วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไม่ต้องลา

ยินเสียงแว่วแจ้วเจื้อยเลื้อยมาตอบ
แต๊งส์ที่ชอบตอบได้ไม่กังขา
ไม่มีบอร์ดไม่เป็นไรไม่ต้องลา
รอเวลาฟ้าสีทองผ่องอำไพ

ต่อให้ปิดอีกร้อยใช่หงอยเหงา
ด้วยพวกเรายังมีที่อาศัย
อีกนานับจับไม่หมดจงอดใจ
ประชาไทใช่จะร้างหรือจางลง

ถึงชื่อใหม่ในนามต่างๆนั้น
ก็ยังมั่นเฝ้าด่ามันจนเป็นผง
เมื่อฟ้าใหม่ไทยเป็นไทอย่างมั่นคง
เราตั้งธงต่อสู่ไม่มีวาง

เมื่ออาทิตย์ลับลาไปตอนค่ำ
ก็ยังย้ำกลับมาเมื่อฟ้าสาง
ไม่ต้องห่วงอย่างไรมีหนทาง
ที่เปิดกว้างให้สู้จนสุดแรง

แค่ใบบัวใบเล็กฤาปิดได้
อีกล้านใจมั่นตรงคงผาดแผลง
ลากคนผิดมารับกรรมซ้ำถูกแทง
ตะแลงแกงแห่งนั้นมันต้องไป

ประชาไทไม่อยู่ก็ไม่ท้อ
จะเฝ้ารอร่วมกันวันฟ้าใส
วันที่คนทั้งชาติประกาศชัย
ต่อนี้ไปแผ่นดินนี้เป็นของกู

รอฟ้าเปิด

ไม่อยากลาก็ต้องลารอฟ้าเปิด
หวังจะเกิดปาฏิหาริย์ธารน้ำใส
ประเทศนี้ได้เป็นประชาธิปไตย
ทุกคนไทยได้เสรีที่รอคอย

ถึงบอร์ดปิดปิดไปไร้ปัญหา
ถึงเวลาหาที่ไปไม่มีหงอย
ปิดที่นี่ไปที่นั่นฝันยังลอย
โอกาสสอยยุติธรรมยังอำพราง

เขียนกลอนนี้ที่นี่มีความหมาย
จะไม่หายห่างกันถึงมันขวาง
คนตั้งเยอะที่เห็นซึ่งแนวทาง
ไม่อ้างว้างเหว่ว้าตั้งหน้าเดิน

ไม่อำลาอาลัยในบอร์ดนี้
รู้ว่ามีที่ไปไม่ห่างเหิน
คิดเหมือนกันฝันร่วมทางอย่างเพลิดเพลิน
แล้วจะเอิ้นคำลาไปทำไม

ขอเชิญเพื่อนพี่น้องต้องมุ่งมั่น
คงสักวันฝันเป็นจริงยิ่งสดใส
เพราะถึงปิดเราจะเปิดทุกดวงใจ
มุ่งฝ่าไปให้ถึงซึ่งปลายทาง

หากไม่ทันชาตินี้มีชาติหน้า
จะไม่ลาลับไปให้อางขนาง
ฝากลูกหลานวานต่ออย่าจืดจาง
ฟ้าสว่างทางเปิดเกิดเป็นจริง

รอฟ้าเปิด

ไม่อยากลาก็ต้องลารอฟ้าเปิด
หวังจะเกิดปาฏิหาริย์ธารน้ำใส
ประเทศนี้ได้เป็นประชาธิปไตย
ทุกคนไทยได้เสรีที่รอคอย

ถึงบอร์ดปิดปิดไปไร้ปัญหา
ถึงเวลาหาที่ไปไม่มีหงอย
ปิดที่นี่ไปที่นั่นฝันยังลอย
โอกาสสอยยุติธรรมยังอำพราง

เขียนกลอนนี้ที่นี่มีความหมาย
จะไม่หายห่างกันถึงมันขวาง
คนตั้งเยอะที่เห็นซึ่งแนวทาง
ไม่อ้างว้างเหว่ว้าตั้งหน้าเดิน

