ก่อนจะมีการแก้ปัญหา ก็ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นก่อนจริงไหมคะ ถ้าไม่มีปัญหาจะไปแก้กันทำไม
แล้วปัญหาคืออะไร ปัญหาก็น่าจะเป็นเมื่อคนจำนวนหนึ่งตกลงกันไม่ได้ พูดคุยกันอย่างปกติ
ไม่ได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ใช่ปัญหาอะไรเอ่ยสักหน่อยที่คนหนึ่งเป็นผู้ตั้งคำถามให้
คนอื่นตอบ
เมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ แล้ววิธีใดจึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีล่ะคะ เริ่มต้นต้องเห็นปัญหาก่อนค่ะ
พระพุทธองค์ท่านว่าทุกข์เกิดจากเหตุ จะดับทุกข์ได้ต้องดับต้นเหตุ เอาล่ะเราจะเว้นไปไม่กล่าวว่า
รัฐบาลนี้มองไม่เห็นต้นเหตุแห่งทุกข์นะคะ เพราะตามืดบอด มีคนเขียนหลายรายแล้วว่ารัฐบาล
มองไม่เห็นต้นเหตุแห่งปัญหา หรือไม่ก็มองเห็นไม่ตรงกับชาวบ้านอย่างเราๆ เพราะมัวแต่ไปคิดว่า
ปัญหาทั้งหมดล้วนเกิดมาจากบุคคลเพียงคนเดียว(อันที่จริงก็น่าภูมิใจนิ มีอย่างที่ไหน เป็นผู้ทรง
อิทธิพลขนาดนั้น เป็นต้นเหคุแห่งปัญหาทั้งปวงในประเทศนี้ คนธรรมดามีหรือจะทำได้)
แต่ที่จะเขียนวันนี้ไม่ใช่เรื่องการแก้ปัญหาโดยมุมมองที่ผิดหรอกค่ะ แต่อยากจะเขียนว่า นอกจากมอง
ปัญหาไม่ตรงจุด แล้ว ยังชอบที่จะคิดแก้ปัญหาเอาเอง เรียกว่าเมื่อรู้ว่ามีปัญหา เมื่อคิดจะแก้ แทนที่
จะไปถามคนที่เขามีปัญหาจริง ว่าอะไรคือปัญหา(ที่คับข้องใจ) แล้วนั่งลงช่วยกันถก เพื่อหาทางคลี่
คลายปัญหา ซึ่งวิีธีนี้ก็น่าจะดีที่สุด เพราะคนที่มีปัญหาเขาย่อมรู้ดีว่าอะไรคือเหตุที่มำให้เกิดปัญหา
แต่มันไม่อย่างนั้นสิคะ รัฐบาลนี้เขาคงคิดว่าเขาเป็นเทพยดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องนั่งเทียนก็มองเห็น
ทางแก้ได้ ไอ้ที่จะให้ไปนั่งปรึกษาหารือ ไม่มีทาง(คงกลัวพบวิธีแก้ที่แท้จริง) อันที่จริงเทวดาตัวจริงก็ยังไม่รู้เลยค่ะ
ว่าความทุกข์ยากของคน ความต้องการของคนเดินดินคืออะไร เห็นได้จากคนต้องต้องไปบนบานศาลกล่าว
ว่าอยากได้อะไร ทุกขร้อนอะไร พร้อมกับเสนอเครื่องเซ่นสังเวย สิ่งของแก้บน มากน้อยตามผลที่ขอทั้งสิ้น
เสียแต่เทวดาบางองคก็คงมีคนมาขอเยอะ เลือกเครื่องเซ่นสังเวยไม่หวาดไม่ไหว ไอ้ที่ขอเปล่าๆโดยไม่มีออฟเฟอร์
พ่วงท้ายเลยไม่ได้รับการเหลียวแล ว้ายผิดเรื่องวกไปไกล กลับมาเรื่องที่จะเขียนว้นนี้
ก็เรื่องการแก้ปัญหาไงคะ อย่างน้อยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการแก้ปัญหาของรัฐบาลเด็กก็สองครั้งสองคราแล้ว
ครั้งแรกเมื่อมีปัญหาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ทำทีทำท่าว่าจะแก้ แต่ขอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาก่อน
