วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำตาจตุพร

[ภาพ: e36cfrfe.jpg]

ลูกผู้ชายหมายว่าน้ำตาร่วง
ไม่กี่ช่วงในชีวิตคิดเถิดหนา
พ่อแม่ตายรายรื้นคือน้ำตา
อย่าหวังว่าจะเห็นกันทั่วไป

น้ำที่เห็นจากตาลงมาแก้ม
มันคงแซมความเจ็บช้ำเกินคำไข
เพื่อนต่อสู้ร่วมชีวิตและจิตใจ
ถูกขังไว้หมดเสรีที่เคยมี

เป็นน้ำตาแห่งความซึ้งซึ่งมอบให้
เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในศักดิ์ศรี
แม้ว่าตัวถูกขังขาดเสรี
แต่ไมตรีที่มอบให้ไม่จืดจาง

ขอน้ำตาวันนี้ที่มองเห็น
จงได้เป็นพลังใจไม่อางขนาง
ถึงวันนี้ไม่ชนะจะหาทาง
แสงสว่างจะต้องมีไม่เสื่อมคลาย

เมื่อถึงวันเวลาประชาชาติ
จะบังอาจยิ่งใหญ่ไม่หนีหาย
ร้องเถิดร้องเพื่อล้างตาให้ผ่อนคลาย
รอวันฉายความสุขลุกเต็มทรวง

น้ำที่เห็นเป็นน้ำตาของความกล้า
ใช่ความล้ายอมแพ้...แต่ใหญ่หลวง
ขอมอบใจให้คืนไปทั้งดวง
แล้วพร้อมทวงสิทธิ์ของตนคนแผ่นดิน

[ภาพ: co124.jpg]

ตกลงใครอยู่หลังกรงขังนั่น
เธอหรือฉันมันไม่ชัดดูขัดเขิน
พวกเราอยู่ด้านหน้าพากันเดิน
จึงขอเชิญติดกรงหลงวกวน

ประเทศนี้ประชาชนคนยิ่งใหญ่
หาใช่ใครที่อ้างอย่างสับสน
คือพวกคุณที่ติดกับประชาชน
ต้องทุกข์ทนต่อสู้อยู่เดียวดาย

มองออกมาเบื้องหน้ามากันมาก
เพียงเพื่ออยากจะบอกไว้ไม่เสียหาย
คนที่คุณกักขังได้เพียงกาย
แต่อย่าหมายขังใจไว้กับตัว

ทั้งคนแก่คนเฒ่าเจ้าอาวาส
ก็ไม่อาจห้ามใจไม่ปวดหัว
ต้องไปหาไปแสดงว่าไม่กลัว
คุ้มคนชั่วมัวเมาไม่เข้าที

คนที่คุณขังไว้ไม่เห็นหรือ
มันก็คือคนสั่งฆ่าน่าบัดสี
ระวังภัยให้คนชั่วตัวกาลี
ต้องเป็นผีสักวันแฉันมั่นใจ

ยังไม่สายคิดใหม่ให้ถี่ถ้วน
ว่าคุณควรเลือกข้างอยู่ฝั่งไหน
ประชาชนหรือผีบ้าอย่าเกรงใจ
เผื่อจะได้ออกมาดูฟ้างาม



ตามสัญญา


ที่คุณพาลีตรีเพชรออกตัวว่าเป็นแค่เด็กส่งเอกสาร นำเรื่องที่เขียนโดยใบมีดสีแดงhttp://www.internetfreedom.us/showthread.php?tid=8711
มาลงไว้ พร้อมเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารย์กันได้เต็มที่ ครั้งแรกก็อ่านผ่านๆ
แต่ต้องกลับมาอ่านอีกครั้งเพื่อวิพากษ์ให้เต็มที่ จะไปตอบในกระทู้ปักหมุดนั้น
ก็เห็นว่าไหลไปตั้งหน้าสองแล้ว บางท่าน ก็ไม่ค่อยไปเปิดอ่าน เพราะคิดว่า
อ่านแล้ว เลยขอนำเสนอเป็นกระทู้ใหม่ดังนี้

เริ่มจากชื่อคนเขียนก่อนนะคะ "ใบมีดสีแดง" ก็เห็นว่าน่าสนใจและต้องชม
ที่เลือกใช้ชื่อได้ดี เพราะคำว่าใบมีด มันทำได้หลายอย่าง โดยเฉพาะข้อเขียนนี้
ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ คือบาดลึก และฟาดฟันไปในตัว คงมีหลายท่าน
อ่านแล้วอาจรู้สึกแสบๆคันๆ บ้างก็เจ็บปวดจาการถูกใบมีดทำร้ายเอา

แต่ช้าก่อน เสื้อแดง ก็คือเสื้อแดง สำหรับคนอื่นป้าไม่ทราบ แต่สำหรับป้า
เป็นเสื้อแดง เพราะเห็นว่าเสื้องแดง เป็นเพียงสัญญลักษณ์ของการต่อสู้
เป็นการประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าเราพวกเดียวกัน คิดอ่านเหมือนกัน ต้องการ
เหมือนกัน มากบ้าง น้อยบ้างตามแต่สภาพของแต่ละบุคคล แต่สิ่งหนึ่งที่
เหมือนกันโดยแน่แท้คือ พวกเราต้องการประชาธิปไตย พวกเราไม่ต้องการถูกกดขี่
พวกเราไม่ต้องการระบบสองมาตรฐาน เราภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย โดยไม่ต้อง
สังกัดพรรคภูมิใจไทย เราเป็นพลังประชาชนแม้ชื่อพรรคจะถูกยุบไปแล้ว
แต่พลังประชาชนที่รักไทย ก็พร้อมจะทำทุกอย่าง"เพื่อไทย"

จากข้อเขียน อ่านดูเหมือนการตัดพ้อต่อว่า แต่เมื่ออ่านแล้วพิจารณาดู พบว่า
การเขียนแบบนี้มีออกมาบ่อยๆ และมักจะมีออกมาในห้วงเวลาที่คนเสื้อแดง
กำลังฮึกเหิม จำได้ว่าครั้งหนึ่งมีจดหมายเวียนประเภทฟอเวิร์ดเมล์ ร่อนไปทั่ว
ว่าเป็นคนเสื้อแดง แต่เพราะบลาบลา..ก็จะไม่เป็นคนเสื้อแดงแล้ว ซึ่ง ไม่นานนัก
ก็ถูกฉีกหน้ากากคนเขียนออกมาว่าที่แท้ก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง ที่แท้ก็เป็นแค่พวกเสื้อ
สีอื่นที่ต้องการส่งสารออกมาชักชวนกลายๆว่าเสื้อแดงไม่ดีหรอก เลิกเป็นกันดีกว่า
แต่ก็ล้มเหลว ไม่เข้าท่า คนเขาจับได้ จำได้ว่าครั้งนั้นก็ออกมาในช่วงที่จะมีการ
ชุมนุมใหญ่ปีนี้แหละค่ะ เสียดายไม่ได้เซฟเก็บไว้ เพราะไม่ได้ใส่ใจ

มาครั้งนี้ก็มาอีกแล้ว การเขียนต่อว่าต่อขานคุณทักษิณ เริ่มด้วยประโยคที่ว่า
การที่คุณทักษิณ โฟนอินว่าหากกระสุนนัดแรกดังขึ้นจะกลับมานำ เรื่องนี้
อาจทำให้หลายคนเสียความรู้สึก แต่ลึกๆในใจ ในการต่อสู้ เมื่อรู้กันอยู่แล้วว่า
เรากำลังต่อสู้อยู่กับใคร คุณทักษิณก็เป็นหมากตัวหนึ่งในกระดาน จะมีศักยภาพ
เท่าไหร่เชียว มีกองทัพหนุนอยู่หรือก็เปล่า เดินเท้าเข้ามาให้เขาฆ่าทิ้งเล่นเหมือน
เสธ.แดงอย่างนั้นหรือ ถึงจะพอใจกัน หากคนที่รักทักษิณจริง เขาก็ก้าวข้าม
คำพูดนี้ไปตั้งนานแล้ว คนเขียนพยายามขุดคุ้ยมาเพื่อตอกย้ำว่าคุณทักษิณ
ไม่จริงใจ ไม่รักษาสัญญา ถามหน่อยเถิดว่าคุณทักษิณเป็นซุปเปอร์แมนหรือ
เป็นเจ้าชีวิตหรือก็เปล่า ไม่มีสิทธิ์แม้แต่ในเงินของตัวเอง แล้วจะให้มาชี้เป็น
ชี้ตาย บอกให้คนออกไปตายแทนได้อย่างไรกัน

จริงอยู่แรกเริ่มเดิมที เราก็สู้ไปหวังไปว่า สักวันคุณทักษิณจะได้กลับมานำพาประเทศ
อีกสักครั้ง แต่นานๆไป ความหวังก็ริบหรี่ แต่การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยไม่ได้
หยุดลง เราสู้เพื่อความยุติธรรมหากวันที่ได้มา แม้ไม่มีคุณทักษิณ ประเทศก็ต้อง
อยู่รอดปลอดภัย ไม่เห็นต้องยื้อยุด ไม่เห็นต้องคงไว้ ไม่เห็นต้องตำหนิติเตียนไม่ได้

โดยส่วนตัวชื่นชมคุณทักษิณมาก แต่ก็มากในฐานะที่เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์
มีความสามารถนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ หากไม่มีคุณทักษิณ แต่มี
ประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่สมชื่อจริง ใครก็เป็นนายกฯได้ไม่ว่ากัน

การกล่าวหาว่าคุณทักษิณไม่ใส่ใจ มัวไปเดินช้อปปิ้งกับลูกสาว ก็ไม่เห็นจะ
เดือดร้อนอะไร กลับชื่นชมอวยชัยเสียด้วยซ้ำว่าโธ่โถ มีความสุขแม้เพียงเล็กน้อย
ก็ยังดีนะ ดีกว่าจมปลักอยู่กับความทุกข์ที่โดนกระทำย่ำยีจนแทบไม่มีที่ยืน

การที่คุณทักษิณทวีตข้อความมาก็อ่านบ้างไม่ได้อ่านบ้าง ก็เข้าใจว่า คนเราบางครั้ง
ก็ต้อง"คิดก่อนพูด" จะให้พูดตามใจนั้น ใครทำได้ เคยบอกหลายครั้งแล้วว่า
คนฉลาด เขา"คิดทุกคำที่พูด แต่ต้องไม่พูดทุกคำที่คิด" จะให้เอามันแบบคุยกันเอง
อย่างไรได้ คนติดตามคุณทักษิณในทวิตเตอร์มีตั้งเท่าไหร่ จะให้ทวีตถูกใจทุกคน
กระไรได้

เสื้อแดงบอกก้าวพ้นคุณทักษิณมาแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าพ้นจริงๆ เราไม่สนใจอีกต่อไปว่า
คุณทักษิณจะไปเกี้ยเซี้ยกับใคร ยอมลงให้ใคร เพราะเดี๋ยวนี้สิ่งที่ต้องการคือประชาธิปไตย
ที่ประชาชนเป็นใหญ่ ไม่มีคุณทักษิณเป็นนายกฯก็ไม่เห็นแปลก เราเข้าใจและรู้อยู่แล้วว่า
คงเป็นเรื่องยากที่จะเอาคุณทักษิณกลับมา แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็ต้องสู้ต่อไป

มีแต่พวกตรงกันข้ามเท่านั้นเองที่ยังก้าวไม่พ้นคุณทักษิณ พยายามโยงทุกเรื่อง
ทำทุกทางที่จะดิสเครดิตท่าน ซึ่งขอบอกไว้เลยว่ามันไม่ได้ผลหรอกค่ะ หนทาง
เดียวที่คุณทักษิณจะถูกทอดทิ้ง คือคุณทักษิณได้กลับมาเพราะอำนาจบางอย่าง
และคุณทักษิณยอมเป็นทาสรับใช้ ยอมเป็นหุ่นเชิด เหมือนไอ้ฆาตกร หากเป็นอย่างนั้น
รับรอง จะไม่เหลือคนเชียร์

การตั้งคำถามตอนจบว่า ต่อแต่นี้ไปนายกทักษิณจะอยู่อย่างไรได้
หากคนเสื้อแดงเขาไม่เอาและไม่ยืนเคียงข้างนายกทักษิณอีกต่อไป.........


ก็ขอตอบไว้ตรงนี้เลยว่าท่านก็อยู่อย่างที่ท่านอยู่อย่างทุกวันนี้ล่ะค่ะ ลงทุนทำการค้าไปใน
ต่างประเทศ ว่างๆก็ไปเดินจูงมือลูกสาวช้อปปิ้ง บางทีก็มีภาพไปเยี่ยมคารวะท่านโน้นท่านนี้
บางคราวก็มีภาพที่คนจากเมืองไทยไปเยี่ยมคารวะ ท่านก็คงอยู่อย่างนี้ และอาจจะอยู่อย่างนี้
ไปจนชั่วชีวิตของท่าน คนเสื้อแดงก็ไม่เดือดร้อน ไม่ได้ดิ้นทุรนทุราย คุณ"ใบมีดสีแดง"
ไม่ต้องเป็นห่วงท่านหรอกนะคะ แล้วก็ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราชาวเสื้อแดงด้วย

มีหรือไม่มีคุณทักษิณไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญในการต่อสู้สักหน่อย คุณหาวิธีใหม่เถิดนะคะ
งวดนี้ทำได้ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีพอ พยายามอีกหน่อย สักวันคงได้ผลแน่

แต่สำหรับป้า รักและเคารพคุณทักษิณเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ประเภท"รักแล้วรักเลย"น่ะค่ะ

ตกลงมันเป็นอย่างไรแน่คะ? ใครพูดจริงใครตอแหล


จากข่าวนี้ สมคิดแถลงไม่รับตำแหน่ง เขาพูดว่า

“ผมปรึกษากับผู้บังคับบัญชาก่อนแล้ว เพื่อความ รอบคอบว่าสามารถสละสิทธิได้หรือไม่ มีกฎหมายรองรับการสละสิทธิหรือไม่ หลังจากนี้เมื่อสละสิทธิแล้วจะให้ผมไปทำอะไรที่ไหนก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา จะเห็นสมควร เพราะการสละสิทธิครั้งนี้ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร ไม่ว่าจะให้ไปอยู่ตรงไหนก็พร้อมทำงานเต็มที่"

แต่ไหงคนนี้เขาตอบนักข่าวอีกอย่างล่ะคะ


ผู้สื่อข่าวถามว่าตำแหน่งใหม่ของ พล.ต.ท.สมคิดจะต้องอยู่ในระดับเดียวกันคือระดับผู้บัญชาการหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ใช่ เขาแสดงเจตนารมณ์อย่างนั้น


บ้านนี้เมืองนี้ จะพูดความจริงกันไม่ได้หรือไง เพราะถ้าพูดความจริง
พูดกี่ครั้ง ไม่ว่าใครพูด มันก็ต้องตรงกันไม่ใช่หรือ

อุ้มฆ่าไม่เป็นไร.......


แต่อย่าอุ้มไปทำอย่างอื่นแล้วกัน เพราะเมื่อต้องคดีล่วงละเมิดทางเพศ
ตำรวจนายหนึ่งถูกเด้งทันที แม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับ

ส่วนอีกรายโดนคดีจนส่งฟ้องจะขึ้นศาลในเดือนพย.นี้ (ไม่ยอมรับเหมือนกัน)
กลับได้รับแต่งตั้งแม้จะออกมาแสดงความเป็นพระเอก ถอยฉากออกมา
ก็คงไม่ได้ทำอะไรดีขึ้น

ดังนั้นจึงสรุปว่า อุ้มฆ่าไม่เป็นไร อย่าอุ้มไปทำอย่างอื่นแล้วกัน
ประเทศนี้เขาถือ เอ้า ฮา

สมควรปิดวัด

จากกระทู้ของคุณNNAANN เรื่องศอฉ.ค้นเจออาวุธตามข่าวนี้

พล.ต.ท. ตรีทศ รณฤทธิวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากผู้หวังดีว่า ในพื้นที่การชุมนุมวัดปทุมวนาราม มีการนำอาวุธซุกซ่อนอยู่ในวัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบหลังการชุมนุมพบอาวุธที่ซุกซ่อนใต้ฐานพระ พบอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนอีก 212 นัด ระเบิดมือแบบเอ็ม 26 จำนวน 2 ลูก ระเบิดแบบเอ็ม 61 จำนวน 1 ลูก แบบ เค 75 จำนวน 1 ลูก กระสุนเอ็ม 79 จำนวน 4 ลูก ซึ่งขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจสอบอาวุธ และเครื่องยิงกระสุนว่ามาจากที่ใด

อ่านแล้วให้รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา อยู่ภายใต้พรก.ฉกฉวย การขนถ่ายอาวุธ
มากมากขนาดเจ้าหน้าที่ ผงะตรวจใต้ฐานพระวัดปทุมฯพบอาวุธอื้อซ่า
มันจะเป็นไปได้อย่างไร จะว่ามีอยู่ก่อน ก็ค้นไปหลายรอบแล้ว หรือเพิ่งเจอ
ก็ยังประหลาดอยู่ดี ดังนั้นเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายทั้งศอฉ. และประชาชน
ขอเสนอมาตรการเร่งด่วนดังนี้

1.ให้ปลดหน่วยงานที่เข้าไปตรวจครั้งแรกออกให้หมด(ฐาน
ทำงานชุ่ยมาก หาครั้งก่อนก็ว่าทำอย่างละเอียดแล้ว พบไปตั้งบานแล้ว)

2.สึกพระทั้งวัด (ฐานชี้ช่องให้คนร้ายเอาอาวุธไปซุกซ่อน เพราะหากไม่รู้เห็นเป็นใจ
จะทำได้อย่างไรอาวุธขนาดนั้น จะพกพากันเข้าวัดได้ง่ายไหรือไร แสดงว่าต้องมีมาก
กว่าหนึ่งคน แล้วตอนเอาไปซุก พระทำอะไรอยู่ ดูต้นทางหรือไง คงต้องใช้คนจำนวน
พอสมควร จึงจะยกพระได้ เรื่องนี้ทางวัดจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้)

