อ่านมติชนสุดสัปดาห์ เขียนโดยหนุ่มเมืองจันทน์ ในคอลลัมน์ฟาสท์ฟู้ด ธุรกิจ
ชื่อเรื่องว่าจุดสนใจ ตอนจบมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า เพื่อนผู้หญิงสามคนจากดรงเรียนเดียวกัน
แยกย้ายกันไปมีแฟนบ้าง แต่งงานบ้าง เมื่อมาพบกัน ก็ถามไถ่กันเรื่องแฟนว่าแต่ละคน
เรียกแฟนตัวเองว่าอะไร คนหนึ่งตอบว่า เรียกว่า"สุภาพบุรุษ" เพราะเขาลุกขึ้น
ให้ผู้หญิงทุกครั้งที่เห็นผู้หญิง ส่วนอีกรายเรียกแฟนว่า""พ่อกรรมกร" เพราะเขาทำงาน
หามรุ่งหามค่ำ ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนคนสุดท้ายตอบว่า เธอเรียกแฟนว่า
"พ่อนักการเมือง" เพราะทั้งวันเอาแต่พูด พูดเก่งแต่ทำงานไม่เป็นเลย
ย้อนไปตอนต้นของข้อเขียน เขาเขียนถึงน.พ.วันชัย วัฒนศัพท์ (เจ้าเดิมนั่นแหละ
ที่บอกว่าให้ทุกฝ่ายออกมาขอโทษ เรื่องทุกอย่างจบ และกล่าวประโยคเด็ดว่า
เรื่องที่เกิดเป็นเพราะความผิดพลาดในระดับผู้ปฏิบัติการ)
จากข้อเขียนหมอแกก็มีแนวความคิดดีๆหลายอย่าง น่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้"เหตุผล"
มากกว่า"ความรู้สึก" การให้คู่ขัดแย้งมานั่งคุยกัน แบบเห็นหน้าเห็นตากัน เพื่อแก้ไขปัญหา
จะได้รับความรู้สึก แบบ"มนุษย์" ต่อ "มนุษย์" จะได้เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น
และในอีกข้อเรื่องการ"ตั้งคำถาม"ในการ"แก้ปัญหา" เมื่อตั้งคำถามให้ทั้งสองฝ่าย
ได้ช่วยกันหาทางออกมากกว่าที่จะตั้งคำถามว่า"ใครผิด ใครถูก" เพื่อจะได้"คำตอบ"
ที่ต้องการ คือวิธีการแก้ไข"ความผิดพลาดในครั้งหน้า"
หลักการดูดี แต่เมื่อใช้สมองซีกซ้่าย คือวิเคราะห์ คิดเป็นเหตุผล กลับคิดว่า
หมอมาช้าไปหรือเปล่า วันที่เกิดปัญหา ไฟกำลังลุกโชน หมอไปอยู่ที่ไหน
วันนั้น ยังไม่มีคนผิดหรือคนถูก หมอก็น่าจะนำเสนอแนวคิดนี้ น่าจะบอกไอ้เด็กเวร
ว่าการแก้ปัญหาต้องนั่งคุยกัน การเอารถถังและกำลังพลออกมาปราบปราม
ฝูงชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยมันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา กลับซ้ำ
จะทำให้ปัญหายุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก
เมื่อเหตุการณ์ผ่านเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่คนตายใกล้หลักร้อย คนบาดเจ็บอีกตั้งสองพัน
ความเจ็บปวดของคนส่วนใหญ่ ร้ายแรงจนยากจะเยียวยา หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้"อภัย"ต่อกัน อย่ามัวแต่ชี้นิ้วหาคนผิด มันจะไหวหรือหมอ คนตายก็ตายไปนับร้อย
ยังคนเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจอีก พอภัยมาถึงใกล้ตัวคนทำผิด หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุด แล้วอภัยให้ทุกฝ่าย มันไม่ได้หรอกหมอ ถ้าเรื่องนี้จบด้วยการนั่งคุยกัย ถกกัน
แก้ปัญหาร่วมกัน เหมือนที่เคยไปออกทีวีร่วมกัน แล้วยอมรับทางออก เรื่องคงไม่จบ
เลวร้ายอย่างนี้
แต่มันเกิดอะไรขึ้น ข้อเรียกร้องที่ดูเหมือนจะลงเอยกันด้วยดี จากความพยายาม
ของหลายฝ่าย แม้จนวินาทีสุดท้ายที่กลุ่มสว.เดินทางมาขึ้นเวที รุ่งเช้า รถถังวิ่ง
