ตามปกติ เท่าที่สามัญสำนึกจะนึกได้
มันต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือคะ
ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่
แล้ว อย่างมากก็ทำได้แค่ตักเตือน
เรื่องจอมพลขึ้นเวทีพันธมิตรน่ะค่ะ
ผบ.สส.(ดูเหมือนจะเป็น เจ้านาย
โดยตรง) ท่านออกมาตัดปัญหาเสียอย่างนี้
ไม่ถูกหรอกค่ะ ขนาดคนธรรมดาที่เป็นหัวหน้า
ทำผิดก็ต้องได้รับโทษมากกว่าลูกน้องอยู่แล้ว
นี่เป็นถึงนายทหาร ที่ถือระเบียบวินัยและ
คำสั่งของผู้บังคับบัญชา ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด
ยิ่งต้องโดนหนักขึ้น ไม่ใช่ว่าจะได้รับการผ่อนผัน
เคยได้ยินแต่ว่าผู้ใหญ่เขาไม่ลงโทษเด็กเพราะมันยังเด็ก
คงยังไม่รู้อะไร แต่ถ้าโตแล้ว รู้จักคิดแล้ว ยังทำผิดอีก
ต้องถือว่าไม่ได้ทำไปเพราะไม่รู้ว่าผิด แต่เป็นการกระทำ
โดยจงใจ ท้าทายอำนาจรัฐเป็นอย่างยิ่ง ปล่อยไว้ไม่ลงโทษ
หรือทำแค่"ตักเตือน" ก็จะเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
ปกครองใครไม่ได้หรอกค่ะถ้าเป็นอย่างนั้น
การตัดสินคดีก็ต้องนับเอาตามการกระทำผิด
การทำผิดซ้ำซาก จงใจยิ่งต้องเอาให้หนัก
เช่นว่าปรากฎกายหนึ่งครั้งมีโทษจำ 5ปี
ถ้าทำถึงสองวันติดก็ต้องโดน10ปี หากยัง
ทำซ้ำอีกก็ยิ่งต้องเพิ่มโทษขึ้นไปอีก
ฐานจงใจและท้าทาย
ทางที่ดี น่าจะเอาผิดผู้บังคับบัญชาด้วยน่ะนา
ฐานมีลูกน้องไม่ดี ไม่เชื่อฟัง เพราะขนาดมีหนังสือ
สั่งการไปแล้วเมื่อต้นเดือน ลูกน้องยังไม่รับฟัง
การจะมาอ้างว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว รับโทษอื่นใดไม่ได้
ไม่ถูกหรอกค่ะ ยิ่งใหญ่ยิ่งต้องรับมากกว่าขอยืนยัน
ID # 889970 - โพสต์เมื่อ : 2008-07-12 09:50:02 _ ปิดข้อความ แก้ไข
ขอนำเสนอข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องคัดมาจากที่
คุณชาวสุวรรณภูมินำเสนอ และตรงกับคำให้
สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของรองโฆษกกองทัพบก
กับสถานีข่าวTNN24ช่อง7ของทรูดังนี้ค่ะ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
มาตรา ๖๔
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่น
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องในการจัดทำบริการ สาธารณะ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งและวรรคสองจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะ เพื่อคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันมิให้มีการผูกขาดตัดตอนในทางเศรษฐกิจ
หมายเหตุ - กฎหมายเฉพาะในที่นี้หมายถึง พรบ.ว่าด้วยวินัยทหาร พศ.2476
หมวด ๔ หน้าที่ของชนชาวไทย
มาตรา ๗๔
บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการ บ้านเมืองที่ดี
ในการปฏิบัติหน้าที่และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนบุคคลตามวรรคหนึ่ง ต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง
ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งละเลย หรือไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง บุคคลผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิขอให้บุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือผู้บังคับบัญชาของบุคคล ดังกล่าว ชี้แจง แสดงเหตุผล และขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองได้
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476
มาตรา ๕ วินัยเป็นหลักสำคัญที่สุดสำหรับทหาร เพราะฉะนั้น ทหารทุกคนจักต้องรักษา โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืนท่านให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิด ตัวอย่างการกระทำผิดวินัยทหาร มีดังต่อไปนี้
๑.) ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เหนือตน
๒.) ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย
๓.) ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของทหาร
๔.) ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร
๕.) เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ
๖.) กล่าวคำเท็จ