3.ตบปากคนที่ให้ข่าว(แหม เพิ่งมาออกข่าว เขาชุมนุมไปแล้ว วันที่19กย. ถ้าเขา
มีอาวุธซุกซ่อนจริง เขาจะเก็บเอาไว้ให้เจอเรอะ เขาก็เอาออกไปยิงเล่นแล้วล่ะสิ
ออกข่าวมาเพื่ออะไร จะกล่าวหาว่าเขาจะมาสร้างสถานการณ์หรือก็ไม่มีสงบเรียบร้อยดี
จะออกข่าวว่าเพิ่งไปเจอ ก็ต้องย้อนไปทำตามข้อหนึ่ง ตกลงหาทางไปได้ยัง)

4. ปิดวัดเสียเถอะ เพราะไม่เหมาะกับการประกอบศาสนกิจ เป็นทุ่งสังหารไม่พอ ยังไม่
ยินดีให้พุทธศาสนิกชนเข้าไปทำบุญ แล้วยังซ่องสุมอาวุธอีก(ถ้าเจอในบ้าน เจ้าบ้าน
ต้องรับโทษ เจอในวัดก็โน่นเลยเจ้าอาวาสรับไปเต็มๆ จะบอกไม่รู้ไม่เห็นได้ไง อย่าปฏิเสธ
เสียให้ยากเลย สึกก่อน เอามาดำเนินคดี สอบถามเสียให้รู้เรื่อง)

5.ปลดเจ้าอาวาส(ฐานให้ที่พักพิงแก่คนร้าย เพราะหากกล่าวหาว่าคนที่ไปชุมนุม
แล้วหนีไปหลบในวัดเป็นผู้ก่อการร้าย เจ้าอาวาสหนีไม่พ้นข้อหาให้ที่พักพิงคนร้าย
ต้องจับเอาไปลงโทษด้วย นี่ยังค้นเจออาวุธในวัดอีก ชักสงสัยแล้วสิว่า วัดนี้มันเป็น
อย่างไร แปลกๆพิกล หลังเหตุการณ์ก็รีบราดยางใหม่ปิดบังหลักฐาน ร่องรอยกระสุน
ปืนที่มีเกลื่อนพื้นหรือไง)

สรุปว่าน่าจะปิดวัดก่อน สึกพระที่จำวัดออกให้หมด ดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสด้วย
เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้ บัดนี้เชิด

ขอขัดใจคุณ sakurabito


อิอิ เห็นขอร้องให้หยุดนำเสนอภาพงานที่ราชประสงค์ บอกว่าทนไม่ได้
แต่ต้องขอขัดใจสักครั้ง ก็แหมน่ะนะ คนไปมาน่ะ มันทนไม่ไหว

แต่ละคนก็ต้องเล่าและส่งภาพมาลง เป็นธรรมดา ดูจากภาพของมืออาชีพ
สวยสดงดงาม ลองดูภาพจากชาวบ้าน ที่ถ่ายด้วยกล้องมือถือกันบ้างนะคะ

ป้าถ่ายภาพด้วยมือถือ ด้วยโปรแกรมของpgจากเวปนี้ http://www.pg.in.th/home/นะคะ
ข้อดีคือ"ถ่ายภาพเด็ด ขึ้นเน็ตทันที"

แล้วก็ผูกไว้กับทวิตเตอร์ด้วย หมายความว่าถ่ายปุ๊บไปปรากฎที่เวปของpg ปั๊บ
แค่นั้นไม่พอนอกจาจะบอเวลาสถานที่ที่ถ่ายได้ ยังไปปรากฎในทวิตเตอร์ให้
คนที่ติดตามได้เห็นสดๆไปพร้อมๆกับคนถ่าย

แม้ภาพที่ออกมาจากดูไม่เป็นมืออาชีพ แต่ข้อดีคือมันสดน่ะค่ะ แต่แม้ไม่สดแล้ว
ในเช้าวันนี้ ก็ยังอยากจะนำมาเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศนะคะ

ใจจริงแล้วกะว่าจะไปร่วมงานแค่ปล่อยลูกโป่งที่ไทยคมนนทบุรี เพราะใกล้บ้านดี
แต่พอสายๆ เห็นรูปโพสท์กันในทวิตเตอร์ เห็นคนเริ่มหนาแน่นแล้ว ใจชักแกว่ง

ที่ไหนได้ไม่นานนักเพื่อนร่วมอุดมการณ์โทร.มาชวนไป เขาว่าไปทำไมแค่เมืองนนท์
ไปโน่นเลยราชประสงค์ โหมีเพื่อนไป ไม่ไปได้ไง ตอบตกลงทันที แล้วโทร.ไป
ชวนเพื่อที่ไม่เคยขาดอีกหนึ่งคน นัดเจอกันที่ลาดพร้าว เรียกแท็กซี่แล้วไปลง
เกือบถึงแยกราชประสงค์เลยค่ะ ที่ไม่ถึง เพราะรถมันติดมาก เลยบอกแท็กซี่ว่า
ขอลงที่เซ็นทรัลชิดลมแล้วกัน แล้วเดินเท้าเข้าไป

ระหว่างทางก็เจอคนกำลังเดินไปอยู่บ้าง มีหนุ่มคนหนึ่งตะโกนทักว่า"เพิ่งมาถึงหรือ
ครับ" แหะๆ ใช่ค่ะดูสิคะ แค่ใส่เสื้อสีแดง ก็พูดคุยทักทายกันได้แล้ว เหมือนกลับไป
เจอเพื่อนเก่า ไปถึงก็พอดีเขาปล่อยลูกโป่งลอยเต็มฟ้าล่ะค่ะ เก็บรูปมาได้ 1รูป

[ภาพ: p8XIEUIbkg.jpg]

พอใกล้แยก คนก็เริ่มแน่นตามภาพค่ะ

[ภาพ: Aryoh9GmHI.jpg]

แต่ความที่ตัวเตี้ย ลงเดินบนพื้นถนนก็มองไม่ค่อยเห็นอะไร เลยขึ้นไปเดินบน
ทางเดินลอยฟ้า เพื่อที่จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น เลยได้ภาพแรกมาค่ะ

[ภาพ: KnFzVeEVJz.jpg]

ต่อมาก็เป็นภาพคล้ายๆกับทุกๆท่านที่ถ่ายมาแหละค่ะ อีกฝั่งดูเวลาไปเสนอรายงาน
ก็คงรายงานว่าเป็นการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ทำให้ดูเหมือนมาก จริงๆมีแค่ไม่กี่พัน
เท่านั้นเอง เพียงแต่โปรแกรมนี้ มีใช้กันทุกเสื้อแดง แม้แต่นักข่าวไทยรัฐหรือต่างประเทศ
เพราะภาพออกมาแน่นอย่างกับหนอน คริคริ

[ภาพ: knidGqnrrf.jpg]

มุมนี้ ใช้โปรแกรมแต่งแน่นอนค่ะ เพราะเท่าที่เช็คดู เหมือนกันทุกท่านเลยค่ะ

[ภาพ: d6NvpJFV7t.jpg]

แล้วก็ถึงเวลาบก.ลายจุด ขึ้นไปบนรถตำรวจ ประกาศจุดเทียนแล้วแยกย้ายกันกลับ
เหอๆ เพื่อนบอกว่าบก.เป็นใคร หน้าก็ไม่เห็นเหมือนพ่อ สั่งให้กลับแล้วต้องกลับ
คนก็เลยไม่กลับ คุณตำหนวดก็ไม่รู้ว่าจะจับใคร เพราะแกนนำแกนนอนก็ไม่มีแล้ว

ภาพยังมีอีกเล็กน้อย แต่เกรงใจ ถ่ายไม่ค่อยสวย เลยเอาเป็นรูปสุดท้ายแล้วกันค่ะ

[ภาพ: mlF64OfhIj.jpg]

คุณsakurabito อย่าน้อยใจไปเลยนะคะ แค่เสื้อแดงเห็นกันเองยังหนาว
แล้วอีกฝั่งจะบอกว่าไม่รู้สึกรู้สาก็คงไม่เชื่อ หรือเมื่อคืนสุมหัวกันวิจารณ์ หาทาง
แก้กันจนไม่ได้นอนล่ะม้าง ไม่ก็เฝ้าปลอบใจกันว่า มันแค่ภาพลวงตา จำนวนคน
แค่นี้ไม่พอที่จะทำอะไรได้หรอก อิอิ พูดไปก็ขาสั่นไป

สะใจโว้ย คุยกันกับคนบนsky walk เห็นตรงกันว่าที่คิดว่าจับแกนนำแล้ว
การชุมนุมจะไม่เกิด เมิงคิดผิดโว้ย (ขออภัย หยาบไปหน่อย แต่ไม่รู้จะใช้คำไหน
ถึงจะบอกความฮึกเหิมในใจ คริคริ)

ชักตื้น.. ติดกึก.. ชักลึก.. ติดกัก.


หัวข้อกระทู้วันนี้ล่ะค่ะ ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทางซาอุฯ
ออกมาแสดงความไม่สบายใจในการตั้ง พลตำรวจโทที่มีคดี
ขึ้นเป็นผช.ผบตร.

แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อ หากรัฐ ยินดีพิจารณาระงับการแต่งตั้ง
ตามที่ทางซาอุฯตั้งข้อสังเกต เรามิเสียเกียรติภูมิประเทศไปหรือคะ
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในจริงๆของประเทศเรา การแต่งตั้งโยกย้าย
ข้าราชการตำรวจเป็นเอกสิทธิ์ ของแต่ละประเทศ อันเป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจล่วงล้ำมาขัดแย้งได้

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะเผอิญเป็นเรื่องที่ทางประเทศซาอุฯให้
ความสำคัญอย่างยิ่งยวด แถลงการณ์ที่ออกมาก็ระบุว่า ได้เฝ้าติดตาม
คดีนี้มานานนับ 20ปี จนเกือบจะหมดอายุความอยู่แล้ว

ทางซาอุฯมีเงินพอที่จะส่งสายสืบเข้ามาสืบจนได้ข้อเท็จจริงว่าการแจ้ง
ความดำเนินคดีพลตำรวจโทคนนี้มีมูล แม้ไทยจะไม่ดำเนินการอะไร
เขาก็สืบทราบจนรู้และแน่ใจว่าน่าจะเอาผิดได้

เรื่องก็ยังคาอยู่ในศาล จะพิจารณานัดแรกกันในวันที่ 25 พย. ปีนี้แหละค่ะ
โดยปกติ คนที่ต้องคดีฟ้องร้อง จริงอยู่ทุกคนที่ถูกฟ้อง ยังไม่อาจตัดสิน
กันเองได้ว่าผิดหรือถูก จนกว่ากระบวนการพิจารณาในศาลจะจบสิ้น และมี
คำพิพากษาออกมา แต่ส่วนใหญ่ เขาก็จะต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินคดี ยิ่งคนที่ต้องคดีเป็นตำรวจ
โอกาสเข้าถึงข้อมูล หลักฐาน ก็น่าจะมีมากกว่าคนปกติ ดังนั้นเพื่อความ
สบายใจของผุ้ฟ้อง อย่างน้อยการแสดงความจริงใจด้วยการให้ออกจาก
ราชการเอาไว้ก่อน จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ

แต่เอาเถอะ ขั้นตอนนั้นมันผ่านไปแล้ว ไม่พักราชการก็ไม่ว่า(ทั้งๆที่ไม่ได้
ปลดออก แค่พักไว้ก่อน หากตัดสินว่าไม่ผิดก็กลับเข้ารับราชการใหม่ก็ย่อม
ได้ และก็เห็นทำกันออกบ่อยไป เงินเดือนเบี้ยหวัดก็เบิกย้อนหลังได้ไม่มีปัญหา)

แต่การตั้งขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงขึ้น แม้จะอ้างว่าไม่มีอำนาจพิเศษในการที่จะ
ไปทำให้คดีเปลี่ยนแปลง แต่ผุ้ฟ้องและผู้เสียหายก็คงไม่สบายใจนัก ก็เมื่อยังไม่รู้
ว่าผิดหรือถูก จะไปอวยยศอวยศักดิ์กันอย่างไรได้ จึงเกิดอาการที่ทางซาอุฯแถลง
การณ์ความไม่สบายใจออกมาหลายครั้ง จนจะกลายเป็นการกระทบความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศไปใหญ่โตแล้ว

จะให้ระงับคำสั่งแต่งตั้งก็ดูจะเป็นการยอมซาอุฯมากไป ครั้นจะไม่ยอม(ด้่วยอ้างเหตุ
กฎหมายอะไรก็แล้วแต่) ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่รับฟังกันง่ายๆ

มันก็เลยเกิดอาการ ชักตื้น.. ติดกึก.. ชักลึก.. ติดกัก ตามหัวข้อกระทู้แหละค่ะ
ทีนี้จะหาทางออกกันอย่างไร ไม่ว่าจะออกทางไหนก็ดูจะเสียไปทุกทาง
ยิ่งการที่จะให้พลตำรวจนายนั้นลาออกยิ่งจะไปกันใหญ่

เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากผุ้บริหาร ในที่นี้ก้หนีไม่พ้นไอ้ฆาตกรเด็ก
แม้จะอ้างว่าเรื่องนี้อยู่ในความดูแลของรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ทีดูแล
ตำรวจอยู่ก็ไม่ได้ แต่มันสะท้อนให้เห็นความอับปัญญของไทย ที่คิดไม่เป็น
สมองน้อย มองปัญหาไม่ลึกซึ้ง ไม่เข้าใจธรรมชาติของปัญหา เหมือนทุกเรื่อง
ที่ทำมาตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง เรื่องนี้หากคิดเป็น ต้องจัดการได้อย่างเงียบๆ
ไปตั้งนานแล้ว เช่นการแอบกระซิบกันว่าให้มันรอสักหน่อย รอการตัดสินที่ดู
เหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด อายุราชการหรือก็ยังมี ใช่ว่าจะเกษียณปีนี้ปีหน้า
เสียเมื่อไหร่ จะตอบแทนกันเมื่อไหร่ก็ไม่น่าเป็นปัญหา เว้นแต่ว่าดีไม่พอที่จะ
ได้เป็นหากรัฐบาลนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจกระมัง

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเป็นที่สุด ผูกกันเองก็แก้กันเองก็แล้วกันนะเด็กปัญญาอ่อน

ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์


ต่างคนต่างอ้างผลประโยชน์ บ้างก็ว่าเพื่อผลประโยชน์ชาติ
บ้างก็ว่าเพื่อผลประโยชน์ขององค์กร

แล้วจริงๆผลประโยชน์ควรต้องเป็นของใคร หากเป็นประเทศประชาธิปไตย
ผลประโยชน์ของประชาชนต้องเป็นใหญ่ที่สุด เหมือนที่อเมริกา เขาว่า
"เพื่อประชาน โดยประชาชน" เพราะประชาชนใหญ่สุด ทุกอย่างต้องทำ
เพื่อประชาชน

แต่ในประเทศด้อยพัฒนา ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของคนเพียงกลุ่มเดียว
แม้จะอ้างต่างๆนานา แต่ก็เพื่อตนเองและพวกพ้อง

ดูแค่การประมูลระบบ 3G ยังถูกเตะตัดขาโดยอีกหน่วยงาน โร่ไปฟ้องศาลให้คุ้มครองชั่วคราว
โดยอ้างเหตุข้อกฎหมาย ถึงกับขู่ว่าหากประมูลไปแล้วพบว่าผิดกฏหมาย ใครจะรับผิดชอบ
มีการยื่นฟ้องศาลให้คุ้มครองก่อนการประมูล 2-3วัน ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาจะประมูลกัน
แทนที่จะจับเข่าคุยกันก่อนให้เรียบร้อย กลับไม่ทำ กลับรอมาหักหน้าเอาวันใกล้ประมูล

ศาลก็ดีใจหายรับเรื่องแล้วก็น่าจะเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ ฮือฮากันมาทีหนึ่งแล้ว
แต่ก็เป็นแค่ข่าวว่าแค่รับไว้พิจารณา แต่ยังไม่มีคำสั่ง โอ้โอ๋ เกิดอะไรขึ้น อีกองค์กร
เขาก็เลยจัดการประมูลต่อ ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อย เป็นการจัดการประมูลที่โปร่งใส
ว่ากันว่ามีการถ่ายทอดสดด้วยซ้ำ

ทะแล้น....แล้วคำสั่งศาลก็มา ในขณะที่สื่อ และผู้ติดตามกำลังรับประทานอาหาร
ฟ้าผ่าโครมลงมา งานที่จัดเตรียมไว้ก็ล้มครืน เขาทวีตบอกมาตั้งแต่วินาทีที่รับทราบ
คำสั่งสาล ทีนี้โลกก็แตกสิคะ

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ นี่เราปกครองกันด้วยศาลหรืออย่างไร กี่ครั้งแล้วที่ศาล
มีคำสั่งอันเป็นผลให้เกิดการชะงักงันของความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
ไม่อยากจะว่าหรอก เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการดูหมิ่นศาล แต่ประเทศนี้ก็เหลือเกิน

ถามจริงๆ ศาลเนี่ยท่านเรียนกฎหมายมาไม่ใช่หรือ แล้วท่านมีความรู้เรื่องที่ท่านตัดสินหรือ
มีคำสั่งมากน้อยเพียงใด ในต่างประเทศเขาถึงใช้ระบบอนุญาโตตุลาการ เพราะบาง
ครั้ง ตัดสินด้วยข้อกฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ เขาต้องมีคณะกรรมการที่เชี่ยวชาญ
ในเรื่องต่างๆเหล่านั้นเข้าร่วมพิจารณาตัดสินด้วย เช่นข้อขัดแย้งในการก่อสร้าง
ก็ต้องมีทั้งผุ้ที่เป็นผุ้รับเหมา ผู้เป็นวิศวกรที่ปรึกษา มาร่วมพิจารณาด้วย

อีกอย่างเรื่องนี้จะไม่ต้องไปถึงศาลเลย หากประเทศนี้พูดภาษาเดียวกันทั้ง กสท.
และกทช. แต่นี่เป็นเพราะเราพูดคุยกันเองไม่ได้ ต่างอ้างแต่ผลประโยชน์ขององค์กร
ที่ตนสังกัดอยู่ เลยงัดข้อกันเสียอย่างนั้น ทำกิจการเดียวกัน แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้
ต้องแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วก็อ้างโน่นอ้างนี่ จนชาติเสียประโยชน์

คนที่รับกรรมก็คือประชาชน ไอ้รัฐบาลเฮ็งซวยก็จัดการอะไรไม่ได้ ได้แต่มองตาปริบๆ
แล้วพล่ามว่าต้องเคารพศาล เจ้าข้าเอ๊ย ถ้าทำได้แค่นี้ ก็ไสหัวไปเสียเถอะ ใครๆก็พูดได้
ไม่ต้องมาเป็นผู้บริหารหรอก

ผลประโยชน์ของใครจะยิ่งใหญ่ไปกว่าผลประโยชน์ของประชาชน ฟังชาวบ้านบ้างโว้ย

ไม่ลา ไม่ไป

ไม่ไปไหนทั้งนั้นจะอยู่ตั้งกระทู้กวนตีน อยู่แถวนี้แหละค่ะ
ไม่รู้อะไรกันนักหนา เหนื่อยนักพักก่อนก็ได้ค่ะ

เดี๋ยวนี้ป้าก็เข้าบ้างไม่ได้เข้าบ้าง เพราะมีภาระกิจติดพัน
ไหนจะต้องออกไปช้อบปิ้ง ดูซีรี่ย์เกาหลี โอ๊ยสาระพัดงานยุ่ง

เมื่อวานหนูมะแขว่น(ยังจำเธอกันได้หรือเปล่า) โทร.มาหา
บอกว่าช่วงนี้มากทม. ปกติอยู่ชายแดนภาคใต้ ฝากความคิดถึงมา
ยังทุกท่าน โดยเฉพาะคุณยะลา เห็นว่าเคยส่งแมวไปหาก็ไม่ได้รับการตอบรับ

เธอว่าสบายดี แต่ไม่มีเวลาเข้าบอร์ด ได้รู้ข่าวก็มีความสุข ที่เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ยังอยู่
ดีมีสุข อุมดมการณ์ยังเหมือนเดิม คิดถึงสำบัดสำนวนกวนๆของเธอขึ้นมาติดหมัด

อยู่ร่วมกันก็กระทบกระทั่งกันบ้าง (ก็พื้นที่มันคับแคบ ถูกกระชับพื้นที่ เหลือแค่นี้เอง)
ลิ้นกับฟันอยู่ใกล้กันก็กระทบกันพอเจ็บๆแสบๆ อย่าถือสาหาความกันเลยนะคะ
ฝ่ายตรงข้ามรู้เข้่าจะหัวเราะเยาะเอาเปล่าๆ

อย่างไรเสีย ก็ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเหมือนๆกัน ตั้งธงชัยเอาไว้ข้างหน้า
แล้วสักวันหนึ่งเมื่อได้ชัยชนะ จะมาหัวร่อกับเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ไปได้
รักและหวังดีกับทุกๆท่นค่ะ ฝุ่นเวลาตรลบ ต้องถอยออกมา อย่าให้ฝุ่นเข้าตา
มันจะมองอะไรไม่เห็น เผลอๆก็จะฟาดเอาพวกกันเองไปได้ ขอบคุณค่ะ

ขอบอกรักพลเอกชวลิตอีกสักครั้ง

เมื่อวานเขาประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ซึ่งได้
คุณยงยุทธกลับมาอีกครั้ง ในการนี้พลเอกชวลิตได้กล่าวว่า

เขามีทุกอย่าง อำนาจ เงิน ปืน

แต่สิ่งที่ขาดคือ มหาชน

ทราบแล้วก็แช่มชื่น พ่อจิ๋วที่คนหลายคนมองว่าพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง มาพักหลังๆ
จะสังเกตได้ว่าพูดชัดเจนขึ้น ฟังเข้าใจง่ายขึ้น และตรงเป้ามากที่สุด

พลเอกชวลิตบอกว่า ภารกิจของพวกเราวันนี้ต้องช่วยกันฟื้นฟูมวลชนของเราคือ
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน
หรือคนเสื้อแดง ที่คอยให้การสนับสนุนพวกเรามาโดยตลอด พวกเราต้องไม่ทอดทิ้ง
พวกเขา แต่ต้องช่วยกันสนับสนุนคนเสื้อแดงเพราะพวกเขารอพวกเราอยู่
เพราะมวลชนคือหัวใจของประชาธิปไตย นอกจากการที่เราต้องรักษามวลชน
ของเราเอาไว้แล้วก็ต้องมีการขยายมวลชนออกไป เพิ่มเติม เหมือนอย่างเช่น
ภาคใต้วันนี้มีการเปลี่ยนแปลง พรรคมีการตั้งศูนย์ประสานงานของพรรค
และได้รับการตอบรับอย่างดี


เมื่อประธานพรรคเพื่อไทยพูดเช่นนี้ ก็ขอเรียกร้องให้คนที่เริ่มจะมีความรู้สึกที่ไม่ดี
ต่อพรรคเพื่อไทย ถึงขนาดจะไปตั้งพรรคเสื้อแดงออกมาต่อสู้เอง ระงับไว้เถิดค่ะ
การทำพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าแยกกันตีเลย เพราะคะแนนจะกลายเป็น
เบี้ยหัวแตก โอกาสเป็นรัฐบาลมันยาก ถ้าชนะมาแม้จะเป็นเสียงข้างมาก แต่หาก
ต้องอาศัยพรรคร่วมเหมือนสมัยพลังประชาชน มันก็ต้องเกิดปัญหา

แต่หากเราได้เสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยมีพลังมวลชนสนับสนุน โอกาสพ่ายแพ้
ก็คงยากแล้ว สมัยก่อน เราไม่รู้ว่ามวลชนมีพลังมหาศาล แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ก็ต้องใช้
ให้เป็นประโยชน์

พ่อจิ๋วก็บอกแล้วว่าไม่ได้ทิ้งเรา ระบอบประชาธิปไตย อย่างไรเสียก็ต้องอาศัย
นักการเมือง นักการเมืองจะดีบ้างเลวบ้างก็ต้องใช้ ให้รู้แต่เพียงว่าเราประชาชน
ต่างหาก ที่เป็นคนใช้นักการเมือง ไม่ใช่นักการเมืองมาใช้เราซึ่งเป็นพลังอันยิ่งใหญ่

ใครจะพูดอะไรขัดหูขัดตาไปบ้าง ก็ต้องดูให้ชัดว่าในใจเขาคิดอะไร จะให้เขาคิด
และพูดออกมาตรงๆเหมือนกับพวกเราที่แอบนินทาอยู่ได้ไง เพราะถามจริงๆ พวกที่
ปากเก่งๆในเวป หรือในหมู่เพื่อนฝูง ให้ออกไปพูดในที่สาธารณะ อย่างที่ใจคิดได้ไหม

ไม่ว่าคุณทักษิณ หรือพ่อจิ๋ว หรือนักการเมืองบางคน เขายืนอยู่กลางแจ้ง แสงไฟ
สป็อตไลท์จับจ้องหน้าอยู่ จะให้เขาพูดเหมือนพวกที่หลบอยู่ในหลืบ พวกที่หลบอยู่
ต่างประเทศอย่างไรได้

ยอมรับเถอะค่ะว่าวันนี้ยังไม่ใช่วันของเรา ไม่ใช่วันที่จะวิ่งเอาหัวชนกำแพง
ทางที่ถูก ช่วยกันทำให้พลังประชาชนเข้มเข็งและมีอำนาจเสียก่อนจะดีกว่า
โบราณว่า "เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" ก็เขาแกงปลาไหล สับจนละเอียด
จะเขี่ยทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หิวก็ต้องเสาะหากินใส่ท้องให้มีแรงไปก่อน ถ้าทุกคน
ฝืนกลืนกินเนื้อปลาเข้าไปให้หมด สักวันหนึ่งมันก็ต้องหมด ถึงตอนนั้นค่อย
ขับมันออกมาพร้อมกับอุจจาระตอนเช้าก็แล้วกัน

รายงานด้วยภาพถ่าย

เมื่อวานไปงานที่13เหรียญมาค่ะ รวมพลกันที่ปากเกร็ด ไม่น่าเชื่อนั่งอัดกันไป8คน
ดีที่ว่าไม่ไกลมาก เพราะแต่ละคนไม่รู้จักทางกันเลย เลยตัดสินใจไปคันเดียวดีกว่า
เพื่อป้องกันการพลัดหลง อีกอย่างขากลับ หากมืดแล้ว ป้าๆลุงๆคงหาทางกลับไม่เจอ

ไปถึงงานเกือบหกโมง ครั้งแรกเห็นว่าจัดห้าโมงนี่นา นางเอกเลยกะไปสายหน่อย
ที่ไหนได้หน้างานเขาเขียนว่า18.00น. โห นางเอกเลยต้องโชว์ตัวอยู่หน้างาน
นานเลยค่ะ คนเยอะมากๆ เข้าคิวรอเข้างานกันเต็มไปหมด

[ภาพ: zRAxVPn0Wm.jpg]

ป้ายหน้่างานค่ะ เป็นที่โพสท์ท่าถ่ายรูป แบบงานไฮโซทั่วๆไปที่ต้องมีมุมไว้ถ่ายภาพ
คนดังๆที่มาร่วมงาน เวลาเอาไปลงสื่อจะได้รู้ว่ามางานอะไร อีกทั้งจุดนี้ยังเป็นจุด
ดักสัมภาษณ์คนดัง โดยThailandmirror อีกด้วย แน่นอน ดาราเก่า"ป้าปากเกร็ด"
ก็ไปยืนให้สัมภาษณ์มาด้วยนะเออ อิ๊อิ๊

[ภาพ: io0wkYm9si.jpg]

อันนี้สงสัยไปยืมมาจากวัดบัวขวัญ แกนั่งโบกมือตลอดงาน สยดสยองพอสมควร
สังเกตได้ว่าภาพสั่นไหว เพราะคนถ่ายไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วมือไม่ก็สั่นอย่างสมจริง ฮา

[ภาพ: UHF8ncMfl0.jpg]

รูปนี้เป็นคิวการรอเข้างานค่ะ มีที่ไหนกัน เงินก็เสีย แล้วยังต้องรอเวลาเข้างาน
เพราะเขามีทริ้กในการเข้างานเล็กน้อย ไม่สามารถแจ้งผ่านหน้าจอได้ อันตรายเล็กน้อย
ยิ่งในยุคคนบ้าครองเมือง มันขวัญอ่อนและก็คิดมาก เดี๋ยวจะพาลหาเรื่องเอาได้

[ภาพ: Nb2oVvwW1g.jpg]

งานนี้มีทั้งชายชุดดำ และลายพราง จึงเป้นข้อพิสูขน์ว่ามันเป้นพวกเดียวกันค่ะ
ก็ดูสิคะ เดินไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไอ้ลายพรางก็ไม่ยักจะจับไอ้ชุดดำ

[ภาพ: v9OEaMPQ0H.jpg]
รูปนี้เป็นผีที่มากันเป็นกลุ่ม น่ารักดีเลยแอบถ่ายเอามาอวด

[ภาพ: CiQBv5IepB.jpg]

หน้างานชัดๆอีกที

[ภาพ: 9qKB4EZdUy.jpg]

ต่อไปเป็นบรรยากาศการเข้างาน ตั้งใจทำให้เบลอ เพื่อหลีกเลี่ยงพวกคลั่ง
แต่สังเกตดูคนเข้างานร่าเริงกันมาก อิ๊อิ๊

[ภาพ: USzsLg6jCr.jpg]
อันนี้เพื่อนเห็นมีเขาแว้บๆเหมือนกันเลยขอเข้าไปแจมด้วย

[ภาพ: BAXLdrK3Uw.jpg]
ปรากฎตัวบนเวทีคนแรกค่ะ น.อง อนุดิษฐ์ นาครธรรพ

[ภาพ: AoaH22wJoq.jpg]

รายต่อมาก็จ่าประสิทธิืค่ะ รูปไม่ค่อยชัดนะคะ คนถ่ายมือสั่นอีกแล้ว

[ภาพ: zaOdeCtpt9.jpg]

พี่เปีย (รองประธานสภา ลืมยศเสียแล้ว คุณอภิวันท์ น่ะค่ะ)

[ภาพ: e3a1wBRO6S.jpg]
ดูไอ้ลายพรางสิคะ มันทำกะน้องหนูได้ เลวมากๆ น้องหนูคนนี้มีแผลถูกยิง
เต็มตัวเลยค่ะ อิ๊อิ๊

[ภาพ: TaopbKGK6W.jpg]

รูปสุดท้าย มาทายกันว่ารูปใคร รู้จักกันไหมคะ

[ภาพ: EKV7WtDodw.jpg]

ไม่ได้อยู่ร่วมงานจนจบ เพราะพอเขาเอาวงดนตรีมาบรรเลง ก้เกิดอาการคับข้องใจ
เลยชวนกันกลับ มาเมาท์ต่อที่บ้านน่ะค่ะ ก็แหมวงดนตรี เล่นเพลงป๊อบ เก๊าเก่า
ก็ไม่ว่าหรอก ดั๊นไปเอาเพลงของเจเหลืองอ๋อยมาร้องอีก ทนไม่ไหวเลยชวนกันกลับ
น่าจะเล่นเพลงของเสื้อแดงสักหน่อย มีตั้งหลายเพลง กลับไม่ทำ คณะจัดงานรับไป
พิจารณาด้วยนะคะ งวดหน้าถามเขาก่อนว่าเล่นได้ไหม หากไม่ได้ไม่ต้องจ้างมาให้
เสียสตางค์หรอกค่ะ เปิดแผ่นเอายังมันกว่าเยอะ จบการเสนอข่าว

แผนปรองดองของป้าปากเกร็ด

ประเทศมีปัญหา ใครๆก็รู้ ทุกคนอยากให้ประเทศสงบ กลับมาเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม
เป็นสยามเมืองยิ้ม ร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้ง หลายฝ่ายหลายเหล่าพยายามที่จะเสนอแผน
คาดหวังว่าหากทำได้ ปัญหาจะหมดไป

ช้าก่อน ปัญหาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก และไม่ใช่เพิ่งจะเกิด มันเกิดมานานแสนนาน
เป็นเหมือนไฟสุมขอน ในประเทศที่ชอบเอาปัญหาซุกไว้ใต้พรม เก็บกวาดแต่
ภายนอก แล้วหลอกตัวเองว่า ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะมองไม่เห็นปัญหา ดังนั้น
ก็เลยคิดว่าปัญหามันหมดไปแล้ว

แต่ในความจริงแม้จะมองไม่เห็นปัญหา แต่ทุกคนก็รู้ว่าปัญหายังมีอยู่ มันยังซุก
อยู่ใต้พรมนั่นไง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด สิ่งที่อยู่ใต้พรมก็ไม่อาจ
จางหายไป เหมือนคำที่พูดกันว่าสสารไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ มันอาจแปรเปลี่ยน
สภาพกลายไปเป็นรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม แต่มันยังคงอยู่ ตราบใดที่เราไม่กำจัด
ปัญหานั้น มันก็คงอยู่กับเราตลอดไป รอเพียงเวลาที่จะมีใครไปเขยิบพรม
ให้มันฟุ้งขึ้นมาอีก

เมื่อรู้และเข้าใจว่าปัญหายังมีอยู่ วิธีที่จะแก้ปัญหา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ป้าจึงขอนำ
เสนอแผนปรองดองฉบับประชาชน ประชาชนคนธรรมดาที่เห็นและรับรู้ว่าประเทศ
กำลังมีปัญหา เป็นแผนปรองดองที่ไม่ใช่มาจากนักการเมืองที่หวังเพียงผลการเลือกตั้ง
ไม่ใช่แผนปรองดองที่มาจากคนกุมอำนาจ ที่หวังเพียงเพื่อจะรักษาอำนาจให้คงอยู่
ไม่ใช่แผนปรองดองที่มาจากแกนนำ หรือแกนนอน ที่หวังผลเลิศ

แต่เป็นแผนของชาวบ้านธรรมดา แผนปรองดองของประชาชนมีดังนี้ค่ะ

1. ทุกคนต้องยอมรับความจริง ข้อนี้สำคัญที่สุด หากยังปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
ทำเป็นมองไม่เห็นความเป็นจริงที่เป็นอยู่ โอกาสที่จะแก้ไข ก็คงทำไมได้

ความจริงคืออะไรคะ?....ความจริงคือ มีการชุมนุมจริง มีคนตายจริง มีคนเจ็บจริง
ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น พักเอาไว้ก่อน ต้องยอมรับในความจริงข้อนี้ก่อน
การทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ไม่เห็น ทำเหมือนคนที่เจ็บ คนที่ตาย ไม่มีตัวตนไม่ได้
หรือคิดเพียงว่าคนเหล่านั้นสมควรที่ต้องเจ็บและตายไม่ได้ เพราะหากทำอย่างนั้น
การแก้ไขยิ่งจะทำได้ยากขึ้น

2.เมื่อรับรู้ความเป็นจริง ก็ต้องจัดการทำความจริงให้ปรากฎ โดยผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
ต้องหยุดการกระทำที่จะเป็นการยั่วยุ ใส่ร้าย และปกปิด ข้อมูลอันจะนำมาซึ่งความกระจ่าง

