ประเทศมีปัญหา ใครๆก็รู้ ทุกคนอยากให้ประเทศสงบ กลับมาเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม
เป็นสยามเมืองยิ้ม ร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้ง หลายฝ่ายหลายเหล่าพยายามที่จะเสนอแผน
คาดหวังว่าหากทำได้ ปัญหาจะหมดไป
ช้าก่อน ปัญหาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก และไม่ใช่เพิ่งจะเกิด มันเกิดมานานแสนนาน
เป็นเหมือนไฟสุมขอน ในประเทศที่ชอบเอาปัญหาซุกไว้ใต้พรม เก็บกวาดแต่
ภายนอก แล้วหลอกตัวเองว่า ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะมองไม่เห็นปัญหา ดังนั้น
ก็เลยคิดว่าปัญหามันหมดไปแล้ว
แต่ในความจริงแม้จะมองไม่เห็นปัญหา แต่ทุกคนก็รู้ว่าปัญหายังมีอยู่ มันยังซุก
อยู่ใต้พรมนั่นไง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด สิ่งที่อยู่ใต้พรมก็ไม่อาจ
จางหายไป เหมือนคำที่พูดกันว่าสสารไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ มันอาจแปรเปลี่ยน
สภาพกลายไปเป็นรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม แต่มันยังคงอยู่ ตราบใดที่เราไม่กำจัด
ปัญหานั้น มันก็คงอยู่กับเราตลอดไป รอเพียงเวลาที่จะมีใครไปเขยิบพรม
ให้มันฟุ้งขึ้นมาอีก
เมื่อรู้และเข้าใจว่าปัญหายังมีอยู่ วิธีที่จะแก้ปัญหา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ป้าจึงขอนำ
เสนอแผนปรองดองฉบับประชาชน ประชาชนคนธรรมดาที่เห็นและรับรู้ว่าประเทศ
กำลังมีปัญหา เป็นแผนปรองดองที่ไม่ใช่มาจากนักการเมืองที่หวังเพียงผลการเลือกตั้ง
ไม่ใช่แผนปรองดองที่มาจากคนกุมอำนาจ ที่หวังเพียงเพื่อจะรักษาอำนาจให้คงอยู่
ไม่ใช่แผนปรองดองที่มาจากแกนนำ หรือแกนนอน ที่หวังผลเลิศ
แต่เป็นแผนของชาวบ้านธรรมดา แผนปรองดองของประชาชนมีดังนี้ค่ะ
1. ทุกคนต้องยอมรับความจริง ข้อนี้สำคัญที่สุด หากยังปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
ทำเป็นมองไม่เห็นความเป็นจริงที่เป็นอยู่ โอกาสที่จะแก้ไข ก็คงทำไมได้
ความจริงคืออะไรคะ?....ความจริงคือ มีการชุมนุมจริง มีคนตายจริง มีคนเจ็บจริง
ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น พักเอาไว้ก่อน ต้องยอมรับในความจริงข้อนี้ก่อน
การทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ไม่เห็น ทำเหมือนคนที่เจ็บ คนที่ตาย ไม่มีตัวตนไม่ได้
หรือคิดเพียงว่าคนเหล่านั้นสมควรที่ต้องเจ็บและตายไม่ได้ เพราะหากทำอย่างนั้น
การแก้ไขยิ่งจะทำได้ยากขึ้น
2.เมื่อรับรู้ความเป็นจริง ก็ต้องจัดการทำความจริงให้ปรากฎ โดยผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
ต้องหยุดการกระทำที่จะเป็นการยั่วยุ ใส่ร้าย และปกปิด ข้อมูลอันจะนำมาซึ่งความกระจ่าง
เริ่มที่รัฐบาล อันเป็นตัวหลักในปัญหาครั้งนี้ ต้องลาออก ยุบสภา เพื่อให้เกิดความสบายใจ
แก่ฝ่ายที่ถูกกระทำ เพื่อให้ความมั่นใจว่าการสืบค้นความจริงให้ปรากฎจะไม่ถูกชักนำโดย
ผู้กระทำความผิด แม้จะอ้างว่าไม่ได้สั่ง ไม่ได้ทำร้ายประชาชน แต่ผลที่ออกมาเป็นรูปธรรม