ชาวบ้านชาวช่องแอบหลงดีใจว่าคราวนี้ล่ะวะ รัฐบาลเอาจริง แล้วก็ต้องคณะกรรมการขึ้นมา(ไม่รู้ป่านนี้ปรึกษา
หารือกันไปถึงไหนแล้ว)แต่มีข้อแม้นะคะ คณะกรรมการชุดนี้ต้องไม่มีนักการเมืองเข้าไปยุ่มย่าม
อ้าวเฮ้ยเว้ย ก็รัฐธรรมนูญมันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กระทบกับทุกคน จะให้ประชาชนทั้งประเทศเข้าไปถกกัน
มันทำไม่ได้ไง(ไม่งั้นต้องสร้างรัฐสภาให้ใหญ่เท่าประเทศมั้ง...กินกันอิ่มจนอ้วกเลยทีเดียว) ดังนั้นจึงต้องใช้
ตัวแทนของประชาชน ก็นักการเมืองนี่แหละ ผู้แทนราษฎรจึงควรมีสิทธิ์มีเสียงที่จะเข้าไปดู ไปแล ว่าเขาจะเอาอย่างไรกัน
แล้วไอ้ที่ว่าจะแก้ นั้นแก้กันยังไง แก้เพื่อใคร แก้แล้วจะดีจริงหรือเปล่า แต่ก็ออกมาตีกันเสียแล้วว่าห้ามไม่ให้นักการเมือง
เข้าไปยุ่งเกี่ยว
เอาล่ะผ่านไปตัวอย่างหนึ่ง พอผ่านมาเกิดปัญหาหวยออนไลน์ ซึ่งจริงๆแล้วมีปัญหามานาน ชาวบ้านรู้ว่าต้นตอของปัญหาคืออะไร
เว้นแต่รัฐบาลทำซื่อบื้อ ตาบอดตาใส ว่าไม่รู้เรื่อง เมื่อก่อนจะมีมติให้ทำก็ตั้งคณะกรรมการไปชุดหนึ่งแล้วนา ผลออกมาว่าจะทำ
แต่แล้ววันดีคืนร้าย คิดอะไรไม่ออก ว่าจะกลบเรื่องชั่วของตนได้ไง ก็โพล่งออกมาว่าจะเลิก อ๋ายตายแล้วทำได้ไง ไอ้บริษัท
รับสัมปทานก็โวย คนขายที่ไปเข้าคิวรอเป็นผู้จำหน่ายก็โวย (บอกตรงๆชาวบ้านเขาไม่เดือดร้อนหรอก จะมีหรือไม่มีน่ะ
คนที่เขาไม่เล่นหวย ไม่ซื้อหวย เขาก็ไม่สนใจ ไอ้คนที่เล่นหวยเขาก็ไม่เดือดร้อน เพราะหวยใต้ดินก็มีให้แทงออกกลาดเกลื่อน)
เอาล่ะสิทีนี้ เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องแก้ แน่นอนสำหรับรัฐบาลนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าตั้งคณะกรรมการ อ๊ะๆ อย่างเคย
ประธานคณะกรรมการที่มาจากสมาคมพ่อค้าอะไรเนี่ยแหละ ออกมาแถลงข่าวเลยว่า "ในการศึกษาผลกระทบครั้งนี้
จะไม่มีผู้ค้าสลากเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย(แม้ว่าจะร้องขอร่วมมาก็ตาม)" อ้าวพี่ ก็ผุ้ค้าเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง
ทำไมไม่ให้เขาเข้าไปชี้แจงถึงปัญหา แล้วพวกพี่ๆมานั่งถกกันเอง มันจะไปได้เรื่องอะไร ถามจริงๆเถอะ ในคณะกรรมการ
(ไม่รู้ว่ามีทั้งหมดกี่คน)มีคนเล่นหวย ซื้อลอตเตอรี่กันกี่รายไม่ทราบ แล้วมันจะรู้ปัญหาจริงๆไหมเนี่ย
นี่แหละค่ะที่อยากบอกเล่า ว่าการแก้ปัญหาที่ตั้งคณะกรรมการมาถกกันเองเนี่ยชอบกันจั๊ง หรือเป็นวิธีตอบแทนพวกพ้อง
นักวิชาการและผู้มีอุปการคุณ ให้ได้มีหน้ามีตา เวลากรอกประวัติในหนังสืองานศพจะได้ใส่ไว้ว่าเคยเป็นคณะกรรมการ
ประโยชน์ก็คงมีแค่นี้ เพราะคงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น