เริ่มที่รัฐบาล อันเป็นตัวหลักในปัญหาครั้งนี้ ต้องลาออก ยุบสภา เพื่อให้เกิดความสบายใจ
แก่ฝ่ายที่ถูกกระทำ เพื่อให้ความมั่นใจว่าการสืบค้นความจริงให้ปรากฎจะไม่ถูกชักนำโดย
ผู้กระทำความผิด แม้จะอ้างว่าไม่ได้สั่ง ไม่ได้ทำร้ายประชาชน แต่ผลที่ออกมาเป็นรูปธรรม
คือมีคนถูกทำร้ายจริง การอยู่ในตำแหน่งจึงทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อผุ้สูญเสีย

3.ทำการสอบสวนอย่างเป็นธรรม รับฟังข้อมูลจากอีกฝ่าย ศึกษาข้อมูลจากภาพถ่าย
คลิ้ปวิดีโอที่มากลาดเกลื่อน แล้วทำความจริงให้ปรากฎ ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น
เกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นความจงใจ หรือผิดพลาด (ตามที่หมอที่สถาบันพระปกเกล้า
ออกมาบอก) ก็ต้องเปิดเผยออกมาให้หมด

แม้ผลจะออกมาว่าการฆ่าและทำร้ายประชาชน ทำไปโดยมีความเชื่อมั่นว่าคนเหล่านั้น
สมควรตาย เพราะเป็นอริราชศัตรู เป็นตัวอันตรายต่อประเทศชาติ ก็ยังจะดีกว่าที่ปฏิเสธ
ว่าไม่มีการฆ่า เพราะเมื่อรู้แน่ชัดแล้วจะได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงต่อไป

4.หากยอมรับว่าจำเป็นต้องฆ่า ต้องมีเหตุผลอธิบายได้ จะได้รู้ว่าทำไมต้องฆ่า เพราะ
ปัจจุบัน คนยังค้างคาใจว่า แค่ออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา ทำไมต้องฆ่า การออกมา
พูดความจริงว่าที่ฆ่าเพราะ ไปคาดเดากันเอาเอง ไปหวาดกลัวกันเอาเองว่าเขาจะ
ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาคิดกันอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง เปิดกันออกมาให้หมดว่า
แต่ละคนทำไปเพราะอะไร แล้วจึงจะแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ

5.หากกล่าวว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ก็ต้องทำให้เป็นจริง
อย่าได้นำมาเป็นข้อกล่าวอ้างในการทำร้าย ทำลายผู้อื่น ให้ยุติการเอ่ยถึง
ไม่ว่าจะเป็นทางดีหรือทางไม่ดี จากทุกฝ่าย ไม่ควรดึงเอามาเป็นข้อขดแย้ง
ไม่ควรดึงเอามาเป็นเครื่องต่อรอง ว่าต้องแสดงว่าจงรักภักดีก่อนถึงจะคุยด้วย
ต้องไม่กล่าวอ้างเสียก่อน จึงเป็นการกระทำที่ดีที่สุด

ความจงรักภักดีไม่เกี่ยวกับัญหา ไม่สมควรเอามาเป็นข้อขัดแย้ง เพราะการ
แสดงออกของแต่ละคนในความจงรักภักดีไม่เหมือนกัน การพูดว่าจงรักกักดี
ก็ไม่ได้หมายความว่าผุ้กล่าวจะเป็นคนดีกว่าคนอื่นๆ

หากคิดว่าเรื่องนี้เป็ของความขัดแย้งของคนในชาติ พระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่
เหนือการเมือง ก็ไม่สมควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ พระองค์ท่านทรงวางเฉย
ในปัญหาของความขัดแย้งในเรื่องนี้แล้ว จึงไม่สมควรที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะ
นำมาเอ่ยอ้างให้อีกฝ่ายประกาศความชัดเจนอะไรอีก

6.สุดท้ายปัญหาจะยุติลงได้ เกิดความปรองดองได้ ทุกคนต้องยุติบทบาท ต้องยุบสภา
ทันที ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ต้องมีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลใหม่ และทำการสืบค้นความจริง
อย่างเที่ยงธรรม คดีทางการเมืองต้องยุติด้วยวิถีทางการเมือง อย่าใช้ศาลเป็นเครื่องมือ
ในการอวยประโยชน์ หรือให้โทษแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

ดังนี้จึงขอเสนอเป็นแผนปรองดองในภาคประชาชน

อนุพงษ์...อยู่ไหน

ไม่ทราบว่าลูกน้องได้ไปรายงานให้ฟังหรือยัง ว่าตั้งแต่ออกมาพูดว่า
ทหารไม่เคยทำร้ายประชาชนน่ะ เขาเอาไปตั้งกระทู้กันเต็มไปหมดเลยนะ
แทบทุกเวปการเมืองเลยล่ะ แล้วแต่ละกระทู้น่ะ เขาสรรเสริญเยินยอ
จนคิดว่าถ้าได้มาอ่าน คงต้องแดรกข้าวไม่ลงไปอีกหลายวัน

ท้องคงอืดคงเฟ้อน่าดู อยู่ดีไม่ว่าดี เฉือกออกมาเห่าให้ชาวบ้านเขาด่า
ดีจริงๆน้อ ลองให้ลูกน้องก๊อบไปให้อ่านบ้างสิ จะได้รู้ว่าคนเขารู้สึก
กันยังไงเวลาที่ได้ยินว่าไม่เคยมีคำสั่งเป็นรายลักษ์อักษร ไม่มีคำสั่ง
เป็นวาจา

แค่ทหารเอี้ยๆยิงประชาชนมือเปล่า ก็นับว่าแย่แล้ว ดั๊นออกมาบอกว่า
ไม่มีคำสั่ง งั้นก็แสดงว่าทหารมันเอี้ยจริงๆน่ะสิ ตะลุยยิงชาวบ้านชาวช่อง
จนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ถึงขนาดเอาป้ายไปติดว่า"กรูจะยิงจริงๆน้า"
เป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ(ที่ก็ผิด) ไอ้ทหารใต้บังคับบัญชา
ของเมิงเนี่ยเอี้ยจริงๆด้วย ไม่มีคำสั่งยังไปทำ

แต่ไม่ว่าเมิงจะสั่งหรือไม่ได้สั่ง ลูกน้องทำผิดร้ายแรงขนาดนี้ เบิกอาวุธ
หนักไปถล่มขนาดนี้ เบิกงบกันสนุกมือขนาดนี้ ในฐานะหัวหน้า เมิงก็
ต้องรับผิดอยู่ดีไม่ใช่หรือ เพราะไอ้เอี้ยพวกนั้นมันอยู่ใต้อานัติของเมิง

การออกมาแก้ตัวหน้าด้านๆ นอกจากไม่มีใครเขาเชื่อแล้ว เขายังด่าเมิง
และลูกน้องจนเละไม่เหลือซากอีกด้วย สมองมีน้อย แต่ก็น่าจะพอมีบ้าง
ลองคิดทบทวนดูสิว่าเวลาผ่านไปตั้ง4เดือนแล้ว ภาพข่าวก็ออกไปแล้วทั่วโลก
การแก้ปัญหาด้วยวิธีแก้ตัวมันไม่ช่วยอะไรจริงๆ

เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าไอ้นี่เป็นอะไรก็ไม่เคยดีสักอย่าง สมัยเป็นลูกน้อง
(ผบ.ทบ. เป็นลูกน้องโดยตรงของนายกรัฐมนตรี) สมัยคุณสมัคร,
คุณสมชาย ก็พาพวกมาออกทีวีไล่เจ้านายให้ลาออก(สมัยนั้นเคย
โทร.ไปด่ามันกับหน้าห้องเลยด้วยซ้ำ)

พอเป็นหัวหน้า ทุกหน่วยที่มันออกมายิงประชาชน กลับออกมาปฏิเสธ
ว่าไม่เคยสั่ง ก็แล้วไอ้ที่ลูกน้องมันทำ(ฆ่าคนตายโครมๆ)นี่มันทำตามคำสั่ง
หมาหรืออย่างไร

ก็อย่างว่าน่ะเนอะ เป็นลูกน้องที่เลว จะเป็นเจ้านายที่ดีได้อย่างไร

ภาพที่เห็น..มันไม่ตรงกับคำพูด

"ผมยืนยันว่า เราไม่มีคำสั่งอย่างนี้ ผมไม่ได้ว่า ใครยิง แต่ให้คนที่พูดไปดูและพิสูจน์มา อย่ามาให้ร้ายว่า คนโน้นคนนี้ยิง ผมยืนยันกับสังคมว่า การกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง สิ่งที่ผมกังวลคือ มีการใส่ร้ายทหาร ซึ่งทำไม่ได้ เพราะสถาบันหลักทหารเป็นสถาบันหลักของชาติ เราอยู่กับประชาชน ทหารไม่มีทางทำร้ายประชาชน เพราะจะให้ผมสั่งอย่างนั้นทำไม่ได้ หากมีคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นวาจานำมายืนยันได้ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง”พล.อ.อนนุพงษ์ กล่าว

เป็นทหารต้องมีความรับผิดชอบ กล้าหาญชาญชัยมากที่ออกมาบอกว่าจะรับผิดชอบ
เถียงหัวชนฝา ยืนกระต่ายขาเดียวว่าทหารไม่ได้ทำ ทหารไม่ได้ฆ่า ไม่แม้แต่จะทำร้าย
ประชาชน

มั่นใจขนาดนั้นเชียวว่าไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นทางลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่วาจา
ว่ามีคำสั่งให้ทำร้ายประชาชน แต่ภาพที่ปรากฎ มันเห็นกันชัดๆว่าทหารยิง แม้แต่เสียงก็ยังมี
เสียงที่ชี้เป้า แล้วสั่งให้ยิง จนเมื่อยิงร่วงผลอยไปแล้ว ก็ยังบอกอีกว่าร่วงแล้วไม่ต้องซ้ำ
ไอ้เวรมันยังซ้ำอีก ถาพเหล่านี้จะอ้างว่าอะไร ไปยิงหมายิงแมวที่ไหน วันเวลาสถานที่ชัดเจน

เป็นหัวหน้า หน้าด้านออกมาแก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ เห็นสมควรให้ยุบกองทัพบก
ดีกว่าเพราะทำแล้วไม่รับ หลักฐานภาพถ่ายชัดเจนกลับบอกว่าไม่ได้สั่งให้ฆ่า
แล้วที่ล้มตายด้วยกระสุนความเร็วสูง(ตามที่ชัณสูตรมา) มันเป็นอาวุธของใคร

ทำไมไม่มีภาพถ่ายของคนเสื้อแดง หรือแม้แต่คนเสื้อดำ ที่ส่องยิงผุ้คนจนล้มตาย
เลยแม้แต่รูปเดียว จะเห็นมีก็ในช่วงวันที่ 10 เม.ย. 53 ที่โผล่ออกมาแว้บๆ ยิงใคร
ไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าหมายตายไปเกือบกอง หัวหน้าหมาก็ดันตายไปเสียอีก
เลยไม่มีพยานยืนยันว่าใครยิง แต่ประชาชนที่ยังไม่ตาย ที่บาดเจ็บเขาพูดเป็นเสียง
เดียวกันว่าทหารยิง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ

ภาพนี้น่ะ อนุพงษ์ เคยเห็นไหม คนในภาพเป็นทหารหรือเปล่า หน้าตาชัดเจนขนาดนั้น
ถ้ามั่นใจ ในฐานะประชาชนก็ขอท้าให้ไปหาตัวมาสอบถามหน่อยว่า ยิงทำไม ใครเป็นคนสั่ง
ถ้าหัวมันไม่ส่ายหางมันกระดิกอย่างนี้ มันต้องเอามาฆ่าให้หมดเพราะทำผิดวินัยชัดเจน
ทำเกินคำสั่งจริงไหม อนุพงษ์ กล้ารับคำท้าไหมล่ะ





อันนี้ก้มาจากสำนักข่าวต่างชาตินะ ลองดูเสียบ้าง แล้วจะกล้าออกมาปฏิเสธอีกไหม



อันสุดท้ายก็ฟังดีๆนะ ไอ้หมาในชุดทหารน่ะมันบอกว่า"มีคนเหรอ ยิงเลย"
คงไม่ใช่ลูกน้องมึงมั้ง ใส่ชุดทหารชัดๆ สั่งชัดเจน มึงหลอกใครอยู่หรืออนุพงษ์
หลอกตัวเองก็คงไม่ไหวมั้ง ทุกวันนี้นอนหลับสนิททุกคืนหรือเปล่า



จริงๆแล้วยังมีอีกมากมายนะ แต่อย่างว่าสีซอให้ควายฟัง มันก็คงหูหนวกตาบอดอยู่นั่นแหละ
ก่อนจบหากมีโอกาสได้อ่านกระทู้นี้ ขอถามคำเถอะว่า ไม่อายบ้างหรืออนุพงษ์?

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ชายชุดดำ..... พ่องสิ


ไอ้เมือกออกโรงมาแก้ตัวว่าการชันสูตรศพที่ตายในเหตุการณ์ เม.ย.-พค. 53
ว่าทำถูกต้องตามกระบวนการแล้ว เมื่อพล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วน
พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสดเรื่องการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุ
วุ่นวายทางการเมือง ชี้ชันสูตรศพเสื้อแดงผิดขั้นตอน

มันบอกว่า “ที่บอกว่าผู้เสียชีวิตเกิดจากการกระทำของเจ้า หน้าที่เป็นการสรุปเอาเอง
เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน และเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีใครมาบอกว่าเป็นผู้ทำให้มีการเสียชีวิต
การชันสูตรที่ดำเนินการไปจึงถูกต้องแล้ว วันเกิดเหตุมีชายชุดดำไล่ยิงจนทำให้มีผู้เสียชีวิต
ส่วนที่มีผู้เสียหายยื่นคำร้องว่าญาติถูกเจ้าหน้าที่ยิงเป็นการไปแจ้งภาย หลังที่มีการชันสูตร
ไปแล้ว” นายสุเทพกล่าว

เหตุการณ์ในวันที่ 10เม.ย. มีผู้พบเห็นชายชุดดำ ไม่เกิน3คน ปะปนอยู่ในที่เกิดเหตุ
แต่ความตายที่เกิดทุกคนบอกว่ายิงมาจากฝั่งทหาร แล้วที่ว่าญาติมาแจ้งหลังจาก
มีการชันสูตรไปแล้ว อ้าวเมิงจะให้เขาแจ้งตอนไหน เหตุการณ์มันชุลมุน กว่าจะรู้ตัว
ว่าญาติถุกยิงตาย จะให้ไปแจ้งตอนยิงกันหรืออย่างไร

ที่สำคัญ เหตุการณ์ในช่วงวันที่13-19 พค. ยังไม่มีผู้พบเห็นชายชุดดำอีกเลย
และช่วงเวลาดังกล่าว ก็เป็นช่วงเวลาที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด และเสียชีวิตในที่
ต่างๆกัน ไม่ได้เสียชีวิตในจุดเดียวเมื่อไหร่ แล้วไอ้ชายชุดดำมันเป็นมนุษย์ล่องหนหรือไง
ถึงได้ฆ่าคนตายเป็นเบือโดยไม่มีใครพบเห็น มิหนำซ้ำยังกระโดดไปยิงในพื้นที่ต่างๆกันได้
จนตายมากมาย

ทหารมันไม่รับว่ายิง ทั้งๆที่ภาพถ่ายและวิดีทัศน์จับภาพได้มากมายว่ายิงเอาๆ แต่ไม่
ยอมรับ เพราะมันกลัวว่าถ้ารับว่ายิง เดี๋ยวซวยยกแก๊งค์มากกว่า เพราะไม่ใช่ผิดที่ตัว
เองเท่านั้น แต่ยังไปโยงถึงคนสั่งด้วยต่างหาก

ทำผิดแล้วรับก็ยังนับว่าเป็นชายชาติทหาร แต่ทำผิดแล้วไม่รับเขาเรียกหน้าตัวเมีย
แต่ที่เลวเกินกว่านั้นคือแค่ผิดแล้วไม่รับยังไม่พอ เอาความผิดไปป้ายให้คนอื่นที่ไม่เห็นตัวอีก
อย่างนี้ไม่รู้จะด่าว่าอย่างไรแล้ว ต้องอุทานเหมือนหัวข้อกระทู้นั่นแหละ

เหลือง-แดง


การใช้สีมีมานานแล้วล่ะค่ะ ใช้เพื่อบอกหมู่เหล่า บอกให้รู้ว่าพวกเดียวกัน
ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างก็ต้องมีสีของตน จนบางครั้งสีนี่แหละที่
เมื่อเห็นแล้วอยากยกพวกตีกัน

บางครั้งสียังถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความจงรักภักดี บอกให้รู้ว่ารัก จนต้องใส่
กันทั้งบ้านทั้งเมือง จนบางพวกเอามาใส่ในการชุมนุม เพื่อประกาศศักดา
ความเป็นพวก แต่เผอิญใส่ไปทำผิดร้ายแรงหลายประการ... ยึดทำเนียบ
ปิดสนามบิน ไล่ตีตำรวจ เมื่อภาพปรากฎออกมา สีเสื้อเลยเสื่อม คนละเลิก
ที่จะใส่ เพราะกลัวจะถูกเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นพวกเกเร

หากดีจริง ก็คงต้องใช้กันต่อไป แต่ทำไม จึงกลายเป็นเสื้อหลากสี เปลี่ยนสี
ในการออกมาชุมนุมไปซะอย่างนั้น แม้แต่ชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มก็ยังเปลี่ยนไป
ทั้งๆที่บอกเจตนายังเหมือนเดิม รักมากทั้งชาติและสถาบัน แต่แปลกที่ต้อง
เปลี่ยนสีและชื่อ หากดีจริงทำไมไม่ใช้ต่อไป

ผิดกับอีกสี ที่ถูกตีตราว่าชั่วร้าย เลวทราม เผาบ้านเผาเมือง เป็นผู้ก่อการร้าย
ฆ่าทหาร ยิงกันเอง ตายเป็นเบือ เหอเหอ มันน่าจะเป็นสีต้องห้ามไปอีกสี

แปลกแต่จริง หลังเกิดเหตุไม่นาน บ.ก.ลายจุด ชักชวนให้ใส่สีแดง เธอบอกว่า
"วันอาทิตย์สีแดง" ตั้งแต่นั้นมา วันอาทิตย์คนก็คว้าเสื้อแดงขึ้นมาใส่ทุกวันอาทิตย์
แค่นั้นยังไม่พอ เดี๋ยวนี้ เวลาอยากไปกวนตีนใคร ไปสถานที่ราชการ ก็ยังใส่เสื้อสีแดง
ไปเสวนา ไปวัด ไปไหนๆ ก็ใส่สีแดง ทำให้รู้ว่าแดงดีสีไม่ตก แม้จะถูกตราหน้าว่า
ชั่วร้าย แต่คนกลับไม่อาย กลับไม่กลัว ที่จะใส่ให้รู้ว่าเรายังอยู่ เรายังไม่ตาย

แม้จะถูกป้ายสี ว่าอย่างไร แดงก็ยังอยู่ ไม่จืดจาง ไปตามกาลเวลา ไม่ต้องเปลี่ยนสี
ประกาศให้รู้ไปเลยว่า"กูรักสีแดง"ฮิ้ววววววววววววว

ทักษิณ....ตายแล้ว!