ไม่อำลาอาลัยในบอร์ดนี้
รู้ว่ามีที่ไปไม่ห่างเหิน
คิดเหมือนกันฝันร่วมทางอย่างเพลิดเพลิน
แล้วจะเอิ้นคำลาไปทำไม

ขอเชิญเพื่อนพี่น้องต้องมุ่งมั่น
คงสักวันฝันเป็นจริงยิ่งสดใส
เพราะถึงปิดเราจะเปิดทุกดวงใจ
มุ่งฝ่าไปให้ถึงซึ่งปลายทาง

หากไม่ทันชาตินี้มีชาติหน้า
จะไม่ลาลับไปให้อางขนาง
ฝากลูกหลานวานต่ออย่าจืดจาง
ฟ้าสว่างทางเปิดเกิดเป็นจริง

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

When I met my friends

Last week I went to Chiangmai, a province in the north part of Thailand, since it is the time called "Koapansa" in Thai. This is the time of rainy season in Thailand, of course, some may say that there's a lot of rain throughout the year.But during these three months,there will be heavy rain most of the time. That's the reason why the Lord of Buddha announced that these whole three months, the monks should stay only in their own premises or else they might harm the rice field of the villagers, since it's the time that the rice field is so bountiful.

That's why this ceremony is so important in Thailand, cause we as the Buddhists will go to wat with a very big candle, which will be used to give light in the temples [in the past there's no electricity in Thailand] but nowadays, we bring fluorescence instead.

More than that this year the day of "Koapansa" is on the same day of the birthday of our beloved prime minister Dr. Thaksin Shinnawattra. I along with my husband and friends decided to attend the ceremony.

We drove to Chiangmai on Sunday, and early in the morning of the next day we went along with the caravan to three of the temples.
At all the temples we met red-shirted people there, all of them were so happy that we came.

I would like to tell about the last one I met at the last temple in Lumpoon. He's the northern man, not so old[about 30 years old]
talked to him, he was so happy to find out that we all came to attend this ceremony purposefully,while talking, the organizer turned on the song called "I'll be back" sung by Dr.Thaksin, surprisingly, I saw his face tearfully wet.

Why a man cried when thinking of his beloved prime minister, don't you all wonder why. How much money to buy the love of people, and if it's true that Thaksin bought people's love with money, how much money he has to spend and how come it lasts so long[since it's almost 4 years since he has been exiled]

Just to tell you this story to confirm some of you who still wonder whether the Love for Thaksin is real!

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มันกลุ้มใจจริงๆค่ะ

เจอข่าวนี้เข้าไปอึ้งล่อซื้อแค่6หมื่นดีเอสไอได้อาวุธสงครามปืน-กระสุน-ระเบิดเพียบ

เมื่อแรกออกข่าวว่า“จากการส่งสายลับเข้าไปหาข่าวพบว่านายหรั่ง
ไปเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีหลังคนเสื้อแดงยุติการชุมนุม
และสามารถจัดหาอาวุธที่สายสืบต้องการในการล่อซื้อมาให้ได้
โดยใช้เงินในการล่อซื้อ 60,000 บาท ตอนแรกตั้งใจว่าจะล่อซื้อ
เพื่อขยายผลให้ได้มากกว่านี้ แต่นายหรั่งเริ่มรู้ตัวก่อนจึงต้องจับกุมมาดำเนินคดี”

เอาข้อนี้ก่อน บอกว่านายหรั่งไปเคลื่อนไหวอยู่ที่จ.ชลบุรี แต่ไปจับได้ที่ลพบุรีนะคะ
เป็นจังหวัดทหารบกแท้ๆ ไม่โง่ก็บ้าแน่นอน ที่ไปหลบอยู่ในเขตทหาร
ตอนแรกว่าซื้อกับตัวนายหรั่งเอง เพราะบอกว่า“หรั่ง” ไม่ใช่นักค้าอาวุธเลยขายถูก

วันต่อมาออกข่าวว่าจะกันตัวแม่และเมียไว้เป็นพยาน เพราะการล่อซื้ออาวุธ
ของสายลับดีเอสไอภรรยาของนายหรั่งเป็นผู้รับเงินจำนวน 60,000 บาท
ที่ได้จากการล่อซื้อด้วย