เข้าทลายสิ่งกีดขวาง เสียงปืนที่รัวยิงเข้ามาเป็นชุด(ซึ่งจริงๆก็ไล่ยิงมาตั้งแต่
วันที่ 13 พค. 53แล้ว)
ในช่วงเวลานั้น หมอเคยออกมาไหม เคยออกมาเรียกร้องให้คนที่สั่งปราบ ฆ่าให้หมด
หยุดไหม ให้หันกลับมาใช้วิธีนั่งคุยกันไหม หมอเคยได้ยินที่มันบอกไหมว่า"หมดเวลา
คุยกันแล้ว" หมอทำไมไม่ออกมาบอกว่า "ยังไม่สาย ไม่มีอะไรสายเกินแก้" หมอปล่อยให้
คนไม่กี่คนลุแก่อำนาจ ส่งกำลังมากวาดล้างประชาชนที่แค่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
คนที่เสียชีวิต บางคนก็ไม่ได้แม้แต่ออกมาร่วมชุมนุมด้วย เพียงแต่โชคร้ายที่เข้าไปอยู่
ในทุ่งสังหาร เรียกว่าไปผิดที่ผิดเวลา พอเขาฆ่ากันตายเสร็จสรรพ หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุดการชี้นิ้วหาคนผิด ให้ยอมอภัยให้แก่กัน หากคนเหล่านั้นเป็นเพียงคนที่หมอรู้จัก
หรือรักใคร่ชอบพอ อยากรู้ว่าหมอจะยังออกมาพูดอย่างนี้ไหม หมอจะกล้าบอกไหมว่า
ให้เลิกแล้วต่อกัน อภัยให้แก่กัน แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่
หากหมอเองยังทำไม่ได้ แต่ที่พูดได้เพราะหมอถือว่าคนที่เจ็บคนที่ตาย ไม่ได้มี
ความสำคัญต่อหมอ แม้เพียงแค่นับเป็นเพื่อนร่วมชาติ หมอถึงออกมาพูดอย่างนี้ได้
น่าเสียดายนักที่สิ่งที่หมอพูด สิ่งที่หมอเรียกร้องมันมาช้าเกินไป นอกจากจะไม่ทำ
ให้คนที่เจ็บปวดเห็นด้วยกับหมอ
มันกลับทำให้เขาว่าหมอก็ไม่ได้
ต่างไปจาก"นักการเมือง"ที่ดีแต่พูด แต่ไม่รู้จักลงมือทำ
ชื่อเรื่องว่าจุดสนใจ ตอนจบมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า เพื่อนผู้หญิงสามคนจากดรงเรียนเดียวกัน
แยกย้ายกันไปมีแฟนบ้าง แต่งงานบ้าง เมื่อมาพบกัน ก็ถามไถ่กันเรื่องแฟนว่าแต่ละคน
เรียกแฟนตัวเองว่าอะไร คนหนึ่งตอบว่า เรียกว่า"สุภาพบุรุษ" เพราะเขาลุกขึ้น
ให้ผู้หญิงทุกครั้งที่เห็นผู้หญิง ส่วนอีกรายเรียกแฟนว่า""พ่อกรรมกร" เพราะเขาทำงาน
หามรุ่งหามค่ำ ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนคนสุดท้ายตอบว่า เธอเรียกแฟนว่า
"พ่อนักการเมือง" เพราะทั้งวันเอาแต่พูด พูดเก่งแต่ทำงานไม่เป็นเลย
ย้อนไปตอนต้นของข้อเขียน เขาเขียนถึงน.พ.วันชัย วัฒนศัพท์ (เจ้าเดิมนั่นแหละ
ที่บอกว่าให้ทุกฝ่ายออกมาขอโทษ เรื่องทุกอย่างจบ และกล่าวประโยคเด็ดว่า
เรื่องที่เกิดเป็นเพราะความผิดพลาดในระดับผู้ปฏิบัติการ)
จากข้อเขียนหมอแกก็มีแนวความคิดดีๆหลายอย่าง น่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้"เหตุผล"
มากกว่า"ความรู้สึก" การให้คู่ขัดแย้งมานั่งคุยกัน แบบเห็นหน้าเห็นตากัน เพื่อแก้ไขปัญหา
จะได้รับความรู้สึก แบบ"มนุษย์" ต่อ "มนุษย์" จะได้เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น
และในอีกข้อเรื่องการ"ตั้งคำถาม"ในการ"แก้ปัญหา" เมื่อตั้งคำถามให้ทั้งสองฝ่าย
ได้ช่วยกันหาทางออกมากกว่าที่จะตั้งคำถามว่า"ใครผิด ใครถูก" เพื่อจะได้"คำตอบ"
ที่ต้องการ คือวิธีการแก้ไข"ความผิดพลาดในครั้งหน้า"