บอกตรงๆ ฟังแล้วอ่านแล้ว ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร ทำไมยังเล่นข่าวเรื่องนี้กันอยู่ได้
เดี๋ยวก็มีข่าวป่วย เดี๋ยวก็มีข่าวตาย ไม่ทราบคนปล่อยข่าว หวังผลอะไร

หรือหวังให้คนหมดกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรมกลับคืนมา
มันโง่งี่เง่ากันถึงปานนั้นเชียวหรือ

คุณทักษิณเป็นที่รักของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเป็นคนธรรมดา แต่เป็นคนที่
สร้างคุณูปการให้กับประเทศ การที่คนหลงรักและเรียกร้อง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่พวกเราก็บอก อธิบายไปหลายทีแล้วว่าพวกเราก้าวพ้นคุณทักษิณไปนานแล้ว
จริงอยู่ยังรัก ยังห่วงใย ยังอยากให้กลับมาเป็นผู้นำอีก แต่ถึงแม้คุณทักษิณไม่มี
โอกาสกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่า คนเสื้อแดงหรือคนรัก
ประชาธิปไตยจะถอดใจ เลิกต่อสู้ เลิกเรียกร้อง ยินยอมพร้อมใจให้กดหัวอยู่
ใต้ฝ่าตีนเมื่อไหร่เล่า

คุณทักษิณ ก็ได้แต่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจ เป็นแสงสว่างอยู่ปลายอุงโมงค์
ที่แม้จะริบหรี่ แต่ก็มีความหวัง ที่จะฝ่าฟันให้ออกไปพบเจอ หากจะเปรียบเป็นเส้นชัย
ก็จะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เช่นว่า รางวัลโนเบล เจ้าของรางวัลก็ตายไปตั้งนานแล้ว
แต่การได้มาซึ่งรางวัลก็ยังเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ไม่ต้องมีเจ้าของรางวัลตัวจริง
มามอบให้ก็ยังเป็นที่ภูมิใจอยู่ดี

ฉันใดก็ฉันนั้น คุณทักษิณจะอยู่หรือจะตายก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เลิกปัญญาอ่อน
เล่นข่าวนี้เสียที กุข่าวว่าป่วย ว่าตายมาหลายรอบ พอเอารูปออกมาโชว์ว่ายังสบาย
ดีอยู่ ก็ต้องมีคนออกมาจ้องจับผิดรูปอีกว่าตัดต่อบ้างอะไรบ้าง

เฮ้ยเว้ย มันน่าเบื่อหวะ หาอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้หน่อย ข่าวนี้ไม่มีคนซื้อแล้วหวะ

ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เกิดมาแล้วต้องตาย
แต่คนที่พยายามปล่อยข่าวเรื่องความตายของคู่ต่อสู้
มันน่าสมเพช แสดงให้เห็นว่าหมดทางสู้แล้วจริงๆ
ไม่รู้จะทำอย่างไร กำจัดเขาทางรูปธรรมไม่ได้
ก็พยายามทำทางนามธรรม หารู้ไม่ว่ายิ่งปล่อยข่าว
ตาย ยิ่งทำให้คนฮึกเหิมในการต่อสู้ยิ่งขึ้น

คงลืมไปว่ายิ่งคุณทักาิณต้องไปตายในต่างแดน
กลับยิ่งเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนที่จะต้องต่อสู้
เรียกร้องความยุติธรรมกลับมาให้ได้ เหมือนผู้นำทาง
จิตวิญญาณหลายท่านที่ต้องไปเสียชีวิตในต่างแดน

ทำให้คำพูดที่ว่า"เมืองไทย คนดีอยู่ไม่ได้" กลายเป็นจริง
เป็นจังขึ้นมา ต่อให้ตายไปสิบชาติ คุณทักษิณก็ยังชนะอยู่ดี
ชนะด้วยการทำตัวเป็นคนปกติ รู้ร้อนรู้หนาวของชาวบ้าน
ไม่ได้ต้องผ่านเครื่องกรองอย่างหนา เพียงเพื่อจะแสดงตัว
ว่าเข้าใจชาวบ้าน คนบางคนเมื่อมองผ่านเครื่องกรอง
หลายๆชั้น ภาพที่เห็นจึงบิดเบี้ยว และเมื่อทำอะไรผ่าน
เครื่องกรองที่บิดเบี้ยว ผลออกมาจึงเป็นภาพที่แสน
อัปลักษณ์

แหมมันสะใจกะข่าวเช่นนี้จริงๆ เล่นกันไม่เลิก
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอยู่กันไม่สุข แต่คนรักทักษิณกลับสนุก
รื่นเริงบันเทิงใจที่เห็นมันดิ้นกันเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า

อย่างนี้ต้องร้องเพลงเสียหน่อย

รับรองฟังเพลงนี้แล้ว บางคนอยากโดดตึกตาย ๕๕๕๕๕๕๕๕


ตัดหางปล่อยวัด

ข่าวนายสิริโชค (วอลล์เปเปอร์) ดอดเข้าพบผู้ต้องหานายวิคเตอร์ บูท
เมื่อถูกทวงถามในสภา เจ้าตัวเลี่ยงไม่ตอบ แต่พอมีหลักฐานยืนยันชัดเจน
ก็อ้างว่าเข้าไปหาข้อมูล ในฐานะส.ส.

แต่การเป็นส.ส.ทำให้นายศิริโชคได้สิทธิ์เข้าเยี่ยมผู้ต้องหานอกเรือนจำ
นอกเวลาเยี่ยมได้ไม่ใช่หรือ หากส.ส.ท่านอื่นจะทำบ้างไม่ทราบว่าจะได้
รับการอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ให้เข้าเยี่ยม พูดคุยแบบนายศิริโชคด้วยหรือ
เปล่า เรื่องนี้เมื่อออกมายอมรับแล้วว่าไปจริง จะไปพูดอะไรบ้างไม่มีใครทราบ
แต่มันแปลกตรงที่ว่า เข้าไปพบทำไม ไปเองได้ด้วยหรือ(เสือกขนาดนั้นเชียว)

แต่เมื่อเรื่องแดง แถไม่ออก ดูปฏิกิริยาของพลพรรคแมลงสาบ ที่ดาหน้ากันออกมา
กล่าวว่าเเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว นายสุเทพ กล่าวว่า"การดำเนินการของนายศิริโชค
เป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรัฐบาล หรือพรรคประชาธิปัตย์ หากมีอะไร
ตามมานายศิริโชคต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ
คำพิพากษาของศาล เพราะนายศิริโชคไม่ได้มีอำนาจอะไรที่จะไปกำหนดหรือ
เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลได้ ที่ผ่านมานศาลไม่เคยขอข้อมูลอะไร"

รับทราบ ไม่มีอำนาจทางศาล แต่ประชาชนเขาไม่ได้สนใจกรณีนั้น เขาสงสัยว่า
เข้าไปพบทำไม เรื่องนี้เกิดมานานนมเพราะนายวิคเตอร์ถูกจับเมื่อ ดือนมีนาคม พ.ศ. 2008
ผ่านไปกว่าสองปี นายสิริโชค เกิดคันอะไรถึงได้ขอเข้าพบเขา แล้วยังมีหน้า
มาแถว่าว่าขอเข้าพบในฐานะส่วนตัว(ไอ้เด็กเวรไม่เกี่ยว พรรคก็ไม่เกี่ยว พวกก็ไม่เกี่ยว)
มันแปลกดีไหมล่ะ ก็ให้จำเพาะจะต้องมาขอเข้าพบในวันที่ 11เม.ย. 53 หลังทน่ารัก
ถูกถล่มที่ผ่านฟ้า เวลาเข้าพบก็ไม่ปกติ หวังจะเข้าไปเอาข้อมูลอะไรออกมาหรือ
ใครเป็นคนวางแผนให้ หรือว่าคิดเอาเองว่างานนี้ถ้าสำเร็จ อาจจะได้ปูนบำเหน็จก้อนโต
จากที่เดินข้างหลังตลอด อาจได้ไปยืนแถวหน้ากะเขาบ้าง เสียดายผลงานไม่เข้าเป้า
นอกจาบำเหน็จจะไม่ได้ ยังถูกเขาตัดหางปล่อยวัด เดินโซซัดโซเซ หาทางกลับไม่ถูก
เอาเลย เพราะไม่ใช่แต่นายสุเทพที่ออกมาปฏิเสธการกระทำ ยังมีลิ่วล้อในพรรคออกมา
กันอีกหลายคน ล้วนพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เกี่ยวโว้ย ใครทำใครก็รับไป

น่าสมเพชเวทนานัก ยิ่งเมื่อเทือกออกโรงยืนยันเองว่างานนี้เอ็งรับไปคนเดียวเถอะ ยิ่ง
ดูวังเวง สมสันดานของพรรคจริงๆ ที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น (งวดนี้โยนขี้ใส่
พวกเดียวกันซะเลย) คิดกลับกัน หากปฏิบัติการของนายสิริโชคครั้งนั้น ประสบความสำเร็จ
รับรองจะมีคนออกมารับสมอ้างกันหลากหลายว่าเป็นตัวต้นคิด เป็นคนส่งเข้าไปเองแน่ๆเลย

มิหนำซ้ำ กรมราชทัณฑ์ ก็เอากับเขาด้วย ออกมารับลูก แฉว่านิติภูมิไม่เคยเข้าเยี่ยม
และภรรยาก็ไม่ได้เข้าเยี่ยมทุกวันตามที่นายนิติภูมิกล่าวอ้าง โอ้แม่เจ้า เขาสงสัยว่า
นายศิริโชคเข้าไปพบนอกเวลาเยี่ยมจริงไหม แล้วใช้สิทธิ์อะไรในการเข้าเยี่ยมนอกเวลา
เพ่เล่นออกมาดิสเครดิต คนเปิดเผยเรื่องนี้ทำไมจ๊ะ แต่อย่างไรก็แถไม่ออกต้องรับสารภาพว่า

นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีนางเอลล่า บูท
ภรรยานายวิคเตอร์ บูท นักค้าอาวุธชาวรัสเซียอ้าง ว่า ได้เข้าร่วมรับฟังการสนทนา
ระหว่างนายวิคเตอร์ บูทและนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ว่า
การเข้ายี่ยมของนายศิริโชคใช้สิทธิ ส.ส. จึงสามารถเข้าไปใช้ห้องพบทนายความได้
เช่นเดียวกับกรณีเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือสถานกงสุลมาขอเยี่ยมนักโทษสัญชาติ
ของตัวเอง โดยไม่ต้องใช้ห้องเยี่ยมญาติเหมือนกรณีทั่วไป โดยห้องดังกล่าวตามระเบียบ
ไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยม กรณีการให้ข่าวของนางเอลล่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิด
หรือต้องการผูกโยงให้กลาย เป็นประเด็นทางการเมือง ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูล
อย่างละเอียดยืนยันได้ว่า นางเอลล่าไมได้เข้าเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท พร้อมกับนายศิริโชค
นอกจากนี้ การเข้าเยี่ยมดังกล่าวก็ไม่มีทนายความของนายวิคเตอร์ บูท ร่วมรับฟังอยู่ด้วย

โอ้โห เป็นส.ส.มันดีอย่างนี้เองวุ้ย อยู่ดีๆจะเข้าไปพบผู้ต้องขังได้ มิหนำว้ำยังเปิดห้อง
พิเศษให้คุยกันได้ด้วย ดูการ์ตูน ประกอบไปด้วยก็แล้วกัน ค่อยสมเหตุสมผลในการ
ขอเข้าพบหน่อย

นักการเมือง


อ่านมติชนสุดสัปดาห์ เขียนโดยหนุ่มเมืองจันทน์ ในคอลลัมน์ฟาสท์ฟู้ด ธุรกิจ
ชื่อเรื่องว่าจุดสนใจ ตอนจบมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า เพื่อนผู้หญิงสามคนจากดรงเรียนเดียวกัน
แยกย้ายกันไปมีแฟนบ้าง แต่งงานบ้าง เมื่อมาพบกัน ก็ถามไถ่กันเรื่องแฟนว่าแต่ละคน
เรียกแฟนตัวเองว่าอะไร คนหนึ่งตอบว่า เรียกว่า"สุภาพบุรุษ" เพราะเขาลุกขึ้น
ให้ผู้หญิงทุกครั้งที่เห็นผู้หญิง ส่วนอีกรายเรียกแฟนว่า""พ่อกรรมกร" เพราะเขาทำงาน
หามรุ่งหามค่ำ ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนคนสุดท้ายตอบว่า เธอเรียกแฟนว่า
"พ่อนักการเมือง" เพราะทั้งวันเอาแต่พูด พูดเก่งแต่ทำงานไม่เป็นเลย

ย้อนไปตอนต้นของข้อเขียน เขาเขียนถึงน.พ.วันชัย วัฒนศัพท์ (เจ้าเดิมนั่นแหละ
ที่บอกว่าให้ทุกฝ่ายออกมาขอโทษ เรื่องทุกอย่างจบ และกล่าวประโยคเด็ดว่า
เรื่องที่เกิดเป็นเพราะความผิดพลาดในระดับผู้ปฏิบัติการ)

จากข้อเขียนหมอแกก็มีแนวความคิดดีๆหลายอย่าง น่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้"เหตุผล"
มากกว่า"ความรู้สึก" การให้คู่ขัดแย้งมานั่งคุยกัน แบบเห็นหน้าเห็นตากัน เพื่อแก้ไขปัญหา
จะได้รับความรู้สึก แบบ"มนุษย์" ต่อ "มนุษย์" จะได้เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น

และในอีกข้อเรื่องการ"ตั้งคำถาม"ในการ"แก้ปัญหา" เมื่อตั้งคำถามให้ทั้งสองฝ่าย
ได้ช่วยกันหาทางออกมากกว่าที่จะตั้งคำถามว่า"ใครผิด ใครถูก" เพื่อจะได้"คำตอบ"
ที่ต้องการ คือวิธีการแก้ไข"ความผิดพลาดในครั้งหน้า"

หลักการดูดี แต่เมื่อใช้สมองซีกซ้่าย คือวิเคราะห์ คิดเป็นเหตุผล กลับคิดว่า
หมอมาช้าไปหรือเปล่า วันที่เกิดปัญหา ไฟกำลังลุกโชน หมอไปอยู่ที่ไหน
วันนั้น ยังไม่มีคนผิดหรือคนถูก หมอก็น่าจะนำเสนอแนวคิดนี้ น่าจะบอกไอ้เด็กเวร
ว่าการแก้ปัญหาต้องนั่งคุยกัน การเอารถถังและกำลังพลออกมาปราบปราม
ฝูงชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยมันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา กลับซ้ำ
จะทำให้ปัญหายุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก

เมื่อเหตุการณ์ผ่านเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่คนตายใกล้หลักร้อย คนบาดเจ็บอีกตั้งสองพัน
ความเจ็บปวดของคนส่วนใหญ่ ร้ายแรงจนยากจะเยียวยา หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้"อภัย"ต่อกัน อย่ามัวแต่ชี้นิ้วหาคนผิด มันจะไหวหรือหมอ คนตายก็ตายไปนับร้อย
ยังคนเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจอีก พอภัยมาถึงใกล้ตัวคนทำผิด หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุด แล้วอภัยให้ทุกฝ่าย มันไม่ได้หรอกหมอ ถ้าเรื่องนี้จบด้วยการนั่งคุยกัย ถกกัน
แก้ปัญหาร่วมกัน เหมือนที่เคยไปออกทีวีร่วมกัน แล้วยอมรับทางออก เรื่องคงไม่จบ
เลวร้ายอย่างนี้

แต่มันเกิดอะไรขึ้น ข้อเรียกร้องที่ดูเหมือนจะลงเอยกันด้วยดี จากความพยายาม
ของหลายฝ่าย แม้จนวินาทีสุดท้ายที่กลุ่มสว.เดินทางมาขึ้นเวที รุ่งเช้า รถถังวิ่ง
เข้าทลายสิ่งกีดขวาง เสียงปืนที่รัวยิงเข้ามาเป็นชุด(ซึ่งจริงๆก็ไล่ยิงมาตั้งแต่
วันที่ 13 พค. 53แล้ว)