มาล่าสุด ข่าวกลายเป็นแบบนี้ค่ะดีเอสไอพลิกอีกเลิกสนใจ‘หรั่ง’ฟุ้งหลักฐานแน่น

งงกันไปทั้งประเทศ ล่อซื้ออาวุธ จะเหมือนกับล่อซื้อยาเสพติดไหมหนอ
เมื่อใช้วิธี"ล่อซื้อ" ก็แสดงว่าคนที่ครอบครองทำความผิด
อยากจับเขาในข้อหาค้ายา ก็ต้องล่อซื้อให้เขาแสดงตัวออกมา
จะได้มีหลักฐานจับได้ ล่อซื้อหญิงค้าประเวณีก็เหมือนกัน
ถ้าไม่มีหลักฐานว่าเขาขายก็จับไม่ได้ แต่ล่อซื้อการค้าอาวุธ
เกิดการค้าสำเร็จ คือจ่ายเงินจริง รับเงินจริง ได้อาวุธมาจริง
แต่แปลกอย่างว่าไม่จับคนขาย คนรับเงิน ไปจับผัวแทน
โดยไม่บอกว่าทำอย่างไรจึงโยงไปเจอผัวได้ (เพราะเมียและแม่ออกมาหลัง
เห็นภาพข่าวว่าถูกจับ จึงออกมาขอความเป็นธรรม)
แล้วทำไมจึงจับได้โดยละม่อมคนร้ายระดับพระกาฬก่อคดีมากมาย
ไม่เห็นภาพการจู่โจม การล้อมจับอยู่ดีๆก็ออกมาแถลงข่าวใหญ่โต
น่าสงสัยปนสมเพชเป็นอันมาก

อีกสามวันจะเป็นวันเกิด

แต่ไม่สะดวกโพสท์วันนั้น เพราะติดภารกิจเดินทางไปแห่เทียนพรรษาสีแดง
และทำบุญวันเกิดให้ท่านที่เชียงใหม่ เลยขอนำเสนอวันนี้เลยค่ะ

จะร้อยดาวพราวฟ้ามาเป็นสร้อย
แล้วจะคอยคว้าจันทร์ผันเป็นจี้
ทั้งความรักถักทอเป็นดนตรี
มโหรีบรรเลงกล่อมอย่างถ่อมตน

เป็นของขวัญวันนี้ที่มอบให้
จากดวงใจไกลห่างกลางสับสน
ยังคิดถึงซึ้งใจไม่กังวล
มอบแด่คนคนนี้ที่รอคอย

เพราะความดีมีให้เห็นเป็นประจักษ์
จึงหลงรักปักใจไม่ถดถอย
ถึงอยู่ห่างทางไกลยังใจลอย
หวังเพียงน้อย..ก็ยังนับรอกลับมา

ในวันเกิดปีนี้ที่อยู่ห่าง
คงอ้างว้างห่างไกลญาติพงศา
จึงฝากดาวฝากเดือนเกลื่อนนภา
ไปบอกว่ายังรักมั่นไม่เสื่อมคลาย

กี่ปีแล้วเลือนไปแค่ใบหน้า
แต่วาจา..ความดีไม่มีหาย
ยังจำแน่นตราตรึงถึงวันตาย
โลกสลายกลายเป็นเถ้าเรายังจำ

ช่างโชคดีมีวันนี้ที่เธอเกิด
ช่างแพรวเพริศเกิดคนดีศรีสยาม
ขอให้สุขสดชื่นทุกโมงยาม
เราจะตามความจริงไปจนเจอ


คุณก ไก่ แต่งตอบ

ยี่สิบหก กรกฎา วันเกิดพี่
น้องไม่หนี จากใจ พี่ไปไหน
นั่งนับวัน รอคอย ด้วยหัวใจ
พี่อยู่ไกล น้องอยู่นี่ ต่างเฝ้าคอย

จะว่ากลอน เก็บดาว ไม่ทันแล้ว
อีกพระจันทร์ ก็แห้ว ป้าเก็บหมด
แถมมโหรี ปี่กลอง อึกทึก
ให้รู้สึก ความสุข ที่ป้าปอง

แต่สิ่งหนึ่ง ที่คุณป้า เก็บไม่หมด
ก็หัวใจ หมดจด ของพี่น้อง
หากจะเก็บ หากจะร้อย สร้อยมาครอง
คงต้องมอง หาจี้ ที่ใหญ่โต

ยี่สิบหก กรกฎา วันเกิดพี่
น้องไม่หนี จากใจ พี่ไปไหน
จะจูงมือ แห่เทียน เพื่ออวยชัย
ร้องก้องไป ถึงพี่ชาย ที่แสนดี

ขอนำเสนอบทความน่าสนใจ

ลองอ่านกันดูนะคะ จากนสพ.โลกวันนี้ ประจำวันที่22กค.2553 คอลัมน์"นิ้วกลมระดมความคิด"
เขียนโดย ชมเพลิน อยู่เพลิน

การขุดแฉและจับโจรสลัดครองเมืองย่อมไม่ใช่การยุยงสร้างให้แตกแยก



ได้ข่าวว่าพรรค เพื่อไทยจะเดินสายในจังหวัดที่ไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมุ่งเป้าหมายในการแฉกลโกงต่างๆของรัฐบาล...พลันที่ได้ยินข่าวนี้คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ออกโรงมาเตือนว่าให้ระวังกิจกรรมที่จะกระทำควบคู่ระหว่างการจัดคอนเสิร์ต กับการปราศรัยตามโครงการ...โดยสำทับว่า “...ขอให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้าไปยุยงให้คนเกลียดชังจนเกิดความแตกแยกก็ถือว่าผิด”

นี่เป็นเรื่องน่าพิจารณาเหมือนกันสำหรับการปราศรัยและจัดนิทรรศการ เคลื่อนที่เพื่อแสดงข้อมูลการทุจริตในโครงการต่างๆของรัฐบาล ตลอดจนรายละเอียดของการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐาน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการจัดเวทีที่ไม่เกี่ยวกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ “คนเสื้อแดง”...กิจกรรมเหล่านี้มันจะเข้าข่ายสร้างความแตกแยกและยุให้เกลียด ชังตามที่คุณสุเทพได้กล่าวถึงหรือเปล่า?...และก็ไม่รู้ว่าเมื่อกิจกรรม ดำเนินไปทางฝ่ายรัฐบาลหรือ ศอฉ. จะคิดอ่านจัดการอย่างไรหรือไม่? เพราะปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมันย่อมเป็นเรื่องใหญ่ของทุกฝ่ายที่ต้องช่วยกัน จัดการ?

รัฐบาลเองคงต้องใจกว้างและหนักแน่นพอ ยกเว้นเสียแต่ว่าทำตัวเองให้เป็นวัวสันหลังหวะ...มีบางคนวิพากษ์วิจารณ์ กลุ่มคนในชาวคณะที่ประกอบกันเป็นรัฐบาล ซึ่งตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถูกกล่าวหาเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสให้ กลายเป็น “พวกสันดานโจรสลัดเสียจนหมดทุกคน” แต่เมื่อเราย้อนไปมองในหลายๆโครงการที่มีพิรุธและเบื้องหลัง คงปฏิเสธไม่ได้สำหรับรัฐมนตรีหรือคนแวดล้อมในหลายกระทรวงที่กำลังใช้ พฤติกรรมของตัวเองในการแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งไม่ได้แตกต่างอะไรกับกองเรือของพวกโจรสลัดตระเวนปล้น?

เรื่องของโจรสลัดนั้นมีอยู่มากมาย เป็นมาตั้งนานแล้ว คาดหมายถึงตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ถัดจากสมัยของโจรสลัดอียิปต์ก็ถึงยุคโด่งดังสำหรับพวกโจรสลัดไวกิ้ง โดยเป็นกลุ่มคนจากแถบประเทศเดนมาร์ก, นอร์เวย์ และสวีเดน ช่วงนั้นอยู่ระหว่างศตวรรษที่ 8-11 พวกไวกิ้งสามารถครองน่านน้ำยุโรป ปล้นออกไปกว้างขวางจากทะเลบอลติกจนถึงช่องแคบยิบรอลต้า...แต่โจรสลัดที่มี ชื่อเสียงมากเห็นจะเป็นกลุ่มในศตวรรษที่ 16 เป็นกลุ่มโจรสลัดอิสระในแถบทะเลอีเจียนและเมดิเตอร์เรเนียน...โจรสลัด อิสระเหล่านี้เป็นประเภทโจรรับสัมปทาน โดยทำความตกลงกับรัฐบาลหรือประเทศซึ่งตัวเองสังกัดอยู่ จะต้องแบ่งทรัพย์สินจากการปล้นให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความคุ้มครอง ไม่โดนรบกวนจากเจ้าหน้าที่รัฐ...โจรอาชีพจริงๆเป็นอย่างนี้?