๗.) ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร
๘.) ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำความผิดตามโทษานุโทษ
๙.) เสพเครื่องดองของเมาจนเสียกิริยา
มาตรา ๖ ผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่จัดการระวังรักษาวินัยทหารที่ตนเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่นั้น โดยการกวดขัน ถ้าหากว่าในการรักษาวินัยทหารนั้น จำเป็นต้องใช้อาวุธ เพื่อทำการปราบปรามทหารผู้ก่อการกำเริบก็ดี หรือเพื่อบังคับทหารผู้ละทิ้งหน้าที่ให้กลับทำหน้าที่ของตนก็ดี ผู้บังคับบัญชาและผู้ที่ช่วยเหลือในการนั้นจะไม่ต้องรับโทษ ในการที่ตนได้กระทำไป โดยความจำเป็นนั้นเลย แต่เมื่อมีเหตุดั่งกล่าวนี้ ผู้บังคับบัญชา จักต้องรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือตนและรายงานต่อไปตามลำดับชั้นจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยเร็ว
มาตรา ๗ ทหารผู้ใดกระทำผิดต่อวินัยทหารจักต้องรับทัณฑ์ตามวิธีที่ปรากฏในหมวด 3 แห่งพระราชบัญญัตินี้และอาจต้องถูกปลดจากประจำการ หรือถูกถอดจากยศทหาร
มาตรา ๑๔ ถ้าผู้มีอำนาจบังคับบัญชาได้ลงทัณฑ์ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร ต้องส่งรายงานการลงทัณฑ์นั้น เสนอตามลำดับชั้นจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
มาตรา ๒๙ ถ้าผู้บังคับบัญชาได้รับเรื่องร้องทุกข์เมื่อใด ต้องรีบไต่สวนและจัดการแก้ไขความเดือดร้อน หรือชี้แจงให้ผู้ยื่นใบร้องทุกข์เข้าใจ จะเพิกเฉยเสียไม่ได้เป็นอันขาด ผู้ใดเพิกเฉยนับว่ากระทำผิดต่อวินัยทหาร
กล่าวโดยสรุป หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาทหารตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว ได้กำหนดไว้ดังนี้
๑) รักษาวินัยทหารโดยเคร่งครัดเสมอ (มาตรา ๕)
๒) ตักเตือน สั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษตามมาตรา ๕ (๘)
๓) เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้อาวุธในการรักษาวินัยทหาร เพื่อปราบปรามทหารผู้ก่อการกำเริบ หรือ เพื่อบังคับทหารผู้ละทิ้งหน้าที่ให้กลับทำหน้าที่ของตนแล้ว ผู้บังคับบัญชาจะต้องรายงานเหตุดังกล่าวไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือตนและรายงานต่อไปตามลำดับชั้นจนถึง รมว.กห.(มาตรา ๖)
๔) เมื่อได้ลงทัณฑ์นายทหารชั้นสัญญาบัตร จะต้องส่งรายงานการลงทัณฑ์นั้นเสนอตามลำดับชั้นจนถึง รมว.กห. (มาตรา ๑๔)
๕) เมื่อได้รับเรื่องร้องทุกข์ ต้องรีบไต่สวนและจัดการแก้ไขความเดือนร้อน หรือชี้แจงให้ผู้ร้องทุกข์เข้าใจ จะเพิกเฉยไม่ได้ หากผู้บังคับบัญชาคนใดเพิกเฉย ถือว่าผู้บังคับบัญชากระทำผิดต่อวินัยทหาร (มาตรา ๒๙)
กฎหมายอาญาทหาร
มาตรา 30 ผู้ใดเป็นทหารและมันขัดขืน หรือละเลยมิกระทำตามคำสั่งอย่างใด ๆ ท่านว่ามันมีความผิด ต้องระวางโทษตามสมควรแก่เหตุดังจะว่าต่อไปนี้ คือ
1) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู ท่านให้ลงอาญามันเปนสามสฐาน คือสฐานหนึ่งให้ประหารชีวิตเสีย สฐานหนึ่งให้จำคุกจนตลอดชีวิต สฐานหนึ่งให้จำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไปจนถึงยี่สิบปี
2) ถ้ามันมิได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู แต่ได้กระทำในเวลาสงครามหรือในเขตร์ซึ่งอยู่ในอำนาจกฎอัยการศึก ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันตั้งแต่ปีหนึ่งขึ้นไปจนถึงยี่สิบปี
3) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นในเวลาหรือที่อื่นนอกจากที่ว่ามาแล้ว ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันไม่เกินกว่าห้าปี
มาตรา 31 ผู้ใดเปนทหาร แลมันขัดขืนมิกระทำตามคำสั่งอย่างใด ๆ โดยมันแสดงความขัดขืนด้วยกิริยา หรือวาจาองอาจต่อหน้าหมู่ทหารถืออาวุธด้วยไซ้ ท่านว่ามันมีความผิด ต้องระวางโทษตามสมควรแก่เหตุ ดังจะว่าต่อไปนี้ คือ
1)
ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู ท่านให้ลงอาญามันเปนสามสฐาน คือ สฐานหนึ่งให้ประหารชีวิต สฐานหนึ่งให้จำคุกจนตลอดชีวิต
สฐานหนึ่งให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปจนถึงยี่สิบปี2) ถ้ามันมิได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู แต่ได้กระทำในเวลาสงครามหรือในเขตร์ซึ่งอยู่ในอำนาจกฎอัยการศึก ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันตั้งแต่สามปีขึ้นไปจนถึงยี่สิบปี
3) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้น ในเวลาหรือที่อื่นนอกจากที่ว่ามาแล้ว ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันไม่เกินกว่าสิบปี
มาตรา 32 ผู้ใดเปนทหารและมันขัดขืน หรือละเลยมิกระทำตามข้อบังคับอย่างใด ๆ ท่านว่ามันมีความผิด ต้องระวางโทษตามสมควรแก่เหตุดังจะว่าต่อไปนี้ คือ
1) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันตั้งแต่ปีหนึ่งขึ้นไปจนถึงสิบปี
2) ถ้ามันมิได้กระทำคามผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู แต่ได้กระทำในเวลาสงคราม
หรือในเขตร์ซึ่งอยู่ในอำนาจกฎอัยการศึกไซ้ ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันตั้งแต่สามเดือนขึ้นไปจนถึงห้าปี
3) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นในเวลาหรือที่อื่นนอกจากที่ว่ามาแล้ว ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันไม่เกินกว่าสามปี
มาตรา 33 ผู้ใดเปนทหารและมันขัดขืนมิกระทำตามข้อบังคับอย่างใด ๆ โดยมันแสดงความขัดขืนนั้นด้วยกริยา หรือวาจาองอาจต่อหน้าหมู่ทหารถืออาวุธด้วยไซ้ ท่านว่ามันมีคามผิดต้องระวางโทษตามสมควรแก่เหตุ ดังจะว่าต่อไปนี้ คือ
1) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันตั้งแต่สามปีขึ้นไปจนถึงยี่สิบปี
2) ถ้ามันมิได้กระทำความผิดนั้นต่อหน้าราชสัตรู แต่ได้กระทำในเวลาศึกสงครามหรือในเขตร์ ซึ่งอยู่ในอำนาจกฎอัยการศึก ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันตั้งแต่ปีหนึ่งขึ้นไปจนถึงสิบปี
3) ถ้ามันได้กระทำความผิดนั้นในเวลาหรือที่อื่นนอกจากที่ว่ามาแล้ว ท่านให้ลงอาญาจำคุกมันไม่เกินกว่าห้าปี
หมายเหตุ - ถ้อยคำตัวบทที่ปรากฏนี้ เป็นถ้อยคำที่ใช้ในสมัยรัตนโกสินทรศก 131 และเป็นไปตามที่ได้ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา ฉะนั้น คำบางคำจึงมิได้เป็นไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานในปัจจุบัน
ประมวลกฎหมายอาญา
หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใดหรือสมคบกัน เพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใด ๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฎหรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฎแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
มาตรา 115 ผู้ใดยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ ให้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้ก่อการกำเริบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถ้าความผิดนั้นได้กระทำลงโดยมุ่งหมายจะบ่อนให้วินัยและสมรรถภาพของกรมกองทหารหรือตำรวจเสื่อมทรามลง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่
เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือ
ติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ
หรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อ
ความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
หากป้าเป็นคนตัดสิน ขอยกข้อที่ทำตัวใหญ่ไว้นะคะ
เพราะพันธมิตร ถือเป็นศัตรูของรัฐโดยแท้จริงและ
เปิดเผย แต่เป็น
ราชศัตรู
หรือเปล่าไม่แน่ใจแต่อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้ทำได้เพียง
ตักเตือน
กองทัพควรซื้อปี๊บแจกกันแล้วล่ะค่ะ เพราะขนาดมี
หนังสือสั่งการ ทหารยังไม่ปฏบิติตาม สงสัยต้อง
ยื่นถอดถอนทั้งกองทัพล่ะกระมัง เพราะประชาชนไม่ไว้ใจ
ให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติแล้วล่ะค่ะ
เกิดสั่งให้ไปรบ มีบางท่านอ้างว่าไม่เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชา
แล้วปฏิเสธการทำตามคำสั่ง ทีนี้ละก็ ดูไม่จืดเอาเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น