ในช่วงเวลานั้น หมอเคยออกมาไหม เคยออกมาเรียกร้องให้คนที่สั่งปราบ ฆ่าให้หมด
หยุดไหม ให้หันกลับมาใช้วิธีนั่งคุยกันไหม หมอเคยได้ยินที่มันบอกไหมว่า"หมดเวลา
คุยกันแล้ว"
หมอทำไมไม่ออกมาบอกว่า "ยังไม่สาย ไม่มีอะไรสายเกินแก้" หมอปล่อยให้
คนไม่กี่คนลุแก่อำนาจ ส่งกำลังมากวาดล้างประชาชนที่แค่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
คนที่เสียชีวิต บางคนก็ไม่ได้แม้แต่ออกมาร่วมชุมนุมด้วย เพียงแต่โชคร้ายที่เข้าไปอยู่
ในทุ่งสังหาร เรียกว่าไปผิดที่ผิดเวลา พอเขาฆ่ากันตายเสร็จสรรพ หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุดการชี้นิ้วหาคนผิด ให้ยอมอภัยให้แก่กัน หากคนเหล่านั้นเป็นเพียงคนที่หมอรู้จัก
หรือรักใคร่ชอบพอ อยากรู้ว่าหมอจะยังออกมาพูดอย่างนี้ไหม หมอจะกล้าบอกไหมว่า
ให้เลิกแล้วต่อกัน อภัยให้แก่กัน แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่

หากหมอเองยังทำไม่ได้ แต่ที่พูดได้เพราะหมอถือว่าคนที่เจ็บคนที่ตาย ไม่ได้มี
ความสำคัญต่อหมอ แม้เพียงแค่นับเป็นเพื่อนร่วมชาติ หมอถึงออกมาพูดอย่างนี้ได้
น่าเสียดายนักที่สิ่งที่หมอพูด สิ่งที่หมอเรียกร้องมันมาช้าเกินไป นอกจากจะไม่ทำ
ให้คนที่เจ็บปวดเห็นด้วยกับหมอ
มันกลับทำให้เขาว่าหมอก็ไม่ได้
ต่างไปจาก"นักการเมือง"ที่ดีแต่พูด แต่ไม่รู้จักลงมือทำ

ยี่สิบหกสิงหา


ยี่สิบหกสิงหามาบรรจบ
และได้พบเหี้ยทรามตามความฝัน
เมื่อพบแล้วแก้วตาอย่าจาบรรย์
กอดคอกันรอมันล่มและจมดิน


ใครจะนึกเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง
มาพบซึ่งความจัญไรยังใจหิน
เกิดมาฆ่าแล้วก็ฆ่าทุกชีวิน
หวังเพียงสิ้นขวากหนามทรามเกินใคร


ตั้งแต่หนุ่มเริ่มฆ่าอย่างหน้าด้าน
แล้วก็สานงานต่อรอไม่ไหว
พบพิรุธการฆ่าหนาเกินใคร
ยังใส่ใคล้ให้ผู้อื่นยืนรับกรรม


แล้วเสแสร้งสร้างภาพอาบความชั่ว
คิดว่าตัวดีนักหนามันน่าขำ
หลอกอยู่ได้จนเกือบเชื่อในน้ำคำ
แต่ฆ่าซ้ำบ่อยเกินคงเพลินมือ


แล้วเสื้องามก็ขาดอุบาทว์นัก
ทำความรักหมดไปไม่กล้าหือ
ต้องเสแสร้งว่ารักตะพึดตะพือ
ความจริงคือเกลียดนักหนาอยากด่ามัน


ยี่สิบหกสิงหามาบรรจบ
ขอเคารพนบพระบรรดาลฝัน
ให้คนชั่วไม่ตายวายชีวัน
อยู่ถึงวันพิพากษาประชาชน


ว้าย แต่งกลอนวันเกิด แล้วไหงกลอนพาไปไกล
ไม่ค่อยเกี่ยวกับเจ้าของวันเกิดเท่าไรนัก

ขออภัยให้ถือว่าเป็นภาษากลอนแล้วกัน คงเข้าใจ หึหึ

ประเทศที่ไร้คนรับผิดชอบ


เงินแค่สองแสนห้า เทียบกับหลักทรัพย์ และชื่อเสียงของธนาคาร
ผู้บริหารยอมเอามาแลก ช่างหน้าโง่จริงๆ

เมื่อรู้ตัวว่าพลาด เงินแค่หลักแสน ธนาคารต้องซื้อใจลูกค้าอยู่แล้ว
กลับไม่ทำ หน้าด้านออกมาบอกว่าปฏิบัติตามระเบียบแล้ว มันจะถูกต้องได้
อย่างไร ในเมื่อเป็นบัญชีชื่อคู่ หรือร่วมมือกับคนนอก จึงยอมให้ผู้จัดการมรดก
ตัวปลอมมาปิดบัญชี โดยที่อีกคนยังมีชีวิตอยู่ หรือมันปลอมใบมรณะบัตรมาทั้งสองใบ

แล้วธนาคารไม่ไปตามเอาเรื่องกับผู้จัดการมรดก กลับมาเล่นแง่กับคุณยาย
คิดดูว่าเมื่อข่าวกระจายออกไป ใครจะกล้ามาใช้บริการ เป็นธนาคารที่ก็ไม่ได้
ติดอันดับยอดนิยมอยู่แล้ว ทำธุรกิจแบบนี้ ก็รอวันตายแล้วกัน นี่ถ้าคนรู้ ตกใจแห่
ไปปิดบัญชี จะรับไหวไมล่ะเนี่ย

จดหมายเปิดผนึกถึงนายวีระศักดิ์ เครือเทพ

เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา เมื่อวาน(18 สค.53)
ตามข่าวระบุว่า นายซึ่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศานศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ของ
มหาวิทยาลัยดังกล่าว ได้ทำการกีดกั้น ขัดขวางการชูป้ายอันมีข้อความต่อไปนี้

"จะหนึ่งคนหรือแสนคนรัฐบาลก็ต้องฟัง"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

"ผมอยากเห็นรัฐบาลมีบทบาทในการคุ้มครองประชาชนมากกว่านี้"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

"ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน ดีกว่ารัฐบาลอยู่อย่างนี้แล้วฟังไปเรื่อยๆ"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

"หยุดปิดกั้นความคิด หยุดใช้พรก."

"Political action is the highest responsibility of a citizen." John F. Kennedy

"Justice delayed is democracy denied" John F. Kennedy

"Those who make peaceful revolution impossible will make violent
revolution inevitable." John F. Kennedy


"Forgive your enemy but never forget their names" John F. Kennedy

จากการกีดกั้นการแสดงป้ายโดยการยื้อยุด ทำลาย ไม่ให้มีการแสดงป้ายดังกล่าว
ด้วยตัวเองและรปภ.ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้นิสิตได้แสดงความคิดเห็น

มิหนำซ้ำ ยังพูดให้ได้ยินทั่วไปว่า"นี่ไม่ใช่ที่จุฬา นี่เป็นที่ของผม ฟ้องผมได้เลย"

จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงขอถามว่า

1. เหตุใดการชูป้าย ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และป้ายส่วนใหญ่หาได้มีข้อความด่าทอ
หยาบคายต่อนายกฯตรงไหน ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ไม่มีแต่แต่ป้ายต้องห้าม
ประเภท"ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์" ที่กลัวกันนักหนา

มีแต่ป้ายที่คัดลอกคำพูดของคนดังระดับผู้นำประเทศ หรือนายจะเถียงว่าคำพูด
ที่แสดงบนป้าย ที่คัดลอกมาจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์มันไม่จริง หรือมันจริงจน
เกินรับได้ เพราะมันมีแต่คำโกหกตอแหล ของผู้นำที่เอาแต่พล่ามพูด ไปตามโพเดี้ยม
แต่หาความจริงใจ ไม่เคยมี เหมือนที่คนเขานินทากันว่า "เป็นนายกฯที่ไม่เชื่อในสิ่ง
ที่ตัวเองพูด หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเชื่อ"

ส่วนป้ายแสดงคำพูดของ John F. Kennedy นั้น นิสิตก็คงไปคัดเอามาจาก
บทเรียนที่คณาจารย์ในคณะรัฐศาตร์สอนแน่นอน

2.จุฬาเป็นพื้นที่พระราชทานของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้เป็น
สถานศึกษาแก่กุลบุตรกุลธิดาไม่ใช่หรือ การเป็นแค่อาจารย์ในคณะใดคณะหนึ่งใน
จุฬาทำให้นายใหญ่โตจนกล้าพูดว่า"ที่นี่ไม่ใช่ที่จุฬา นี่เป็นที่ของผม"ไปได้อย่างไร
หลงผิดคิดแก้ไขได้นะ การอยากเอาใจเจ้านายจนเกินเหตุ มันน่าทุเรศมาก
อีกอย่างนายกฯก็ไม่ได้เป็นเจ้านายโดยตรงของนายด้วยซ้ำ แต่เจ้านายที่แท้จริงคือ
ประชาชนที่เสียภาษีอุ้มชูเงินเดือนของพวกนายต่างหาก เพราะขณะนี้ก็ยังไม่ได้
ออกไปหากินกันเองไม่ใช่หรือ การเอ่ยอ้างบ้าบอเช่นนี้ ทำให้เห็นว่าพวกนายมันก็มา
สำเภาเดียวกันนั่นแหละ ที่หลงเข้ามา ได้ตำแหน่งเข้าหน่อยก็ยึดติด หลงมัวเมาอยู่กับ
เก้าอี้และอำนาจ จนเอาไปยึดถือ ว่า"ตัวกู ของกู" คิดได้แม่กระทั่งว่า พื้นที่ของจุฬา
เป็นของตัว เหมือนไอ้เด็กเวรคนนั้นแหละที่คิดว่าทำเนียบรับบาลเป็นของตัว ใครจะ
ล่วงละเมิดไม่ได้ ไม่มีสมองที่จะคิดว่าตำแหน่งที่ได้มาไม่ถูกต้อง ถึงจะยื้อยุดอย่างไร
วันหนึ่งก็ต้องปล่อยวาง เพราะมันเป็น"ลาภอันมิควรได้" ยิ่งทำบ้าทำบอไว้มากมาย
ในตำแหน่ง เมื่อพ้นไป ก็คงจะลำบากที่จะหาที่ยืน ในสังคม นายก็เหมือนกันนั่นแหละ
อย่าทะนงตนไปเลย

3.ข้อนี้ใหญ่มาก อยากจะฝากถามนายว่า วันก่อนในอดีต ก็คณะนี้ไม่ใช่หรือที่ติดป้าย
ผ้าด่าทอนายกรัฐมนตรีที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาอย่างท่วมท้น มันเป็นป้ายผ้า ติดไว้
อย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่ป้ายที่นิสิตไม่กี่คนเอามายกต้อนรับนายกฯหน้าด้านเช่นคราวนี้
สักหน่อย ตอนนั้น นายไปมุดหัวอยู่ที่ไหน หรือเป็นคนทำป้ายและเอาไปติดเองในที่
ของนายล่ะหือ

ป้ายที่จะเอามาชู ชูแล้วก็เก็บไป หากนักข่าวไม่นำเสนอ คนเขาก็ไม่รู้ไม่เห็น
แต่เป็นเพราะนายมันบ้าหรือเปล่า หรือกลัวไม่เป็นที่ชื่นชอบของไอ้เด็กเวร
จึงต้องออกอาการถึงขนาดนี้ แล้วทีนี้เป็นอย่างไรล่ะ ข่าวมันก็เลยสะพัด เขาไม่ได้
ลงข่าวการถือป้ายประท้วงนายกฯหรอก แต่เขาลงข่าวนายที่บ้าอำนาจ หลงผิด
คิดจะเอามือปิดแผ่นฟ้า คราวนี้เลยได้ดังสมใจ

จดหมายฉบับนี้ คงได้มีโอกาสผ่านสายตานายบ้างล่ะนะ ทางที่ดี ควรลาพักงาน
กลับไปนั่งเงียบๆที่บ้าน ทบทวนความคิด และการกระทำของนายสักหน่อยนะ

ขออีกดอกเถอะ แม้นายจะนามสกุล"เครือเทพ" ก็ไม่อาจทำให้นายกลายเป็นเทพ
ไปได้หรอกนะ อย่าหลงผิดไป

อาการปวดตับ


พักนี้อ่านข่าวแล้วเกิดอาการปวดตับ อย่ากระนั้นเลย ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการปวดตับดีกว่า
เปิดอากู๋ไป เจอว่ามีจริงๆด้วย ไอ้อาการปวดตับเนี่ย แต่พออ่านที่เขาแปลมา ยิ่งทำให้เกิด
อาการหนักขึ้น ไม่เชื่อดูคำแปลสิคะ It can be sharp, but typically is felt as a dull ache. อาจจะคม แต่มักจะรู้สึกว่าปวดหมองคล้ำ

โอ๊ยกรูจะบ้าตาย แปลได้ไงเนี่ย เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที เฮ้ย sharpเนี่ย
ไม่ได้แปลว่าคมอย่างเดียวเน่อ มันแปลว่าเจ็บปวดรุนแรงต่างหาก

แล้วยิ่งมาเจอคำว่าdull แล้วไปแปลว่าหมองคล้ำ โอ้แม่เจ้าชาวไทย คำนี้มันแปลว่า
ปวดหนึบๆโว้ย ไม่ต้องเป็นหมอก็น่าจะเข้าใจได้

ลองอ่านต่อไปปวดตับปวดท้องและในบาง ครั้งโดยทั่วไปจะสับสนกัน For reference purposes on this site, all upper-right abdominal pain is considered as potential liver pain. เพื่อการอ้างอิงในเว็บไซต์นี้ทั้งหมดปวดท้องขวาบนถือเป็นปวดตับศักยภาพ

จะเอาฮากันไปถึงไหนน้อ ปวดตับศักยภาพ โอยตาย มันแปลว่า
เมื่อมีการปวดที่บริเวณในช่วงท้องด้านขวาตอนบน มักจะสันนิษฐานว่าเป็นการปวดตับ
ไม่ใช่ปวดตับศักยภาพสักหน่อย

เอาเป็นว่า จากการเสพข่าวแล้วปวดตับ ลองไปหาดูเล่นๆว่าสำนวนนี้น่าจะแปลว่าอะไร
จึงไปพบกับการที่น่าจะเกิดอาการปวดตับมากยิ่งขึ้น ไปล่ะ ไปรักษาอาการปวดตับดีกว่า

ไหนวันที่พูด บอกว่ารู้ว่าผิดแต่ก็จะทำไง


จากข่าวนี้ สนธิเตรียม10พยานคดีหมิ่นเบื้องสูง-ศาลนัดพ.ย.ปี54

วันนี้ (16 ส.ค.) เวลา 13.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน ในคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ในความผิดฐานดูหมิ่น และหมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ ราชินี และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุก ตั้งแต่ 3-15 ปี กรณีที่นายสนธิ ได้นำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เป็นการดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2551 ที่กล่าวบนเวทีปราศรัยเสียงประชาชน บริเวณสนามหลวง มาเผยแพร่ซ้ำบนเวทีพันธมิตรฯ ที่บริเวณมสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2551

วันนี้ นายสนธิ เดินทางมาศาลอาญา พร้อมด้วยนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความและนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

อัยการโจทก์แถลงต่อศาล ขอนำพยานเข้าเบิกความ จำนวน 14 ปาก ใช้เวลา 6 นัด ขณะที่ทนายความจำเลย แถลงขอนำพยานเข้าสืบ จำนวน 10 ปาก ใช้เวลา 4 นัด ศาลพิจารณาและสอบถามอัยการโจทก์แล้ว ไม่คัดค้านจึงอนุญาต พร้อมนัดสืบพยานโจทก์ ครั้งแรกวันที่ 1 พ.ย. 2554 เวลา 09.00 น.


แล้วยังจะต้องสืบพยานอะไรกันอีก ก็เจ้าตัวเขาบอกว่าเขารู้ว่าที่ทำไปมันผิดกม.
แต่ด้วยความรักเทิดทูนสถาบัน จึงจำเป็นต้องเอามาเผยแพร่

ตัดสินไปเลยเถอะว่าไม่ผิด แม้กม.จะห้ามเผยแพร่ แต่จำเลยทำไปด้วยความจงรักภักดี
จึงไม่ผิด พิพากษาให้ปล่อยตัวไป ง่ายๆแค่เนี้ย จะเอาไปให้รกโรงรกศาลทำไม้ ฮ่วย

หากยังคับแค้นไม่พอ

ลองอ่านข่าวนี้ดูค่ะ จะได้รู้ว่าความคับแค้นแน่นอกมันเป็นอบ่างไร

นิติเวชยอมรับไม่รู้ทิศทางยิง 6 ศพ วัดปทุมฯ มาจากที่ใด

รัฐสภา 16 ส.ค. - คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ฯ วุฒิสภา เรียก "สรรพาวุธ ? นิติเวช"
แจงเหตุสลายม็อบเสื้อแดง ขณะที่ตำรวจย้ำสไนเปอร์มีจริง แต่ไม่รู้มีการเบิกจ่ายหรือไม่
ยืนยันพบอาวุธจำนวนมาก แต่เป็นของใครไม่รู้ เผยตัวเลขผู้บาดเจ็บวันสลายการชุมนุมน้อย
กว่าเหตุปะทะที่สี่แยกคอกวัว ส่วนนิติเวชยอมรับไม่รู้ 6 ศพวัดปทุมฯ ถูกยิงมาจากทิศทางใด
อ้างเข้าไปถึงที่เกิดเหตุหลังเคลื่อนย้ายศพแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น.มีการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง
วุฒิสภา มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการฯ เป็นประธานที่ประชุม
โดยเชิญตัวแทนจากฝ่ายกรมสรรพาวุธ สำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
และตัวแทนจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มาชี้แจง กรณีการเบิกจ่ายอาวุธ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม
กลุ่มคนเสื้อแดงช่วงเดือน เม.ย.- พ.ค.ปี 2553 รวมถึงวิถีกระสุน ชนิดกระสุน จำนวนผู้บาดเจ็บ
และเสียชีวิตที่ชัดเจน

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า คณะกรรมการฯ อาทิ พล.ต.อ.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา
พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ส.ว.อุดรธานี ต่างซักถามกรณีการเบิกจ่ายอาวุธ
โดยเฉพาะ สไนเปอร์ ว่า มีการเบิกจ่ายอย่างไร และใช้ในหน่วยงานใดบ้าง
เพราะมีการใช้เพียงไม่กี่หน่วยงาน เช่น ตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยอรินทราช เป็นต้น
ขณะที่นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช สอบถามว่า อาวุธชนิดเอ็ม 79 ที่ยิง
เข้าไปในแฟลตตำรวจ สน.ลุมพินี วิถีกระสุนมาจากที่ใด