พวกโจรที่มีปลอกคอน่ากลัวมากกว่าโจรไร้สังกัด เหมือนกับ “สองพี่น้องบาร์บารอสซ่า” ซึ่งพวกเขาเป็นประเภทโจรสลัดที่มีข้อตกลงกับ “สุลต่านตูนีเซีย” คือโจรจ่ายค่าต๋งในการปล้นเป็นจำนวน 1 ใน 5 ให้กับองค์สุลต่าน เป็นข้อคิดของความสัมพันธ์ในระหว่างโจรและเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในราว พ.ศ. 2053...แต่ในราว พ.ศ. 2215 ก็มีอีกกลุ่มโจรสลัดที่เจ็บไม่น้อยกว่ากัน ได้เกิด “จอมโจรแห่งแคริบเบียน” ขึ้นมาแทนตำแหน่ง โจรสลัดกลุ่มนี้มีชื่อเสียงโด่งดังแถบน่านน้ำสเปน พวกนี้มีมากมายหลายก๊วนที่ออกอาละวาดปล้นสะดมผู้อื่นเป็นประจำ ต่างล้วนเป็นโจรได้รับอนุญาต ถือเป็นโจรสลัดของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ คือเส้นแข็งกันขนาดนี้จึงสามารถคงอยู่และปล้นได้อย่างลอยนวล มีจำนวนมากที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “เซอร์” เช่น เซอร์จอห์น ฮอว์คินส์, เซอร์เฮนรี่ มอร์แกน และกัปตันวิลเลี่ยม คิดด์ เป็นต้น

ทางด้านเอเชียของเราก็มี "กองทัพโจรสลัดของเจิ้งอี้" เขามีกองทัพเรือถึง 400 กว่าลำ ใช้พลพรรคสมุนโจรร่วม 70,000 คน สร้างอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลไปทั่วทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใน พ.ศ. 2350...สืบต่อมาถึงรุ่นทายาท “จางเป่า” ก็เป็นโจรสลัดเชื้อไม่ทิ้งแถวเหมือนพ่อของเขา ใช้ชีวิตเยี่ยงโจรจนเบื่อ ต่อจากนั้นในภายหลังหันไปเป็นข้าราชสำนักให้แก่ฮ่องเต้จีน ซึ่งเรื่องราวของจางเป่าได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อยู่หลายเรื่องเหมือน กัน?

โจรสลัดในยุคปัจจุบันยังมีอยู่ เคยโด่งดังในแถบชายฝั่งทะเลอเมริกาใต้ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ตอนหลังเหตุการณ์ซาลง มาโด่งดังเอาในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ระหว่างช่องแคบมะละกากับประเทศสิงคโปร์ นอกจากนั้นก็ยังมีย่านบังกลาเทศ บราซิล ไนจีเรีย โซมาเลีย...กระทั่งฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยก็มีโจรสลัดปล้นอยู่เหมือน กัน?

โจรสลัดไทยในฝั่งอันดามันมันไม่น่ากลัวนัก ไอ้ที่น่ากลัวคงเป็นโจรสลัดที่ใส่เสื้อสูทอยู่ในหลายกระทรวง เพราะพวกนี้มันเป็นโจรที่ส่งส่วยและได้รับความคุ้มครองเหมือนโจรสลัดในสมัย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ...ดังนั้น การเดินสายแฉทุจริตจึงไม่ใช่การทำให้แตกแยกหรือยุให้เกลียดชัง ทั้งยังเป็นการช่วยจับโจรสลัดเสียด้วย เพราะบ้านเมืองมันชุกชุมด้วยโจรเหลือเกิน เป็นโจรสลัดในระบบอุปถัมภ์อำมาตย์ที่ปล้นเพื่อส่งส่วย?

