วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่องของเขมร

เกิดเรื่องราวใหญ่โต เพียงเพราะเรามีคนที่สมองน้อย มีความเป็นเด็กมากมานำรัฐ
ความคิด การกระทำมันเลยสะท้อนวุฒิภาวะออกมาว่าอ่อนด้อยเพียงใด

การตอบโต้เขมรอย่างรุนแรงด้วยการเรียกฑูตกลับนับเป็นการตอบโต้ที่รุนแรง
มากๆในทางการฑูต มันเหมือนเป็นการประกาศท้ารบโดยไม่ได้ยกทัพไปเท่านั้นเอง

แล้วมาดูว่าประเทศไทยเคยเรียกฑูตกลับไหม เคยค่ะ เมื่อสมัยนายกฯทักษิณหากยังจำกันได้
แล้วคงไม่ลืมว่าเหตุที่เรียกฑูตกลับคือการเผาสถานฑูต
ไม่ใช่แค่เรียกฑูตกลับแต่เรายังได้ส่งเสียงคำรามตามไปด้วยว่าถ้าไม่เรียบร้อยภายใน
24 ชั่วโมง เราจะจัดการขั้นรุนแรง

ดูเอาเถิดค่ะ เหตุผลในครั้งกระนั้นเทียบกับครั้งนี้มันเป็นอย่างไร การตอบโต้เขมรในทันที
เพียงเพราะเขาทำไม่ถูกใจ มันเป็นภาวะวิสัยของผู้ใหญ่หรือคะ ผู้ใหญ่น่ะต่างจากเด็ก
ตรงที่มีความคิด รู้จักควบคุมอารมณ์ โกรธน่ะ โกรธได้ค่ะ ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน โกรธได้
แต่หากมีวุฒิภาวะพอ ต้องยั้งคิด คิดทบทวนก่อนถึงผลได้ผลเสีย ไม่ใช่พอได้ยินปั๊บลมออกหู
จัดการตัดความสัมพันธ์ในทันที

มันดูอ่อนด้อย ที่สำคัญมันไม่ใช่เด็กคนเดียว แม้แต่ไอ้แก่ๆที่อยู่รอบข้างก็ดันมีนิสัยเป็นเด็ก
เรื่องมันก็เลยกลายเป็นขนมผสมน้ำยา พาชาติตกอยู่ในอันตราย

วิถีทางการฑูตไม่มีไม่รู้จัก นึกว่าตัวเองเป็นพี่เบิ้ม อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ได้หรอกค่ะ
เพราะถ้าเป็นพี่เบิ้มจริง ใจก็ต้องเป็นพี่เบิ้มด้วย คนที่คนอื่นเขาจะนับหน้าถือตานั้นต้อง
มีครบ ริจะเป็นนักเลง ใจต้องกว้าง ต้องไม่ใช่คนหูเบา หวั่นไหวไปซะทุกเรื่อง

แล้วที่สำคัญ ได้หยุดคิดไหมคะ ว่าที่ทำไปน่ะทำไปเพราะอะไร เบื้องต้นแถลงว่าไม่พอใจ
ที่เขาตั้งนักโทษของตนเป็นที่ปรึกษา แล้วมาไถว่าเคืองที่เขายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า
ถึงจะขอตัวไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เขาก็จะไม่ส่งตัวกลับมาให้ เพราะเชื่อว่าการตัดสิน
คุณทักษิณเป็นคดีการเมืองที่ไม่ยุติธรรม

เท่านั้นแหละผู้นำไทยตบะแตก ข้อแรกคือเสียหน้า ที่เราด่าว่าคุณทักษิณมากว่าสามปี
มันไม่เชื่อในประเทศไม่พอ เขมรยังไม่เชื่ออีก มีอย่างที่ไหน คนล้มเหลวทางชื่อเสียงอย่างนี้
ตั้งเป็นที่ปรึกษาได้ไง เราเกลียดต้องเกลียดด้วยสิ (แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่าเด็ หรือคะ)

แต่ที่น่าสงสัยคือข้อหลังมากกว่าที่เหมือนตีขนดหางเอาเลยทีเดียว เต้นกันเป็นเจ้าเข้า
เพียงเพราะเขากล่าวหาว่าระบบการตัดสินของไทยมันไม่ยุติธรรม (อ๊าว ชาวบ้านชาวช่ิอง
เขาก็เห็นกันทั่ว) นั่งทับขี้เอาไว้ แล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็น ถึงตัวเองนั่งทับไว้ แล้วบอกว่า
มองไม่เห็นแต่กลิ่นน่ะมันตรลบอบอวล เหม็นคลุ้งไปทั่ว ปิดไม่มิดหรอก