พ.ต.ท.สุเทพ สุดวงเดือน สารวัตรฝ่ายสรรพาวุธ 2 สำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช.ชี้แจงว่า
ในส่วนของสไนเปอร์ทราบว่ามี แต่ไม่ทราบว่า มีการเบิกจ่ายในช่วงที่มีการชุมนุมหรือไม่
ส่วนใหญ่อุปกรณ์ที่เบิกจะเป็นแก๊สน้ำตา โล่และกระบอง เท่านั้น ส่วนการยิงเอ็ม 79 เข้าไป
ในแฟลตตำรวจ สน.ลุมพินี ก็ไม่ทราบว่า ยิงมาจากทิศทางใด เพราะไม่ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ
หากพูดไปตามที่มีการวิจารณ์คือ แถวสวนลุมพินี ประชาชนอาจเกิดความสับสนได้ ทั้งนี้ทราบ
แต่เพียงว่า ผู้ยิงมีความมุ่งหมายใน 2 ลักษณะ คือ สังหารบุคคล และเจาะเกราะ คงต้องสอบถาม
จากพนักงานสอบสวน พร้อมยอมรับว่า การตรวจอาวุธบริเวณโดยรอบสถานที่ชุมนุมบริเวณ
สี่แยกราชประสงค์ พบทั้งระเบิดชนิด เอ็ม 26 เอ็ม 67 และเอ็ม 79 โดยพบทั้งที่โรงพยาบาลตำรวจ
และวัดปทุมวนาราม โดยพบในถังขยะมากที่สุด ซึ่งไม่ทราบว่า เป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือคนร้ายนำเข้ามา[/]

[i]จากนั้นคณะกรรมการได้ให้ตัวแทนจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เข้าชี้แจง โดยนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์
ส.ว.สรรหา ได้ซักถามกรณีที่ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ที่มาชี้แจงในสัปดาห์ที่แล้ว
ได้ระบุในรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 - 20 พ.ค.2553 ที่ถือเป็นวันสลายการชุมนุม มีผู้บาดเจ็บเพียง 134 ราย
ขณะที่จำนวนผู้บาดเจ็บช่วงวันที่ 10 เม.ย.บริเวณสี่แยกคอกวัว กลับมีตัวเลขผู้บาดเจ็บมากถึง 889 คน
ซึ่งสวนทางจากความเป็นจริง ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้พบข้อพิรุธนี้หรือไม่ นอกจากนี้กรรมการอีกหลายคน
ได้ซักถามถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงตลอดการชุมนุม รวมทั้งวิถีกระสุน ชนิดกระสุนที่โดนยิง
ผู้เสียชีวิตโดนยิงที่ส่วนใดบ้าง โดยพุ่งประเด็นไปที่เหตุการณ์ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม และนักข่าวต่างประเทศที่เสียชีวิต

พ.ต.อ.พรชัย สุธีรคุณ รองผู้บังคับการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ชี้แจงว่า มีผู้เสียชีวิตที่ได้รับการตรวจจากสถา
บันนิติวิทยาศาสตร์ 27 ราย ตั้งแต่เดือน เม.ย. แบ่งเป็นตำรวจโดยระเบิด 2 ราย เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว 2 ราย
ที่เหลือโดนอาวุธความเร็วสูงยิงเกือบทั้งหมด โดยมีผู้เสียชีวิตถูกยิงที่ศีรษะจำนวน 9 ราย ถูกยิงทั้งจากข้างหน้าและข้างหลัง
และยังมีผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงตามลำตัว ส่วนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่แท้จริง คงต้องสอบถามไปยังกระทรวงสาธารณสุข
และในเรื่องชนิดกระสุนคงต้องไปสอบถามจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทั้งนี้ยอมรับว่า ทิศทางการยิงจะมาจาก
ที่ใดเป็นเรื่องยากมาก เราทำได้เพียงตรวจบาดแผลที่ถูกยิง สำหรับผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น และอิตาลี ที่โดนยิงเสียชีวิตนั้น
จากการชันสูตรพลิกศพ พบว่าบุคคลทั้ง 2 คน ถูกยิงเข้าที่หน้าอก โดนปอดตับ หัวใจ จนเสียชีวิต

ส่วนกรณี 6 ศพที่วัดปทุมวนารามนั้น พ.ต.อ.พรชัย กล่าวว่า ไม่ทราบจริง ๆ ว่า ถูกยิงมาจากทิศทางใด เพราะเข้าไปไม่ถึง
และเมื่อเข้าไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าทั้ง 6 ศพได้ถูกเคลื่อนย้ายไปอีกมุมหนึ่งของวัดแล้ว โดยศพส่วนใหญ่ถูกยิงเข้าที่ลำตัว
ทั้งด้านหน้า และด้านข้าง แต่ไม่มีใครถูกยิงที่ศีรษะ และเรื่องระยะห่างของวิถีการยิงจะเป็นเท่าใด เราไม่ทราบทั้งหมด
แต่ส่วนใหญ่เป็นกระสุนความเร็วสูง

"ระยะยิงเกิน 1 ฟุตครึ่ง เราก็บอกระยะยิงไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะคราบเขม่า ขณะที่รูเข้า-รูออก ในการตรวจของนิติวิทยาศาสตร์
คนที่ถูกยิงตามหลักธรรมชาติ เขาจะไม่หยุดนิ่งให้ยิง ขณะที่ถูกยิงจะอยู่ท่าไหน เช่น วิ่ง นอน หรือเดินอยู่ ถือเป็นอะไรที่ตรวจ
วิถีกระสุนยากมาก ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่า ยิงจากที่สูง อย่างที่บอก เราไม่สามารถระบุได้ เพราะไม่รู้ว่า ผู้ถูกยิง อยู่ท่าไหน
ทำอะไรอยู่ แต่ยืนยันได้ว่า 6 ศพที่ถูกยิง ถูกยิงบริเวณด้านหน้า และด้านข้างลำตัว ไม่มีถูกยิงที่ศีรษะ"
พ.ต.อ.พรชัย กล่าว.- สำนักข่าวไทย

โอ๊ยกูอยากจะบ้า ไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วจะทำงานไปทำไมเนี่ย
เป็นตำรวจ ให้มาหาว่าใครยิง พอรู้เรื่องว่าใครยิงเลยเกิดอาการ
ใบ้แดก ปัดไปปัดมา บอกไม่รู้ไม่เห็นไปซะอย่างนั้น

ไอ้วุฒิสมาชิกสรรหาก็อีก จะเชิญตำรวจมาทำไม ถ้าจะถาม
เรื่องสไนเปอร์ ก็เขาเห็นกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าทหารเป็นคนยิง
แทนที่จะเรียกทหารมาถามว่าหน่วยไหนเบิกไปใช้ ดั๊นไปถามตำรวจ

ไอ้รัฐบาลเฮงซวย แม่งถ้ายอมเข้าขบวนการตั้งแต่แรก ให้ไอ้เทือก
เข้ามอบตัว สู้คดี แล้วตัดสินออกมาว่าไม่ผิด คนก็จะไม่ตายมากอย่างนี้
ชาวบ้านก็จะได้แต่อ้าปากหวอ เหมือนฟังคำตัดสินไอ้เลวที่ขับรถ
ไล่ทับตำรวจไง หรือตอนนั้นไม่แน่ใจในเส้น ไม่มั่นใจว่าสานกระบุงตะกร้า
เขาจะช่วย ใช่ม้า

ไอ้นี่ก็โกหกไม่เลิก


ออกข่าวทีไร ทำเป็นเรื่องใหญ่โต กลัวไม่เข้าตากรรมการ
เช่นเรื่องยิงระเบิดที่กระทรวงกลาโหม จับไปจับมา ออกมาบอกว่า
คนยิงระเบิดตั้งใจยิงวัดพระแก้ว เข้าไปโน่น ข่าวนี้ฮือฮามาก
แต่พอคนคิดได้เขาก็นึกออกว่าเป็นไปไม่ได้ เรื่องก็เลยเงียบ

มาใหม่จับมือระเบิด"อ้อ-อ้าย" ที่ทางการกัมพูชาส่งตัวมา
โดยไม่ได้ร้องขอ กะจะซัดทอดให้หนัก แล้วก็เหลว

เอาใหม่ทีนี้จับซุปเปอร์แมน แถลงข่าวว่าเกี่ยวโยง
กับระเบิดถึงแปดจุด แถลงข่าวเป็นตุเป็นตะ หาว่า
นี่แหละของแท้ มือขวาเสธ.แดง พอเจอนักข่าว ไอ้หนุ่ม
ดันบอกว่าอย่าว่าแต่เครื่องยิงระเบิดเลย แค่ปืนยังยิงไม่เป็นเลย
เรื่องก็เลยเงียบจ้อย

ล่าสุดมาอีกแล้วค่ะจากข่าวนี้
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
เปิดเผยความคืบหน้าการส่งพนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำนายจักรรัตน์ คงสุวรรณ
คนขับรถ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ
และปฏิบัติการพิเศษ จับกุมตัวและนำส่งค่ายทหารแห่งหนึ่งไปเมื่อวานนี้ ว่า เบื้องต้น
การเข้าสอบปากคำอย่างเป็นทางการของดีเอสไอ น่าจะต้องใช้เวลาประสานงาน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางหน่วยงานก่อน เนื่องจากมีการดูแลร่วมกันหลายฝ่าย
ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นวันจันทร์นี้หรือไม่

ขณะที่เชื่อว่าในการจับกุมเบื้องต้นนายจักรรัตน์ น่าจะให้การซัดทอดถึงบุคคล
อื่นที่เกี่ยวข้องไปแล้วส่วนจะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ดีเอสไอเคยมีรายชื่อติดอยู่ใน
กลุ่มท่อน้ำเลี้ยงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ผ่านมาหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้
เนื่องจากยังไม่ทราบว่านายจักรรัตน์ให้การซัดทอดถึงใครแล้วบ้าง

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า นายจักรรัตน์ได้ให้การเบื้องต้น
มีการรับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ จากต่างประเทศ และมีผู้เกี่ยวข้อง
กับกระบวนการรับเงินจำนวนดังกล่าว ที่ยังอยู่ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูล
อย่างเป็นทางการเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะนำไปใช้ในการออกหมายจับกุม
ผู้เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง


ยังไม่รู้อะไรสักอย่างแต่ก็ออกข่าวเสมือนหนึ่งว่าโยงไยได้หมดแล้ว แค่นี้ก็
ไม่เห็นต้องสงสัย เอาว่าหากถามนายจักรรัตน์(คนขับรถเสธ.แดงว่าเสธ.แดง
เคยติดต่อกับคุณทักษิณไหม แน่นอนไม่ต้องเป็นนายจักรัตน์หรอก คนเล่นเวป
การเมืองทุกคนก็ทราบ รูปถูกเอามาเผยแพร่เกลื่อนบอร์ด) แล้วถามต่อว่า
เสธ.แดงเคยไปรับเงินคุณทักษิณไหม นายจักรัตน์คงตอบว่าไม่ทราบ อาจมีบ้าง
แหมเป็นแค่คนขับรถ ใครเขาจะให้ไปเห็นตอนรับเงิน เล่นถามนำอย่างนี้ แล้วมา
ออกข่าวตีขลุมอย่างนี้ มันไม่แมนว่ะ

คนไปหาคุณทักษิณที่ดูไบมีออกมากมาย เห็นก็เข้าพบได้ทุกคน ไปพบแล้วก็
ต้องถ่ายรูปมาโชว์กันอยู่แล้ว อย่างนี้จะหาว่าไปรับงานจากคุณทักษิณมาทั้งหมด
ทุกคนหรือเปล่าล่ะ

บอกแล้วคนสมัยนี้เขากินข้าว มีแต่พวกแกนั่นแหละที่กินหญ้า จึงจะเชื่อบทห่วยๆของพวกแก
ทีเรื่องเมียรับสินบน ออกมาโวยวายขู่ฟ้อง แล้วไปถึงไหนแล้วล่ะ อันนั้นน่ะหลักฐานโต้งๆเลยนะ

โพลล์จ้าโพลล์มาอีกแล้ว


จากข่าว

สวนดุสิตโพล ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่องพฤติกรรมนักการเมือง
ในสายตาประชาชน พบว่า พฤติกรรมการกระทำของนักการเมืองที่ไม่ดี
ที่ประชาชนเคยพบเห็นคือ พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ถากถาง
และมีเล่ห์เหลี่ยม
63.84% รองลงมา คือ ไม่เคารพ ไม่เชื่อฟังประธานรัฐสภา และขาดความรับผิดชอบ
กรณี วอล์กเอาต์จากที่ประชุม 21.27%

ตามด้วย การชกต่อยกัน การใช้กิริยาที่ไม่เหมาะสม 10.76% ส่วนพฤติกรรมที่ดี
ของนักการเมือง ที่ประชาชนพบเห็นนั้น ส่วนใหญ่ ระบุว่า มีความนอบน้อมถ่อมตน
สุภาพ เป็นกันเอง 33.19% ตามด้วย การพูดจริง ทำจริง รักษาคำพูด 24.08%
และมีความทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจ 23.53%

ส่วนพฤติกรรม ที่ทำลายภาพลักษณ์ของนักการเมือง คือ การทะเลาะกัน ตีกัน
ในที่สาธารณะ สูงถึง 42.38% ตามด้วยเรื่อง ทุจริต คอร์รัปชั่น 30.57%
การพูดให้ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม


อย่างไรก็ตาม ประชาชน ยังมองว่า พฤติกรรมของนักการเมืองที่ควรแก้ไข
และเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน คือ การขาดความสามัคคี การแสวงหาประโยชน์
ส่วนตนและการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง ส่วนพฤติกรรม ของนัก
การเมืองที่ประชาชนคาดหวัง อยากให้เป็นส่วนใหญ่ คือ มีความสามัคคี
ไม่แบ่งพรรคพวก 34.72% ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความรับ
ผิดชอบ มุ่งมั่นทำงาน


โอ้แม่เจ้า ประเทศนี้ให้ความสำคัญกับมารยาทนักการเมืองเหนือสิ่งอื่นใด
ช่างมารดาเขาเถิด เขาจะพูดจาโวยวายด่าทอกันบ้าง ในสภาน่ะ ตราบใดที่
เขาไม่โกงกิน นี่อะไร ไปถามทำไมเรื่องพูดจาไม่สุภาพ บ้าหรือเปล่า ถ้าสุภาพ
เรียบร้อย พูดไปยิ้มไป แต่ปล่อยพรรคพวกกินกันมูมมามไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ

อุ๊ยต๊ายตาย ทะเลาะกัน ตีกันยังน่ารังเกียงกว่าการทุจริตคอรับชั่นอีกแน่ะ
ตายๆ เดี๊ยนรับไม่ได้จริงๆ ไปถามใครกันเนี่ย

โอ้โห พลเมืองประเทศนี้ไม่บ้าก็ต้องเมา สิ่งที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง
อย่างเร่งด่วนคือ ต้องสามัคคี โอยอยากจะบ้าตาย
สภาเขามีเอาไว้ให้ถกเถียง ออกกฎหมาย จับผิดการทำงานของรัฐบาลโว้ย
ไม่ได้มีเอาไว้ให้มาเล่นขายของ เออออห่อหมก พี่จ๊ะน้องจ๋า ถ้าเขาถกเถียง
กันด้วยเรื่องที่เห็นความไม่ชอบมาพากล ของการใช้เงิน หรือการปฏิบัติหน้าที่
ของฝ่ายรัฐเขาก็ต้องทำ ไม่ใช่มาเรียกร้องให้สามัคคี บ้าป่าววะ แปลว่าให้ยอมๆ
รัฐบาลเฮ็งซวยต่อไปเรื่อยๆใช่ไหม สภาจะได้อยู่ต่อไปนานๆ เพราะหากตีกันมากๆ
คุมกันไม่อยู่ มันก็ต้องโยงไปสู่การยุบสภา อะไรนี่จะให้ยอมๆกันไปงั้นสิ

ส่วนพฤติกรรม ของนักการเมืองที่ประชาชนคาดหวัง
อยากให้เป็นส่วนใหญ่ คือ มีความสามัคคี ไม่แบ่งพรรคพวก


บ้าไปแล้วแน่ๆ เฮ้ยสภาผู้แทนนะโว้ย จะให้ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ก็โน่นเลย
เดินไปขอนายกฯพระราชทาน ขอรัฐบาลแห่งชาติ จะได้เป็นพวกเดียวกันทั้งหมด
"นายว่า ขี้ข้าพลอย" กลายเป็น"ขุนพลอยพยัก"กันไปหมด

ว้ายเพิ่งนึกออก เขาทำโพลล์ออกมากรับกับรัฐบาลแห่งชาติละม้างเนี่ย
อ้างว่าผลตามโพลล์ ประชาชนเบื่อนักการเมืองที่ทุ่มเถียง อยากได้ ที่เป็นพวกเดียวกัน
ว่าอะไรว่าตามกัน ตายๆ ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆเลย

เรื่องของการหมดอายุ

ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ ต่างก็มีอายุ หมายความว่ามีอายุที่จะอยู่ทำงานหรือใช้งานได้
ดังคำพระที่ว่า"ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง" ไม่มีอะไรยืนยงคงคู่ฟ้าไปนิรันดร
เกิดมาแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป สิ่งที่จะคงอยู่ก็คือคำที่คนเขาจะกล่าวขวัญถึง
เท่านั้นเอง

หากเมื่อยังอยู่ในตำแหน่ง แล้วได้ทำแต่ความดี มีประโยชน์ต่อผู้อื่น
ถึงจะจากเป็นหรือจากตาย หรือเพียงแค่หลบไปเลี้ยงหลาน คนก็ยังกล่าวถึง
ไม่ลืมเลือน

หากแต่เคยทำความดี สร้างสรรค์ ผู้คนก็จะจดจำ และระลึกได้ มีลูกสอนลูก
มีหลานสอนหลาน ความดีที่ทำนั้นก็ยังคงอยู่ตลอดไป

ส่วนบางคน เมื่อทำหน้าที่ที่ควรทำ แต่มันไม่ถูก คนเขาก็จะจำได้อยู่ตลอดไปเช่นกัน
ที่ทำสำคัญ เมื่ออายุใช้งาน มันหมด ไม่ว่าจะหมดด้วยอายุ ระยะเวลาที่ทำงาน
เมื่อถีงวันที่หมด ก็ต้องไป การยื้อยุดที่จะอยู่ทำงานต่อ ทั้งๆที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง
รังแต่จะทำให้เกิดข้อครหา เกิดข้อสงสัยว่าทำไมถึงอยากอยู่ ทำไมถึงต้องตั้งตัวตาย
ตัวแทน นั่งทับเก้าอี้ไว้ หรือไอ้ที่นั่งทับอยู่มันเป็นเรื่องเลวร้าย ลุกไม่ได้เด็ดขาด
เพราะคนที่มานั่งต่อ หากไม่ใช่พวกเดียวกัน ความจริงจะปรากฎ

ยุคนี้สมัยนี้ มีของหมดอายุอยู่มากมาย เมื่อหัวขบวนหมดอายุ สมควรเปลี่ยน
ก็ไม่ยอมเปลี่ยน ไม่ยอมรามือ จนไอ้คนที่มารอตำแหน่ง แก่จนเหนียงยาน
ไปอีกคนแล้ว มันน่าสมเพช เพราะมันกลายเป็นตัวเช่นตัวอย่าง ทำให้คนชั่ว
ในประเทศนี้ เมื่อหมดอายุการทำงาน แล้วกลับไม่ยอมไป ยังจะหน้าด้าน
เถียงข้างๆคูๆว่ามีสิทธิ์อยู่ ต่างยกเหตุผลนานับประการ ที่จะยกเอามาเข้าข้าง
อันจะแสดงให้เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีใครจะทำได้นอกจากตัวเอง

อ้างความรักชาติเข้าไปโน่น อ้างความห่วงไยระบบ อ้างความจำเป็นที่ต้องนั่ง
ทำงานต่อ เหตุการณ์อย่างนี้ มีให้เห็นเป็นประจำในบ้านเมืองนี้ อาจเป็นเพราะเรา
มีพวกหลงตัวเองอยู่มาก ใครจะบอกให้ลงไม่ลง ใครจะบอกให้ออกไม่ออก คิดว่า
มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้ อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า"นายว่า ขี้ข้าพลอย"
จะเรียกว่าอะไรดี ก็นายมันทำตัวอย่างให้เห็นนี่นา

ไล่มาตั้งแต่ไอ้นายกฯเด็กเวร เข้ามาก็ไม่ถูก คนเขาออกมาบอกให้ไปก็ไม่ไป
ให้อ้างว่า ห่วงงบประมาณ(ซึ่งใครๆก็รู้ว่าหากไม่มีมัน คนอื่นเขาก็ทำได้)

ต่อมาก็ยัยเป็ดหนังเหนียว มาไม่ถูกอีกเหมือนกัน หมดเวลาไปไม่ยอมไป
อ้างว่า งานยังไม่เสร็จ งานสำคัญ(กลบขี้ตัวเอง)ยังไม่ลุล่วง ต้องอยู่ต่อจน
ตายจนเน่าคาเก้าอี้ เผื่อกลิ่นศพกับขี้ที่นั่งทับไว้จะกลมกลืนกันจนคนแยกไม่ออก

เห็นไหมคะ ประเทศนี้ มีแบบนี้อีกมาก นี่แค่ยกมาแค่ สองตัวอย่างที่เห็นชัดๆ
ลองไปนึกทบทวนดูเถอะค่ะ ไอ้พวกไม่ยอมลุกน่ะ ล้วนมาจากวิธีผิดๆทั้งนั้น

ทำขนมกินกัน

วันหยุด ก็ต้องหาอะไรทำกันนะคะ อะไรจะดีไปกว่าการทำขนม เพราะคนกินก็จะได้มีความสุขด้วยวันนี้เรามาทำขนมฝรั่งกัน มีชื่อว่า Brownie Cheesecake หน้าตาเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ

[ภาพ: EcfbKVLS3q.jpg]


เริ่มต้นก็ต้องเตรียมส่วมผสม ขนมนี้ตามชื่อก็มีสองส่วน คือ บราวนี่ กับ ชีสเค้ก
แทนที่จะทำคนละที ก็เอาขนม 2ชนิดมารวมกัน หน้าตาเลยคล้ายกับเค้กหินอ่อน
รสชาดออกขมนะคะ แต่หากไม่ชอบความขม เรามีวิธีเลี่ยง

ส่วนผสมแยกออกเป็น ส่วนของบราวนี่ สิ่งที่ต้องเตรียมคือ 1. ช้อคโคแล็ต อันนี้แหละค่ะมี 2ชนิดคือดาร์กช้อคโคแล็ต (หาซื้อได้ตามซุปเปอร์ ราคาค่อนข้างแพง) 70 กรัม

2. ช้อคโคแล็ตนม อีก 30 กรัม อันนี้แหละค่ะ ที่ว่าจะลดความขมของขนมลงได้ โดยเพิ่มส่วนของช้อคดคแล็ตนมให้มากกว่าดาร์กช้อคโคแล็ต (เอาเป็นว่า ส่วนผสมของช้อคโคแล็ต รวมกันให้ได้100 กรัมก็แล้วกันนะคะ)

3.เนยสด (อันนี้ก็มีมีปัญหาอีกว่าจะใช้เนยจืด หรือเนยเค็ม) เอาอย่างนี้ค่ะ ตามธรรมดา
เรามักจะซื้อเนยเค็มมาใช้ทาขนมปังใช่ไหมคะ(สีทอง) เราก็ใช้อันนั้นแหละค่ะ
เหลือจะได้เก็บไว้ทาขนมปังกินได้ จำนวน 100 กรัม

4.เกลือ( หากใช้เนยเค็ม ก็งดเสียนะคะ) 1/4 ช้อนชา

5. ผงโกโก้ (ตราอะไรก็ได้ค่ะ) อีก 1 ช้อนโต๊ะ

6. ไข่ 1 ฟอง

7. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

8. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

9. แป้งเอนกประสงค์ 1/2 ถ้วยตวง

ส่วนผสมของชีสเค้ก ก็มีดังนี้ 1.ครีมชีส (จะใช้ของยี่ห้ออะไรก็ได้ค่ะ ของฝรั่งก็ ฟิลลาเดลเฟีย ส่วนของไทยก็แคโลไรน่า) ใช้ 500 กรัม (แปลว่า 2ก้อนที่เขาขายกันตาม
ท้องตลาดนะคะ)

2.น้ำตาล 1/3 ถ้วย

3.ไข่ 1 ฟอง

4. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 50 กรัม (หนึ่งถ้วยในท้องตลาด มีปริมาณ 150กรัมนะคะ เราใช้แค่1/3ถ้วยที่เหลือก็ทานเสียให้หมด ไม่ต้องเก็บไว้นะคะ)

5. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา

[ภาพ: DIS7kFo5s5.jpg]


ได้อุปกรณ์ครบแล้วก็เริ่มลงมือทำ เริ่มแรกก็ต้องเอา ครีมชีสออกมาทิ้งไว้นอกตู้เย็นก่อนนะคะ ให้มันอ่อนตัวแล้วค่อยมาทำส่วนผสม ช้อคโคแล้ตก่อน โดยเอาเนยและช้อคโคแล็ต
(ทั้ง 2ชนิด)เข้าไปละลายในไมโครเวฟ ใช้เวลาแค่ 1-2นาที นะคะ พอช้อคโคแล็ตเริ่มละลาย ก็เอาออกมาคนเร็วๆให้ละลายหมด (อย่าทิ้งไว้ในไมโครเวฟนานเกินไป จะไหม้ได้)

2. เมื่อช้อคโคแล็ตและเนย เข้ากันดีแล้ว ให้ใส่ผงโกโก้ลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ก่อน

3. เริ่มมาตีไข่กับน้ำตาล ให้เข้ากัน

4. เทส่วนผสมของช้อคโคแล็ตลงไป คนให้เข้ากัน เติมกลิ่นวานิลลา

[ภาพ: LPVXrFwW3n.jpg]



เสร็จแล้วพักไว้ ระหว่างนี้ก็ไปตั้งเตาอบ ที่อุณหภูมิ 180องศา นะคะ เพื่อว่าเมื่อจะอบ
เตาจะได้ร้อนตามอุณหภูมิที่ต้องการ

แล้วมาทำส่วนของชีสเค้กโดย 1.ตีครีมชีส ที่อ่อนตัวแล้วกับน้ำตาลจนเนียน
เป็นเนื้อเดียว

[ภาพ: BUNIK263AN.jpg]

2. ใส่ไข่อีก 2ฟองที่เหลือลงไป ตามด้วยโยเกิร์ต และกลิ่นวานิลลา ตีทั้งหมดให้เข้ากัน

[ภาพ: tsv2CXMI7f.jpg]


เมื่อเข้ากันดีแล้ว หน้าตาจะดูนวลเนียนแบบนี้ค่ะ[ภาพ: GLqNMkiJGM.jpg]

อันที่จริง แค่นี้หากอยากจะกินแค่ชีสเค้ก ก็เอาไปใส่ แป้งพาย(ที่เป็นแครกเกอร์
กับเนยกรุลงในถาด)เอาเข้าอบก็จะได้ชีสเค้กแล้วค่ะ แต่บอกแล้ววันนี้โลภ
กะจะทำสองอย่างในคราวเดียวกัน เลยต้องเอาไปผสมกับส่วนของบราวนี่ก่อนอบ


โดยเอาส่วนผสมของชีสเค้กเทลงถาดอบที่กรุไว้ด้วยกระดาษไข (ไม่ต้องทาเนยนะคะ เพราะสูตรนี้เนยเยอะอยู่แล้วเวลาอบขเนยจะทำให้ขนมไม่ติดถาดอยู่แล้วค่ะ)
เอาส่วนผสมของช้อคโคแล็ตใส่ลงไป ใช้ พายยาง หรือปลายมีดลากส่วนผสม
ของช้อคโคแล็ตไปในส่วนผสมของชีสเค้ก ลากเบาๆพอค่ะ ไม่ใช่กวนจนเข้่ากันเป็นเนื้อเดียว เราต้องการให้ส่วนผสมทั้งสอง เข้ากันแบบกลมกลืน ยอมรับในความแตกต่าง
ไม่เห็นต้องรวมเป็นเนื้อเดียวกันเลย(ว้ายแว่บไปการเมืองอีกแล้ว ก็ของมันเคยน่ะค่ะ
เขียนแต่เรื่องการเมืองจนชิน อิอิ)



ลืมถ่ายรูปตอนลากมีดนะคะ นึกได้อีกทีก็ตอนเอาเข้าเตาอบไปแล้ว เลยได้แต่รูปนี้มา[ภาพ: hoEVHFq7Mh.jpg]

อันนี้เป็นรูปที่ลากให้พอกลมกลืนแล้วเอาเข้าไปไว้ในเตาแล้วนะคะ หน้าสวยงามดี
เห็นถึงความแตกต่างมีทั้งขาวและดำ แต่ก็อยู่ในถาดเดียวกัน ใส่ไปในเตาอบ
ประมาณ 30-ภ0นาทีนะคะ เวลาตั้งไว้ แค่30นาทีก่อนจะต้องต่อเวลหรือไม่
ขึ้นอยู่กับถาดที่ใช้อบ ตามธรรมดาต้องใช้ถาด ขนาด9*9นิ้ว ซึ่งจะใช้เวลา 40นาที
แต่ถ้าไม่มีถาดขนาดนั้น แล้วไม่คิดจะทำขายเป็นอาชีพ ก็หาถาดที่มีอยู่ในบ้านแหละค่ะ
วันนี้ได้ถาดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดสัก8*10นิ้ว ขนมก็จะบางหน่อย ใช้เวลาอบ
น้อยหน่อย แค่ 30 นาทีก็เสร้จแล้วค่ะ เมื่อลองเอาไม้จิ้มฟันจิ้มดูกลางขนม
ชักไม้ออกมาสะอาดแล้ว ไม่มีเศษขนมติดมาก็เป็นอันว่าใช้ได้ เอาออกมา
ทิ้งให้เย้นแล้วค่อยเอาไปใส่ตู้เย็นไว้อีกสัก 5ชม. (เพราะอย่าลืมว่าขนมมี
ส่วนผสมของชีสเค้ก เอาออกมาตั้งทิ้งไว้แบบบราวนี่ธรรมดาไม่ได้หรอกค่ะ

ผลพอเช้าเอาออกมาทานพบว่าขมและเค็มไปเล็กน้อย จึงได้แก้สูตรไว้ให้ข้างต้นนะคะ
สูตรดั้งเดิม เอามาจากหนังสือmay made (ขอขอบคุณ แต่มันไม่ค่อยอร่อย
คาดว่าเมื่อปรับปรุงสูตรแล้าน่าจะถูกปากมากกว่า)

ฉะนั้นอย่างน้อยการได้ทำอะไรสักอย่างให้คนที่เรารักและรักเรากินในวันหยุด
ก็คงทำให้ทุกคนมีความสุขนะคะ

ไอ้นี่ก็แปลกคน


หมดวาระเพราะอายุไปแล้ว แต่ไปยอมลุกจากเก้าอี้ ซึ่งเก้าอี้ตัวนี้ก็มีปัญหาการ
ครอบครองมาแต่แรกแล้ว

กล่าวคือ เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีผลบังคับใช้ และกำหนดให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นองค์กรอิสระ โดยมีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 10 คน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 1 คน ทำหน้าที่คานอำนาจกัน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา จึงสมัครเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

ในขณะนั้น การสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินประสบปัญหาล่าช้า เนื่องจากผู้สมัครขาดคุณสมบัติ จึงมีผู้เสนอชื่อให้คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าการฯ และได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนแรก


คงจำกันได้ว่าเมื่อแรกนั้นก็มีปัญหา เพราะการเข้ามาไม่ถูกต้องจนทางสตง.เอากุญแจไปล้อกประตูไม่ให้เข้าทำงาน จนฟ้องร้องกันถึงศาลรัฐธรรมนูญ และคำตัดสินก็ออกมาว่าผิดแต่
ในที่สุด เรื่องกลับเป็นอย่างนี้ค่ะ "คุณหญิงจารุวรรณ" ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณฯ หลัง คตง.คืนตำแหน่ง

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า รู้สึกปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเมตตาให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีต่อแผ่นดินจนถึงที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาได้ยึดมั่นในพระบรมราชโองการมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้รับความไว้วางใจ ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาการทำงานร่วมกับคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เนื่องจากเคยทำงานร่วมกันมา และตนเองไม่เคยมีปัญหากับใคร โดยขอขอบคุณคนไทยในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งข้าราชการ สตง.ที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด โดยหากเริ่มเข้าไปทำงานก็จะให้กำลังใจกับผู้ร่วมงานทุกคน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน โดยให้ยึดมั่นทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน

ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า "กระบวนการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน" กระทั่งได้มาซึ่งนางจารุวรรณ เมณฑกา (ขณะนั้นยังมิเป็นคุณหญิง) เป็นการดำเนินการโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่น ดิน คุณหญิงจารุวรรณจึงต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

พูดให้ "ชาวบ้าน" เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ

กระบวนการสรรหาคุณหญิงจารุวรรณมาเป็นผู้ว่าสตง. นั้น "ทำผิดกฎหมาย"

ดังนั้น เมื่อทำผิดกฎหมายและองค์กรศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉับชี้ขาดยืนยันแล้วถึง 2 ครั้ง ในคำวินิจฉัยที่ 47/2547 และคำวินิจฉัยที่ 60/2548 จึงหมายความว่า

คุณหญิงจารุวรรณจึงต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ:เขียนโดยสโรช สันตะพันธุ์
นิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชากฎหมายมหาชน


และแล้วในที่สุดเธอก็ได้กลับมาดำรงค์ตำแหน่งที่ไม่สมควรเป็นของเธอ
แอ่นแอ๊น พอเป็นแล้ว เธอก็แสดงฤทธิ์แสดงเดช มีเรื่องฟ้องร้องกันวุ่นไปหมด
ไม่ว่าจะตั้งซี9 ซึ่งศาลปกครองก็ออกมาบอกแล้วว่าผิด ไหนจะเรื่องตั้งบริษัท
เข้ามารับงานในสตง. (อันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างชัดเจน
โดยไม่ต้องใช้พจนานุกรมช่วย) ไหนจะเรื่องบ้านราคาปลูกสร้าง 4ล้านบาท
ที่ใหญ่โตประมาณว่าสัก40ล้านก็ไม่ปาน ไหนจะเรื่องเบิกเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน
พาลูกและคณะไปเที่ยวความไม่ชอบมาพากล หาอ่านได้จากคอลัมน์ของคุณวาทะตะวัน
“จารุวรรณ เมณฑกา ใสซื่อหรือ...โสโครก!?”

ล่าสุด เมื่อกฤษฎีกาออกมาบอกว่าเธอต้องพ้นตำแหน่งไปตั้งแต่ปี 50แล้ว
เกิดอะไรขึ้น เธออ้างเหมือนเดิมค่ะ ข้อความที่ทำให้ได้รับตำแหน่งในครั้งแรก

ต้องมีพระบรมราชโองการจึงจะออก

“ไม่ต้องการอะไรที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะให้ไปอย่างเดียวที่เทิดทูนอยู่เสมอคือไปเอาพระบรมราชโองการมา ไม่ยึดติด เก็บของแล้วด้วย แต่ขอไปอย่างถูกต้อง” คุณหญิงจารุวรรณกล่าว


ฮา งวดนี้สงสัยได้อยู่ไปจนตาย