อ่านแล้ว คิดแล้วเห็น เห็นแล้วจึงร้องอ๋อ

เขาว่าปลายปี54พรรคกกนจะได้เป็นรัฐบาล

เลยต้องมาศึกษาพรรคนี้กันหน่อย เอาแค่คำขวัญแล้วกันนะคะ

[ภาพ: 11854_195897168737_519023737_2982295_1993103_n.jpg]

"ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ ทำงานเป็น"

เห็นคำขวัญแล้วมั่นใจ...

ซื่อสัตย์.....ออกมากัดกันแย่งเงินบริจาค เงินก็ไม่ได้มากอะไร
เสียวถึงขั้วปอด เมื่อนึกถึงวันที่เข้ามาบริหารประเทศ แล้วเจองบก้อนโต
เชื่อว่าแย่งกันกินได้ดีกว่าแมลงสาบแน่นอน

เสียสละ....โอ้อันนี้ของแท้ อุตส่าห์เสียสละเข้าไปยึดทำเนียบเป็นร้อยวัน
ประกาศเรี่ยไรเงินตลอดเวลา ใครไม่ให้แอบด่าออกอากาศเลยด้วยซ้ำ
ช่างเป็นการทำงานที่เสียสละจริงๆ (แถวบ้านเขาเรียกขู่กรรโชกนิ)

กล้าหาญ.....ข้อนี้ไม่สงสัย กร่างขนาดเอาปืนนั่งรถไล่ยิงคนบนถนนหลวงกันโต้งๆ
บุกเข้าไปล้อมรัฐสภา พกระเบิดปิงปองเข้าไปเอง อ้อ เกือบลืมทั่นสารวัตรที่ขนระเบิด
มากมายหวังเอาไปฆ่าใครไม่รู้ กลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญอย่างแท้จริง ขับรถไล่ทับตำรวจ
เอาปลายธงที่แหลมคม แทงทะลุกอกตำรวจ ถุยน้ำลายใส่ตำรวจ สารพัดจะทำด้วยความกล้าหาญ

ทำงานเป็น...จากผลงานที่ผ่านมา เชื่อแล้วจ้าทำงานเป็นจริงๆ รู้จักเวล่ำเวลา
รู้ว่าเมื่อไหร่ควรออก เมื่อไหร่ควรเงียบ ไม่ดื้อด้าน แค่เตือนนิดๆหน่อยๆ ร้อยกว่านัด
เงียบไปตั้งนาน

สรุปว่า เป็นพรรคการเมืองที่น่าสนใจ คำขวัญดีจริงๆ บ่งบอกตัวตนได้ชัดเจน
ขออนุโมทนาให้ได้เป็นรัฐบาลสักที ประเทศเจริญฮวบๆแน่นอน

คืนรอยยิ้ม

จัดรายการต่างๆมามากมาย เชิญชวนให้ยิ้มให้กันหลังการฆ่า
แล้วชวนต่อให้กอดกัน(แอบเอามีดปักหลังกันหรือเปล่าไม่ทราบ)
จนแทบจะเชิญชวนให้อึ๊บกันอยู่รอมร่อชาวบ้านก็ยังยิ้มไม่ออกสักที
มิหนำซ้ำยังพยายามไปรื้อฟื้น ไปชูป้ายไปส่งเสียงว่า"ที่นี่มีคนตาย"
ใส่ชุดแดงไปผูกผ้าแดงอีก

รัฐบวมนำโดยคนปัญญาอ่อนนึกไม่ออกสักทีว่าจะทำอย่างไรดี ในที่สุด
ไม่รู้ว่าใคร ช่วยคิดไอเดียให้ โดยจัดตำรวจตั้ง2-300นายไปยืนล้อมป้าย
เอาไว้ ห้ามเข้าไปผูกผ้าแดงเด็ดขาด จับคนส่งเสียงดังไปปรับก็แล้ว
ยังไม่สำเร็จ ตกดึกก็ยังเข้าไปผูกให้ปรากฎภาพในตอนเช้าอีก