หลักการดูดี แต่เมื่อใช้สมองซีกซ้่าย คือวิเคราะห์ คิดเป็นเหตุผล กลับคิดว่า
หมอมาช้าไปหรือเปล่า วันที่เกิดปัญหา ไฟกำลังลุกโชน หมอไปอยู่ที่ไหน
วันนั้น ยังไม่มีคนผิดหรือคนถูก หมอก็น่าจะนำเสนอแนวคิดนี้ น่าจะบอกไอ้เด็กเวร
ว่าการแก้ปัญหาต้องนั่งคุยกัน การเอารถถังและกำลังพลออกมาปราบปราม
ฝูงชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยมันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา กลับซ้ำ
จะทำให้ปัญหายุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก
เมื่อเหตุการณ์ผ่านเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่คนตายใกล้หลักร้อย คนบาดเจ็บอีกตั้งสองพัน
ความเจ็บปวดของคนส่วนใหญ่ ร้ายแรงจนยากจะเยียวยา หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้"อภัย"ต่อกัน อย่ามัวแต่ชี้นิ้วหาคนผิด มันจะไหวหรือหมอ คนตายก็ตายไปนับร้อย
ยังคนเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจอีก พอภัยมาถึงใกล้ตัวคนทำผิด หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุด แล้วอภัยให้ทุกฝ่าย มันไม่ได้หรอกหมอ ถ้าเรื่องนี้จบด้วยการนั่งคุยกัย ถกกัน
แก้ปัญหาร่วมกัน เหมือนที่เคยไปออกทีวีร่วมกัน แล้วยอมรับทางออก เรื่องคงไม่จบ
เลวร้ายอย่างนี้
แต่มันเกิดอะไรขึ้น ข้อเรียกร้องที่ดูเหมือนจะลงเอยกันด้วยดี จากความพยายาม
ของหลายฝ่าย แม้จนวินาทีสุดท้ายที่กลุ่มสว.เดินทางมาขึ้นเวที รุ่งเช้า รถถังวิ่ง
เข้าทลายสิ่งกีดขวาง เสียงปืนที่รัวยิงเข้ามาเป็นชุด(ซึ่งจริงๆก็ไล่ยิงมาตั้งแต่
วันที่ 13 พค. 53แล้ว)
ในช่วงเวลานั้น หมอเคยออกมาไหม เคยออกมาเรียกร้องให้คนที่สั่งปราบ ฆ่าให้หมด
หยุดไหม ให้หันกลับมาใช้วิธีนั่งคุยกันไหม หมอเคยได้ยินที่มันบอกไหมว่า"หมดเวลา
คุยกันแล้ว" หมอทำไมไม่ออกมาบอกว่า "ยังไม่สาย ไม่มีอะไรสายเกินแก้" หมอปล่อยให้
คนไม่กี่คนลุแก่อำนาจ ส่งกำลังมากวาดล้างประชาชนที่แค่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
คนที่เสียชีวิต บางคนก็ไม่ได้แม้แต่ออกมาร่วมชุมนุมด้วย เพียงแต่โชคร้ายที่เข้าไปอยู่
ในทุ่งสังหาร เรียกว่าไปผิดที่ผิดเวลา พอเขาฆ่ากันตายเสร็จสรรพ หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุดการชี้นิ้วหาคนผิด ให้ยอมอภัยให้แก่กัน หากคนเหล่านั้นเป็นเพียงคนที่หมอรู้จัก
หรือรักใคร่ชอบพอ อยากรู้ว่าหมอจะยังออกมาพูดอย่างนี้ไหม หมอจะกล้าบอกไหมว่า
ให้เลิกแล้วต่อกัน อภัยให้แก่กัน แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่
หากหมอเองยังทำไม่ได้ แต่ที่พูดได้เพราะหมอถือว่าคนที่เจ็บคนที่ตาย ไม่ได้มี
ความสำคัญต่อหมอ แม้เพียงแค่นับเป็นเพื่อนร่วมชาติ หมอถึงออกมาพูดอย่างนี้ได้
น่าเสียดายนักที่สิ่งที่หมอพูด สิ่งที่หมอเรียกร้องมันมาช้าเกินไป นอกจากจะไม่ทำ
ให้คนที่เจ็บปวดเห็นด้วยกับหมอ
มันกลับทำให้เขาว่าหมอก็ไม่ได้
ต่างไปจาก"นักการเมือง"ที่ดีแต่พูด แต่ไม่รู้จักลงมือทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น