คือมีคนถูกทำร้ายจริง การอยู่ในตำแหน่งจึงทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อผุ้สูญเสีย
3.ทำการสอบสวนอย่างเป็นธรรม รับฟังข้อมูลจากอีกฝ่าย ศึกษาข้อมูลจากภาพถ่าย
คลิ้ปวิดีโอที่มากลาดเกลื่อน แล้วทำความจริงให้ปรากฎ ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น
เกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นความจงใจ หรือผิดพลาด (ตามที่หมอที่สถาบันพระปกเกล้า
ออกมาบอก) ก็ต้องเปิดเผยออกมาให้หมด
แม้ผลจะออกมาว่าการฆ่าและทำร้ายประชาชน ทำไปโดยมีความเชื่อมั่นว่าคนเหล่านั้น
สมควรตาย เพราะเป็นอริราชศัตรู เป็นตัวอันตรายต่อประเทศชาติ ก็ยังจะดีกว่าที่ปฏิเสธ
ว่าไม่มีการฆ่า เพราะเมื่อรู้แน่ชัดแล้วจะได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงต่อไป
4.หากยอมรับว่าจำเป็นต้องฆ่า ต้องมีเหตุผลอธิบายได้ จะได้รู้ว่าทำไมต้องฆ่า เพราะ
ปัจจุบัน คนยังค้างคาใจว่า แค่ออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา ทำไมต้องฆ่า การออกมา
พูดความจริงว่าที่ฆ่าเพราะ ไปคาดเดากันเอาเอง ไปหวาดกลัวกันเอาเองว่าเขาจะ
ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาคิดกันอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง เปิดกันออกมาให้หมดว่า
แต่ละคนทำไปเพราะอะไร แล้วจึงจะแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ
5.หากกล่าวว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ก็ต้องทำให้เป็นจริง
อย่าได้นำมาเป็นข้อกล่าวอ้างในการทำร้าย ทำลายผู้อื่น ให้ยุติการเอ่ยถึง
ไม่ว่าจะเป็นทางดีหรือทางไม่ดี จากทุกฝ่าย ไม่ควรดึงเอามาเป็นข้อขดแย้ง
ไม่ควรดึงเอามาเป็นเครื่องต่อรอง ว่าต้องแสดงว่าจงรักภักดีก่อนถึงจะคุยด้วย
ต้องไม่กล่าวอ้างเสียก่อน จึงเป็นการกระทำที่ดีที่สุด
ความจงรักภักดีไม่เกี่ยวกับัญหา ไม่สมควรเอามาเป็นข้อขัดแย้ง เพราะการ
แสดงออกของแต่ละคนในความจงรักภักดีไม่เหมือนกัน การพูดว่าจงรักกักดี
ก็ไม่ได้หมายความว่าผุ้กล่าวจะเป็นคนดีกว่าคนอื่นๆ
หากคิดว่าเรื่องนี้เป็ของความขัดแย้งของคนในชาติ พระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่
เหนือการเมือง ก็ไม่สมควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ พระองค์ท่านทรงวางเฉย
ในปัญหาของความขัดแย้งในเรื่องนี้แล้ว จึงไม่สมควรที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะ
นำมาเอ่ยอ้างให้อีกฝ่ายประกาศความชัดเจนอะไรอีก
6.สุดท้ายปัญหาจะยุติลงได้ เกิดความปรองดองได้ ทุกคนต้องยุติบทบาท ต้องยุบสภา
ทันที ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ต้องมีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลใหม่ และทำการสืบค้นความจริง
อย่างเที่ยงธรรม คดีทางการเมืองต้องยุติด้วยวิถีทางการเมือง อย่าใช้ศาลเป็นเครื่องมือ
ในการอวยประโยชน์ หรือให้โทษแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ดังนี้จึงขอเสนอเป็นแผนปรองดองในภาคประชาชน