำลักความสุขจากความทุกข์ของอีกฝั่ง
ภาพที่เกิด คือ คนเหล่านี้จะทำทุกวิถีทางที่จะแสดงตนเลือกข้างอย่างชัดเจน (ด้วย
หวังว่าจะได้รับประโยชน์ ทั้งที่มองเห็นชัดๆ และมาในรูปแอบแฝง)
คนเหล่านี้ เสพย์ความมีอำนาจ อย่างน้อยก็ทางความคิดว่าฝ่ายตัวถูก ทำอะไรก็ถูก
คิดอะไรก็ถูก(จึงเห็นว่าต่างก็พยายามจะแสดงตัวตนว่าคิดและเลือกฝ่ายใด คงกลัว
ตกสำรวจ เดี๋ยวจะไม่ได้ร่วมแบ่งปันผลประโยชน์)
คนกลุ่มนี้แหละค่ะที่เพิ่มจำนวนขึ้นมากจนน่าตกใจ แทรกซึมไปในทุกวงการ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นใหม่ๆ จนมีเหล่าขบวนการป่วนเมือง มีคนจำนวนหนึ่ง
ที่อาจวางเฉยแต่ในใจลึกๆก็นึกเชียร์อยู่เงียบๆ (จนลืมพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิด)
กลับมองความผิดเป็นความถูก กลับเห็นว่าบางครั้งการกำจัดคนอย่างคุณทักษิณนั้น
จะทำด้วยวิธีใดก็ได้ จะถูกจะผิดก็ไม่สนใจ ขอแต่เพียงให้กำจัดให้พ้นไป
โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เชื่อว่าเรามีคนที่คิดแบบนี้อีกไม่น้อย
ไม่นับรวมคนที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรง
เป็นสัจจธรรมของชีวิต คนเราตกอยู่ในความกลัว กลัวการเปลี่ยนแปลง
กลัวเสียผลประโยชน์ คนพวกนี้แหละค่ะที่จะเป็นอุปสรรคของการเปลี่ยนแปลง
แม้เมื่อขาดหัว คนเหล่านี้ก็คงไม่รามือโดยง่ายเพราะเกิดความกลัวว่าตนจะ
เดือดร้อนจากผลของการเลือกผิดข้าง
ดังนั้นการเขียนของนายปราโมทย์ จึงไม่ใช่การเขียนธรรมดา
แต่เป็นการเคาะกะลา เป็นการส่งสัญญาณ แจ้งข่าวให้เหล่าคนคิดผิด
ช่วยๆกันคิดที่จะกำจัดคุณทักษิณให้หายไปโดยเร็ว (อีกแง่หนึ่ง มันก็คงรู้ว่า
สุญญากาศ คงจะเกิดอีกไม่นาน)
แล้วพวกเราล่ะคะ พร้อมรับสภาพกันหรือยัง พวกเรามีกันมากพอที่จะนำพาการเปลี่ยนแปลง
ของประเทศหรือยัง นักธุรกิจนั้นไม่ยาก เพราะขอให้รู้ว่าอำนาจอยู่ที่ไหน ก็พร้อมจะไปเกาะอยู่
แล้ว ส่วนคนอื่นๆที่อยู่ในรูปแบบอื่นๆสิคะ เขาอาจเกิดความกลัวขึ้นมาจริงๆว่าจะถูกจัดการ
จะถูกสั่งสอนให้รู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก เขาจะรวมตัวกันก่อการเองโดยไม่มีหัวน่ะสิคะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งหนาว คนที่แยกไม่ได้แม้ว่าอะไรถูกอะไรผิด จะไม่แค่พาให้คุณทักษิณถึงฆาตสิคะ
แต่จะพาชาติไทยล่มสลายหายไปจากแผนที่โลกเอาเสียด้วย เพราะมั่นใจว่าคนเหล่านี้คงถือคติ
ว่า "แม้นเมื่อกูไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย" เหมือนที่เขาว่าตามคติจีน ที่ไอ้กันเดี๋ยวนี้เอา
ไปใช้ นั่นคือ "เมื่อบุกเข้าไปในประเทศไหน หยิบคว้าอะไรกลับประเทศได้ก็ทำ
สิ่งไหนเอากลับไปไม่ได้ก็เผาทำลายมันเสีย" ความคิดของคนเลว ผลที่เกิดมันก็เลวอย่างนี้แหละค่ะ
สวัสดีครับคุณป้าฯ
ระหว่างคนหนึ่งเมื่อถึงฆาตทำให้ชาติกำเนิดใหม่
ระหว่างคนหนึ่งเมื่อถึงฆาตทำให้ชาติล่มสลาย
ทางทฤษฎีเลือกไม่ยากครับ
แต่ในทางปฏิบัติเขาลงมือทำ-เราเพียงแค่ภาวนา
_____________
สิ่งที่น่าห่วงต่อมาก็คือ ชีวิตของเราๆท่านๆครับ ว่า...