แล้วมาลองคิดดูว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่พอ มีวุฒิภาวะพอ ต้องหยุดคิด แล้วนับหนึ่งไปยันสิบหลักร้อย
ค่อยพูดจา(ฮัมเป็นเพลงด้วยก็ได้ค่ะ) ไม่ใช่ว่าคิดอะไรปุ๊บ พูดปั๊บ ปฏิบัติการซ้ำ มันก็พลาด
อย่างนี้แล แล้วทีนี้จะกล้าถอนหรือ ก็คงได้แต่ทำพลาดซ้ำลงไปอีก

ซึ่งอันที่จริงการที่เขมรเขาแต่งตั้ง หากทำใจเป็นอุเบกขา ย่อมต้องชื่นชมยินดี ตามคำพระ
ที่ว่ายินดีที่เห็นคนอื่นได้ดี นี่อะไรทำตัวเป็นนางอิจฉาร้องกรี๊ดๆ ดิ้นเร่าๆ โกรธเคืองเขาแทบ
เป็นบ้า เขาจะรู้สึกสังเวชไหมล่ะเนี่ย

ส่วนเรื่องส่งตัวกลับยิ่งต้องนิ่งให้มากกว่าอีก เพราะ หนึ่งคุณทักษิณยังไม่ได้ไปอยู่ที่เขมร
สองเราเลยยังไม่ได้ขอตัวไปอย่างเป็นทางการ สามหากขอไปจริง เราเองก็ยังไม่รู้ไม่ใช่หรือ
ว่าเขาจะไม่ส่งจริงไหม ทำไมไปตีนตนไปก่อนไข้ แล้วเกิดรีแอกชั่นเร็วนักล่ะ พระท่านว่า
อย่าไปคิดถึงแต่เรื่องในอดีต กังวลในเรื่องของอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งที่
เกิดแล้วแก้ไขไม่ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิด ก็อย่ามัวไปกังวล เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิด
จริงหรือเปล่า

ปัญหาปัจจุบันก็สุมรุมอยู่บนหัวมากมายไม่มีปัญญาแก้ ปากท้องของประชาชนเป็นอย่างไร
ไม่เคยสนใจ ไปตัดสัมพันธ์ทางการฑูต ชาวบ้านบริเวณชายแดน คนที่ไปทำมาค้าขายในเขมร
จะเป็นอย่างไรจากการหุนหันพลันแล่นในครั้งนี้ เคยห่วงไหม เคยคิดรับมือไว้ก่อนหรือเปล่า
หรือพอโกรธปุ๊บ มันหน้ามืดตามัว คิดอะไรไม่ทัน

ขอจบเรื่องนี้ว่า เพื่อนโทร.มาหา เล่าให้ฟังว่าไปประชุมกรรมการที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
เมื่อเลิกประชุม คณะกรรมการคนหนึ่ง(ท่าทางคงเป็นอำมาตย์)ได้หันมาบอกเพื่อนว่า
"อย่าไปเข้าข้างเขมรนะ" คำพูดนี้บอกอะไรคะ มันบอกเหมือนอย่างกับที่โพลล์ออกมา
หรือเปล่า ที่ว่าประชาชนสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง
คำพูดนี้ก็ไม่น่าจำเป็นสิคะ ก็คนเขาเห็นด้วยแล้วนี่ แต่การที่ยังต้องมากล่อม มาสั่ง
มันแสดงให้เห็นว่าตัวเองก็รู้ ว่าที่ทำไปไม่ถูก เลยกลัวชาวบ้านไปเข้าข้างเขมร ใช่ไหม?
มีอย่างที่ไหน มันเกิดอะไรขึนในประเทศนี้ ดันมีคนไปเห็นอกเห็นใจ และเข้าข้างประเทศอื่น
มากกว่าประเทศตัวเอง บริหารประเทศกันอย่างไรเนี่ย คนไม่รักกันไม่พอ ยังไม่รักชาติกันอีก

น่ากลัว น่ากลัว

ไม่มีความคิดเห็น: