โพสต์เมื่อ : 2008-09-25 07:00:08
\"กระบวนการควบรวมระหว่างระบอบทักษิณกับอมาตยาธิปไตย\"
By ruarob
การ เข้ารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่พรรคพลังประชาชนคนใหม่ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นำไปสู่การเปิดศักราชใหม่ระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายทักษิณกับกลุ่ม อำนาจดั้งเดิมของประเทศ จากการที่ยืนอยู่คนละฝั่งกันและระดมทุกขีดความสามารถห้ำหั่นกันจนประเทศดิ่ง จมลงทุกวัน กลับกลายเป็นการพบโอกาสทองในการประสานประโยชน์กันได้ระหว่างสองกลุ่ม โอกาสนี้จะถูกพัฒนาใช้อย่างสุดยอดหรือไม่ และจะมีตัวแปรใดสกัดขัดขวาง นั้นเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนสังคมต้องจับตามอง ด้วยลมหายใจของความหวังว่าประเทศไทยจะสงบสุขเสียที
กระบวนการ ก้าวเข้าสู่ความสงบสุขทางการแบบไทยๆ นั้น อาจเรียกว่าเป็น PAX THAILANDIA ที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศอันประกอบด้วย นายทุน ขุนศึกและศักดินา มีความลงตัวในผลประโยชน์ระหว่างกัน ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรบ้าง ก็ไปอยู่ใต้พรมหรือละเลยกันไปบ้าง หากเรื่องนั้นมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แนวทาง peaceful coexistence แบบนี้บริบทหลักสังคมการเมืองไทยก่อนปี 2544 เต็มไปด้วยการเมืองน้ำเน่าก็จริง แต่ปราศจากความเกลียดชังกันถึงราก
ระบอบ ทักษิณ ถ้าหากจะมี ได้เข้ามาเปลี่ยนความสงบสุขแบบนี้ โดยนำระบบ winner takes all มาใช้ ซึ่งเป็นธรรมชาติหลักของทุนนิยมข้ามชาติอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ชนะครองทั้งหมดก็ต้องแพ้แน่นอน ไม่มีที่เหลือให้คนเป็นกลาง การสู้รบกับอำนาจดั้งเดิมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และระบาดเละกันไปทั้งประเทศอย่างที่เราทุกคนได้รับผลกระทบกันอยู่ การมาถึงของนายสมชาย จึงเป็นความหวังของทุกฝ่ายที่ต้องการหยุดรบโดยไม่แพ้
การ ที่นายสมชายคลุกคลีกับโครงสร้างส่วนบนของสังคมมาทั้งชีวิต ทั้งยังเป็นคีย์แมนของระบอบทักษิณด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะยิ่งในการไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหน้า และเขาทราบดีถึงธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว คนในค่ายทักษิณและค่ายอมาตยานั้นมีความคล้ายคลึงกันเพียงไร
นาย ทุน ขุนศึก ศักดินานั้นมีอยู่ทั้งสองค่าย แม้จะมีความจงรักในผู้นำของตัวต่างกัน แต่วิถีการดำรงชีพและแสวงประโยชน์ล้วนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเฉพาะนักการเมืองค่าย ก.เท่านั้นที่โกงเป็น ค่าย ข. ก็มีเช่นนี้ ไม่ใช่ พลเอกของค่ายนี้เท่านั้นที่คุณธรรมล้นเหลือ แต่ค่ายโน้นก็มีเช่นกัน มายาคติที่แบ่งขั้วว่าข้างฉันถูกทั้งหมด ข้างแกผิดทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องเลยเถิดของสังคมวันนี้จนต้องหาทางลงกันให้ได้ ก่อนที่จะถึงขั้นนองเลือด
เมื่อถูกบีบจนถึงขีดสุด คนในระบอบทักษิณต้องปรับตัวจึงกลายพันธุ์ เพราะเมื่อปราศจากผู้นำที่แข็งแกร่ง เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายสมัคร สุนทรเวช คนอื่นๆ ก็กลับไปสู่ระบบเดิมที่ตนเองคุ้นเคยก่อนปี 2544 ดีกว่า นั่นก็คือระบบที่นายทุน ขุนศึก ศักดินา อยู่กันได้อย่างเกื้อกูลกันดังที่ว่า เราจึงได้เห็นภาพนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อสายคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ขั้วตรงข้าม ซึ่งก็ได้รับไมตรีเป็นอย่างดี ยกเว้นพวกหัวรุนแรง
ไม่ใช่ว่าฝ่าย ระบอบทักษิณปรับตัวเป็นอย่างเดียว ฝ่ายอมาตยาก็ปรับตัวด้วย ไม่ใช่ว่าต้องทำลายฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซากแล้วตนเองก็บอบช้ำหนัก เพราะแนวทางหลายอย่างที่ไทยรักไทย-พลังประชาชน นำมาให้กับสังคมนั้น คือแนวทางของโลกยุคใหม่ที่ในห้วงต่อไป ใครต่อใครก็ต้องใช้แนวทางนี้ นั่นคือการสร้างประชานิยมแบบยั่งยืน และเสริมใยเหล็กด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
ระบอบ ทักษิณสามารถได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเพราะชนะใจคนชั้นล่าง พลังซึ่งชนชั้นสูงเคยละเลย หาว่าโง่เง่าเอาแต่รอรับของแจก แต่วันนี้คนชั้นล่างไม่ได้เป็นเช่นยุคห้าสิบปีก่อนอีกแล้ว พวกเขาฉลาดที่จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนตนเอง พร้อมทั้งพัฒนาโนว์ฮาวให้ดีขึ้นไปอีกโดยไม่มายึดติดกับเรื่องนามธรรมเช่น คุณธรรมดังที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง เรื่องเช่นนี้ฝ่ายอำนาจดั้งเดิมก็ทราบดี และปัจจุบัน ก็จะใช้แนวทางเดียวกันนี้ในการจูงใจชนชั้นล่างให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ผสานกับทุนภาพลักษณ์ดั้งเดิมของตนที่มีอยู่แล้ว คาดว่าแนวทางแบบนี้ในอนาคตระบอบอมาตยาธิปไตยจะทำได้เหนือกว่าทักษิณเสียด้วย ซ้ำ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นข่าวทั้งสองฝ่ายเริ่มจูนเข้าหา กัน พยายามหาทางลงให้กัน ชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะเป็นเรื่องรองลงไป เพราะไม่ใช่ภัยคุกคามหลักของฝ่ายอมาตยาอีกต่อไป ที่น่าสนใจคือ ความแบ่งขั้วของประชาชนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ตราบใดที่ชนชั้นโครงสร้างส่วนบนดีต่อกัน พลังของส่วนล่างก็จะไม่มีทางพลิกเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และถ้าสิ่งที่เขียนในพารากราฟที่แล้วเป็นจริง ทั้งสองชนชั้นจะใกล้ชิดและหลอมตัวเข้าหากัน เอื้อประโยชน์ต่อกันมากกว่ายุคใดๆ โครงสร้างเบื้องล่างของสังคมก็จะค่อยๆ ปรับตัวรับสภาพเช่นนี้ไปเอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักที่ขัดขวางการหลอมรวมกันเป็นระบอบอมาตยาธิปไตยยุคใหม่อันทันสมัย นั้นก็คือ กลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามนี่เอง ในเมื่อนายทัพเขาจับมือกัน แต่ลูกทัพไม่จับมือด้วย ศึกครั้งต่อไปก็จะเกิดขึ้นภายในทัพนั้นๆ เอง ประเด็นนี้เป็นประเด็นน่ากลัวทีเดียว
หากมีการรอมชอม ฝ่ายที่รอมชอมจะต้องมีทั้งได้ทั้งเสีย ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปหรือเสียบรรยากาศของความสมานฉันท์ กรณีเช่นนี้ Front ของทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้หรือไม่ ยอมรับว่าคนที่ตนเองชื่นชมว่าเป็นเสาหลักแบ็คอัพอยู่ของฝ่ายตัว ดันยอมลงให้กับข้อเสนอบางอย่างของฝ่ายตรงข้าม เช่น ระบอบประชาธิปไตยแบบสรรหาอย่างเต็มรูปแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หรือคนที่เคยมีมลทินจากการกล่าวหาหรือถึงขั้นต้องคดีก็จะยังโลดแล่นอยู่บน เวทีการเมืองได้ เป็นต้น
ระบอบทักษิณสิ้นพลังไปแล้ว แต่ระบอบอมาตยาธิปไตยที่กำลังได้เปรียบก็จะนำแนวทางหลายอย่างของระบอบทักษิณ มาใช้ ไม่ต่างอะไรกับพม่าชนะมอญและรับธรรมเนียมหงสาวดีหลายอย่างมาเป็นของตัว ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องใช้กำลังเพื่อปกป้องความยั่งยืนของตนตามแนวทางประยุกต์นี้ ฝ่ายอมาตยาก็พร้อมที่จะทำเหมือนที่เคยทำ ไม่ว่าปรปักษ์ในศึกหนหน้าจะเป็นผู้ที่เคยอยู่ใน line เดียวกันหรือไม่
การ พลิกผันของภาวการณ์นี้ ย่อมกระทบต่อคนธรรมดาอย่างพวกเราทุกคนด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเตรียมพร้อมกับความเข้าใจว่า \"ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ที่เป็นนิรันดร์\" ขนาดไหน
(ที่มา)
http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=4310&user=ruarob
โพสต์เมื่อ : 2008-09-25 08:52:17
เป็นคนหัวรุนแรง ไม่ชอบประนีประนอมอ้ะ ยอมมาตั้งนานแล้ว
ถึงจะเสียเลือดเสียเนื้อบ้าง ก็คงไม่แปลก เพราะเคยได้ยินว่า
ประชาธิปไตยไม่เคยได้มาเปล่าๆ ต้องเอาเลือดแลกมาทั้งนั้น
หากยอมครั้งนี้ เราก็ต้องจมปลักอยู่อีกไม่รู้กี่สิบปี ไม่เอาล่ะ
หากจะรบ ก็ต้องรบให้เต็มเหนี่ยว สมยอมกันอย่างนี้ รากหญ้าก็เหนื่อยเปล่า
หลอกใช้ประชาชน แล้วในที่สุดพอสมประโยชน์กัน
ก็เลิก ไม่ได้หรอก เชื่อว่าคนที่ทุ่มมาแล้วทั้งตัว คงไม่มีใครยอม
ไม่ว่าฝ่ายไหนล่ะ ที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือยโอนอ่อนพร้อมแลก
ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคงแพ้แน่นอน ไม่งั้นมีหรือจะยอม
จะมาอ้างว่าประเทศบอบช้ำ ทำทีว่ารักชาติเสียเต็มประดา
บอกตรงๆไม่เชื่อ และไม่มีทางเชื่อ เพราะหากรักชาติจริง
คงไม่ลากลู่ถูกังมาจนจะสิ้นชาติอยู่แล้ว ได้กลิ่นความพ่ายแพ้
ลอยมาแต่ไกลล่ะสิ ถึงทำท่าว่ายอม ไม่มีอะไรวิน-วินหรอก
ในโลกนี้น่ะ จะบอกให้ มันต้องมีคนได้เปรียบ เสียเปรียบ
อยู่แล้ว นี่ก็แสดงว่าคงคิดว่าตัวเองจะได้เปรียบสิท่า
เลยทำยอมแลก
แต่ฉันไม่ยอมด้วยหรอก ถึงข้างบนสองฝั่งยอมกัน ก็อย่านึกว่า
คนที่ตาสว่างแล้ว จะยอมกลับไป มืดมิดอีก แม้เพียงใส่แว่นตา
ดำ บังตาได้บางส่วนก็เถอะ หลอกใครก็คงหลอกได้ แต่หลอก
คนอย่างพวกฉันไม่ได้หลอก ถ้าทักษิณไม่สู้ เพราะสมประโยชน์
ก็เรื่องของทักษิณ เพราะฉันไม่ได้สมประโยชน์ด้วย เราไม่ได้
สู้เพื่อใคร แต่สู้เพื่อประเทศชาติ ปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระเสียที
ถึงวันนั้น คนอย่างทักษิณก็จะมีอีกมากมาย
หากยอมกันวันนี้ คนอย่างทักษิณไม่มีวันได้เกิดอีกเลยในประเทศ
นี้ อย่างน้อยๆอีกสิบ ยี่สิบปี หากทักษิณยอม พวกเราก็พร้อมจะ
ทิ้งทักษิณได้ เพราะบอกแล้วไม่ใช่บุคคลที่เราสู้เพื่อ แต่เป็นประเทศต่างหาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น