Sat, 12/05/2009 - 08:25 | by ป้าปากเกร็ด | Report topic
เมื่อคืนตอนดึก ให้บังเอิญได้ชมรายการทางสถานีประชาชน เป็นรายการที่ดร.วิบูลย์แช่มชื่น
คุยกับ คุณปลื้ม ด้วยเรื่องของ "65โครงการมาบตาพุด..ใครต้องรับผิดชอบ"
ฟังแล้วก็เศร้าใจ เพราะทั้งสองท่านสรุปว่าปัญหาที่เกิด น่ากลัวมากๆ ดร.วิบูลย์ท่านว่า
การตัดสินเป็นการตัดสินย้อนหลัง เพราะโครงการเหล่านั้น ได้รับอนุญาตไปเมื่อใช้รธน.
ปี 40 แต่เมื่อตัดสินได้อิงกับรธน.ปี 50 ซึ้งเพิ่มเติม เนื้อหาขึ้นมา
คุณปลื้มเกรงว่าการตัดสินตามตัวบทกฎหมายเป๊ะ โดยไม่มองมุมกว้างกว่านั้นน่าเป็นห่วง
ความสูญเสียน่าจะมีมากกว่า สามแสนล้าน เพราะต่อไป คนจะไม่กล้ามาลงทุน เสียความ
เชื่อมั่น เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก นั่นคือ เมื่อรัฐอนุญาตโดย
กระทรวงอุตสาหกรรม แต่ถูกโค่นทำลายโดยศาล
แสดงให้เห็นว่าบ้านนี้เมืองนี้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีความหมายอีกต่อไป
ไม่ว่าจะออกมาตรการหรือสั่งการใดๆออกไป อาจถูกสอยร่วงเอาง่ายๆ เลยคิดเอง
ต่อไปว่า บริษัทที่เสียหายน่าจะฟ้องรมต.และรัฐบาลที่อนุญาต เสียด้วย เอาให้มันวุ่น
หนักเข้าไปอีก เพราะแค่นี้น่าจะกวนน้ำให้ขุ่นไม่พอ ควรจะป่วนให้พังกันไปเลย
คุณปลื้มสรุปว่า ปัญหาในประเทศนี้เกิดมาตั้งแต่ศาลได้มีคำสั่งให้การเลือกตั้ง
วันที่ 2 เมษา 2549 เป็นโมฆะ โดยดร. วิบูลย์ เสริมว่าที่โมฆะในครั้งนั้นเพราะ
ไปตัดสินกกต.(ชุดที่จัดการเลือกตั้ง)ทำผิดเพราะไปจัดให้คนลงคะแนนหันก้น
ออกนอกคูหา (นัยว่าคงไม่สุภาพ คริคริ)
หลังจากนั้น อำนาจตุลาการวิบัติ เอ๊ยไม่ใช่ตุลาการภิวัฒน์ต่างหาก ก็เดินหน้า
อย่างเข้มข้น ทำการตัดสินอย่างยุติ ความเป็นธรรมมาโดยตลอด ไล่ไปตั้งแต่
การยุบพรรคการเมือง ที่แม้ปัจจุบันมีการเปิดเผยว่า พยานที่ใช้ในการตัดสิน
เป็นพยานเท็จ ตั้งสองคน คนที่อยู่ในขบวนการนั้น กลับไม่รับผิดชอบ อ้างว่า
ทำตามกฏหมายแล้ว เฮ้อ
การตัดสินให้นายกฯสมัครหลุดจากตำแหน่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ว่าหากจะเอา
ผิดใครทำได้ไม่ยาก หากกฎหมายมีไม่พอ เราก็ใช้พจนานุกรมช่วยได้
หากกม.มีไม่พอ เรา เพิ่มเติมเนื้อหาก็ได้ ดังเช่นกรณีMOU ในสมัยคุณนพดล
และอีกหลายๆกรณี ขี้เกียจยกตัวอย่าง
แต่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่คิดว่าเป้นผู้ดำรงความยุติธรรม เลือกที่จะใช้วิธียึดเอา
ตามตัวหนังสือเป็นใหญ่เพื่อ ฟาดฟัน ทำร้ายคนที่ตนคิดว่าเป็นศัตรู แล้วยังมีเกราะ
ป้องกันไว้สองชั้น ชั้นแรก คือมีกม.ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินของศาล
ไม่งั้นโดนข้อหาหมิ่นศาล ส่วนอีกชั้นดูจะหนักกว่า เพราะลองว่าตัดสินแล้ว
เป็นที่รู้กันว่าไม่ได้ทำเองเน้อ เขาแค่ทำในนามเท่านั้น แหะๆ
แต่ไปอ่านเจอ อัคนี คคนัมพร ในคอลัมน์เป็นประชารัฐในนสพ.โลกวันนี้ เขาเขียนว่า
ปัญหามันเริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 เมื่อพรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งมา 377เสียง
ในขณะที่ปชป.ได้มาในครั้งนั้นไม่ถึงร้อย อันทำให้เกิดความสั่นสะเทือนวงการมาก
เพราะ เกิดความกลัวว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง การบริหารงานของคุณทักษิณหาก
ครบไปอีกสี่ปี รวมแล้วเป็นแปดปี โอ้ว น่ากลัวมากๆ นอกจากจะเป็นการตีตนเสมอท่าน
อิ๊อิ๊ ในประเทสนี้ทำได้คนเดียวนะยะ ที่จะบริหารประเทศโดยราบรื่น แปดปีติด(แม้จะ
มีการพยายามจะปฏิวัติ และลอบฆ่ามากที่สุด เราก็ไม่นับนะ ทำเป็นลืมๆเสีย)
มีครั้งเดียวที่ทำสำเร็จ เมื่อมีเด็กหนุ่ม เดินไปชกหน้าเอาดื้อๆ (สงสัยด้วยเหตุนี้จึง
สั่งสอนลูกรักว่าอย่าไปเดินเหินตามถนน ปล่อยเนื้อปล่อยตัวในที่ต่างๆไม่ได้นา
เดี๋ยวโดนแบบป๋า มันเจ็บนะลูก ฮา)
กลับเข้าคอลลัมน์ใหม่ นั่นแหละ เป็นต้นกำเนิดการรวมหัวกันเหมือนที่ดร.วิบูลย์
ท่านใช้คำว่า conspiracy อย่างไรอย่างนั้นเลย ทำเพื่อกำจัดคนคนเดียว
โดยคุณปลิ้มย้ำว้า มันคุ้มไหม ความสูญเสียที่ต้องเสียไป มันคุ้มไหม แต่
เศรษฐีบางคน ลองคิดจะทำอะไรสักอย่าง ไม่เห็นมันคิดถึงผลได้ผลเสียสักที
แค่เอาแต่ใจตัวเท่านั้นเป็นพอ ที่สำคัญ มันไม่เคยควักค่าใช้จ่ายเองสักบาท
นี่สิคะ เลยไม่เคยเสียดาย ไปแระชะแว้บ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น