จะมีใครห่วงอย่างจริงจังหรือเปล่า ?
จะมีใครเข้าใจพื้นฐานจิตใจของคู่ต่อสู้ในขณะนี้หรือปล่า ?
แม้ผมจะเชื่อในยุทธศาสตร์ที่ว่า ไม่ตายก็จุดไม่ติด ...
แต่หากคำพูดที่ว่า "ตายสิบเกิดแสน" จิตใต้สำนึกของผมก็อยากเป็นคนที่สิบกว่า
แต่หากคำพูดที่ว่า "มาแสนตายแสน" จิตใต้สำนึกผมก็อยากเป็นคนที่แสนกว่า
นั่นสิคะ ป้าก็ไม่อายที่จะบอกว่าอยากเป็นคนหลังๆเหมือนกัน
ทีนี้เราจะทำอย่างไรกับพวกพลังเงียบที่มีโมหจริตครอบงำ
พวกนี้คิดน้อย บ้างก็ไม่คิด แต่ทำตัวเป็นจรเข้ขวางคลอง
มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เห็นว่าที่มีอยู่เป็นอยู่อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว
คนเหล่านี้ไม่เคยคิดอะไรไกลไปกว่าหัวแม่เท้าของตัวเอง
มีปัจจัย 4 ครบบริบูรณ์(บ้างก็มีจนล้น) ก็ล้วนคิดว่า
พอแล้ว (ไม่ใช่พอเพียง) ใครจะมาเป็นเจ้าเข้าครอง
หากไม่กระทบความเป็นอยู่ของตนก็ไม่เห็นจะเดือดร้อน
ยังมีหน้าย้อนถามป้าอีกว่า แล้วที่เป็นอยู่ (ภายใต้รัฐบาลเด็กเวร)
ป้าเดือดร้อนอะไร บ้านก็ยังไม่ถูกยึด ข้าวก็มีกิน จะไปไหนก็มีรถพาไป
น้ำมันถึงจะแพงก็ใช่จะไม่มีเงินเติม เจอย้อนอย่างนี้ ป้าก็ใบ้รับประทานเหมือนกันค่ะ
ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร จะตอบเขาว่าก็สู้เพื่อลูกหลาน เขาก็คงจะย้อนอีกว่า
แล้วลูกหลาน มันจะเดือดร้อนอย่างไร เฮ้อ คิดไปคิดมา คนที่คิดอย่าง
คนที่ถามป้าเนี่ยคงมีอีกไม่น้อย ไม่ถูกจับไปสัมนาส่องแสงก็คงไม่รู้สึก
อีกรอบครับคุณป้าฯ ผมไม่ได้อายครับ แต่ผมกลัว ..
ไม่ได้กลัวตายนะครับ แต่กลัวการไม่มีชีวิตอยู่ ไม่ว่าชีวิตใครก็ตาม
อาจดูเห็นแก่ตัวไปนิด แต่อยากลบล้างคำพูดที่ว่าคนเลวๆตายยาก คนดีๆก็ต้องตายยากเป็น
ถึงที่ไม่ถึงที่นั่นอีกเรื่อง ... ที่ชอบหรือไม่ชอบนั่นอีกเรื่อง ...
คือมองที่สถานะของเรามากกว่า สถานะทางจิตใจ ความพร้อมที่จะตาย
หลายต่อหลายคนออกมาตีโพยตีพายคนนั้นไม่ทำอย่างนี้ คนนี้ไม่ทำอย่างนั้น
คำถามที่ว่าคุณทำอะไรได้ก็ทำไปเลย ต่างกรรมต่างวาระ
เวทีเล็กนิดเดียว ถ้าเป็นแกนนำทั้งหมดคงไม่มีที่ยืน ไม่มีคนทำเวทีแกนนำก็ไม่มีที่ยืน
ใครจะรักตัวเองก็รักไป จะรักภรรยาก็รักไป จะรักสามีก็รักไป จะรักครอบครัวก็รักไป จะรักประชาธิปไตยก็รักไป ฯลฯ
ใจกว้างหรือจะหลายใจก็เลือกกันเอา
แกนนำก็มีให้รักเหมือนกับเรา ต่างกันที่เขาเป็นแกนนำ
จะรอคนโสด ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีครอบครัวมาเสียสละเป็นแกนนำคงหากันนาน
พร้อมช่วยตรงจุดไหนก็ช่วยกันตรงจุดนั้นดีกว่า
พันธมิตรฯมุ่งมาที่ตัวบุคคล เรามุ่งไปที่การปกครอง เชื่อว่าหากต้องขาดหัว หางอาจแกว่งไปบ้างแต่ก็ไม่มากนัก
แล้วเราก็จะมีหัวใหม่ทดแทน ทดแทนด้วยความเท่าเทียมกันทางอุดมการณ์
ความเป็นตัวบุคคลอาจทำใจยาก แต่ก็ไม่นานเพราะเป้าหมายชัดเจน
เพียงแต่อย่าตั้งแง่เรียกร้องอะไรให้มันมากเกินข้อจำกัดของรูปขบวนเท่านั้นพอแล้ว
เป้าหมายมันชัดเจนขนาดนี้ จะไปถึงทางไหนได้ก็ไปเถอะครับ เหนื่อยก็หยุด เห็นอีกทางสบายกว่าก็ไปเดินทางนั้น แต่อย่าสร้างภาระ
ข้อจำกัดมันแตกต่างๆ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันเท่านั้นเอง
อย่างผมขอนั่งด่าผู้นำลิเบีย อยู่ในประเทศไทยผมสบายใจกว่าให้ไปด่าที่ลิเบียแน่นอน
ผมเชื่ออย่างนั้น ต่อให้เกิดสุญญากาศก็เถอะ
งั้นก็ขออีกรอบนะคะ (กลัวน้อยหน้า) ป้าว่าที่คุณวฒนงว่ามาถูกทู้กข้อค่ะ
เคยบอกเสมอว่า เป็นคนกล้าที่ตายแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ชัยชนะที่ได้
ก็ยังไม่ได้ เสพย์เลย ตายไปแล้วก็ไม่รู้อีกว่าชนะจริงหรือเปล่า
สู้ออกไปแสดงพลังอย่างสงบว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร
ก็น่าจะพอแล้ว ส่วนจะมีอะไรต่อๆไป ก็รอแกนนำแล้วกัน อะไรที่
ขัดความรู้สึกมาก เราก็เอามาตรอง ไม่สบายใจก็ไม่ต้องทำตาม
บางครั้งข้อเสียเราก็อาจเป็นตรงนี้ คือเราชอบโชว์พาว โชว์ให้เห็นว่า
เราคิดเองเป็น เราไม่ต้องตามแกนนำทุกเรื่อง อันนี้แหละค่ะที่สู้พวกอันธพาลไม่ได้
ฝ่ายอันธพาลนั้น เขาอาจจะมีสมองหรือไม่มีก็ไม่ทราบ แต่เขาไม่เคยคิด
แกนนำสั่งทำอะไรก็ทำ สั่งให้ไปยึดสนามบินก็ไป ไม่เคยคิดได้เองว่า
อะไรถูกอะไรควร
ต่างกับของเราลองคุณวีระบอกให้ไปเผาทำเนียบ ก็อยากทราบเหมือนกันว่า
จะมีคนทำตามกี่คน ข้อดีของพวกเราคือ เราคิดทุกครั้ง เรามีสมองไตร่ตรองได้
ไม่ใช่วัวใช่ควาย ที่เขาฮุยเลฮุยไปทางไหนก็ไป ป้าว่าแบบเราน่าจะคงทนกว่านะคะ
เราไม่ได้ยึดติดตัวบุคคล ใครจะนำก็ได้ ขอให้นำให้ถูกทางเท่านั้นเอง
คนพร้อมที่จะฟังที่จะคิดตามอยู่แล้ว จุดหมายที่ยิ่งใหญ่ตรงกัน แม้จะไปไม่ค่อย
พร้อมกัน แต่เราก็พยายามกันอยู่ จริงไหมคะ วันใดที่ขับเคลื่อนไปใน
ทิศทางเดียวกัน ทำไปพร้อมๆกัน อุปสรรคขวากหนามก็คงต้านไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น