อย่ากระนั้นเลย ขั้นต่อไป เรายกหีบหนี เอ๊ยยกป้ายหนีดีกว่า แค่นั้น
ยังไม่พอ ยังส่งจ่าแก่ๆอ้วนๆที่วิ่งตามผู้ร้ายไม่ไหวแล้ว มายืนเฝ้าเสาไว้
เพราะคาดว่าอย่างไรเสีย เสาคงไม่วิ่งหนีไปไหน ไม่ต้องเปลืองแรงวิ่งไล่

ภาพข่าวที่ปรากฎไปทั่วโลก ไม่น่าเชื่อ เกิดผลสัมฤทธิ์ เชิงสัญญลักษณ์
อย่างไม่เคยเกิดมาก่อน อุตส่าห์เชิญชวนให้ยิ้มมาร่วมสองเดือน ก็มีคราวนี้แหละ
ที่ไม่ว่าใครเห็นภาพข่าวเข้า เป็นต้องอมยิ้ม (เอาน่า จะยิ้มแบบสมเพชก็เถอะ)
ก็ต้องถือว่าทำให้คนยิ้มได้จริงๆแหละ เสียแต่เป็นยิ้มที่ดูถูกดูแคลนการแก้ปัญหา
ของไอ้พวกบ้าและโง่นี่จริงๆ

ประเทศนี้เวลามันเดินไม่เท่ากัน

เผอิญไปเจอข่าวนี้เข้า 3เดือนศาลรธน.ชี้ชะตาถอดถอน12ส.ส.ปชป.



ทีมกฎหมายพรรคประ ชาธิปัตย์เผยล่าสุดได้รับข้อกล่าวหาคดี 12 ส.ส. ถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญแล้ว เปิดไต่สวนนัดแรก 23 ก.ค. นี้ คาดไม่เกิน 3 เดือนรู้ผล โวยเพื่อไทยสร้างกระแสกดดันศาลสร้างภาพเรื่อง 2 มาตรฐาน หวังบีบให้ตัดสินยุบพรรคเหมือนที่ทำได้ผลมาแล้วกับ กกต.

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค แถลงถึงความคืบหน้าคดี 12 ส.ส. ของพรรคถูกฟ้องถือหุ้นขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. ว่า ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญได้ส่งคำให้การของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวกมาให้แล้ว เพื่อให้ ส.ส. ที่ถูกกล่าวหาทำหนังสือแก้ข้อกล่าวหาส่งไปให้ศาลภายในวันที่ 19 ก.ค. นี้ ก่อนเวลา 16.30 น. และได้นัดไต่สวนคดีเป็นวันแรกในวันที่ 23 ก.ค. โดยจะทำการไต่สวนต่อเนื่องทุกวันศุกร์ คาดว่าจะใช้เวลา 3 เดือนในการไต่สวนก่อนตัดสินคดี

นายวิรัตน์กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกระบวนการแทรกแซงการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การให้สัมภาษณ์ของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นาย จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ออกมาพูดจาในเชิงกดดันข่มขู่ให้ศาลเกิดความหวาดกลัว ซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะเดียวกับที่เคยกดดัน กกต. ให้ส่งผลเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำได้ผลมาแล้ว
ถามจริ๊ง เวลาพูดออกมาเนี่ย เคยอายไหม ใครๆเขาก็รู้เขาก็เห็นว่าใครกันแน่ที่มีอิทธิพลพอที่จะแทรกแซงและกดดัน

"มีการพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงในหลายเรื่อง เช่น กรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรีของพรรค เรื่องไปรับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรณีของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลางจนต้องถอนตัวออกจากการพิจารณาคดียุบพรรคไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีความพยายามสร้างเรื่องว่าการยุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นเรื่อง ยาก เพราะมีผู้มีอำนาจหลายคนหนุนหลังอยู่ เพื่อสื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความเป็นกลาง ถือเป็นการจงใจบิดเบือนเพื่อสร้างแรงกดดันและทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยมีเป้าหมายเพื่อบีบให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินใจยุบพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้ เพราะถ้าไม่ยุบจะถูกมองว่าศาลมี 2 มาตรฐาน ไม่เป็นกลาง" นายวิรัตน์กล่าว

คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนเป็นผู้ใหญ่มากพอ คงไม่หวั่นไหวกับแรงกดดันข่มขู่ แต่เรื่องความรู้สึกอาจจะมีกันบ้าง เช่น กรณีของนายวสันต์ที่ถอนตัวออกจากการพิจารณาไป ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์ และหวังว่ารัฐบาลจะเข้าไปสร้างหลักประกันด้านความปลอดภัยให้กับตุลาการและ เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญทุกคน

โธ่ถังกาละมังเอ๋ย กว่าจะสรุปสำนวนออกมาได้ ยังส่งไปให้นายอภิชาต(ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเขาพวกใคร) ยังต้องรอไปอีก3เดือน โอ้โห ทำไมเวลาที่จะพิจารณาตัดสินคนของพรรคนี้มันเดินล่าช้ากว่าคดีของพรรคอื่นๆ ว้า นอกจากใช้คนละมาตรฐานยังใช้นาฬิกาคนละเรือนอีกด้วยหรือไง

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไทยไม่ได้ลืมเลือนปัญหาเรื่องเขาพระวิหารนะคะ

เดี๋ยวจะหาว่ารัฐบวมนี้สนใจแต่ปัญหาการล่าแพะและแม่มด
เรื่องเขาพระวิหารก็ยังสนใจอยู่มาก เพราะได้ข่าวว่า

"นายมารุต มัสยวาณิช รองโฆษกประจำสำนักนายกฯแถลงเมื่อ
วันที่13กค.ว่าที่ประชุมครม.อนุมัติงบกลาง 10 ล้านบาทให้กระทรวงทรัพย์ฯ
นำทีมโดยนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมต. พร้อมคณะ 15คน เดินทางเข้าร่วมประชุม
มรดกโลกสมันสัญจรครั้งที่34 ที่ประเทศบราซิล"

ข่าวย่อๆเอามาจากมติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้จะไปเสนอว่ากัมพูชา
ควรชลอการเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาท จนกว่าข้อพิพาทเขตแดน
จะแล้วเสร็จ

นายสุวิทย์กล่าวว่า"จนวันนี้ยังไม่ได้ยินว่าจะมีวาระเขาพระวิหารเข้าสู่ ที่ประชุม"
อ้าว แล้วเฉือยกขโยงกันไปตั้ง15คนเล่าทั่น ไอ้ที่ไปกันตั้ง15คนน่ะ ไปทำไม
รู้จักเทคโนโลยี่สมัยใหม่บ้างไหม เดี๋ยวนี้เขาเอาซีดีไปแผ่นเดียว ก็น่าจะอธิบาย
ได้หมดแล้ว ขนไปทำไมกันมิทราบ ใช้งบประมาณแพงเหลือหลาย ไปแค่
1อาทิตย์ เบิกเงินไปตั้ง10ล้าน ประเทศรวยมากหรือไง

เออถ้ามันจำเป็นก็แล้วไปเถอะ นี่อะไร หัวข้อก็ยังไม่มี ดั๊นยกขโยงบินกันไปเป็นฝูง
หรือมันจำเป็นต้องพากันไปท่องเที่ยวหลังจากเครียดในการทำงาน
หรือไม่ก็ เครียดต้องหลบหน้านักข่าว เผื่อเขาถามเรื่องการฆาตกรรมหมู่!

ชวนไปดูซอนต๊อกอีกรอบ

หนังซีรี่ย์เกาหลีน่ะค่ะ จริงๆหนังเกาหลีไม่ว่าจะเป็นหนังร่วมยุค หรือหนังพีเรียด
ดูแล้วก็ให้สงสัยว่าว่าเอาพล้อตไปจากเมืองไทยหรืออย่างไร ทำไมมันเหมือน
กันจัง ถ้าเป็นหนังร่วมสมัย การโกง เจ้าพ่อมาเฟียก็เหมือนกันเด๊ะๆ

ยิ่งหนังพีเรียดยิ่งเหมือนอย่างกับเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่อง"ซอนต๊อก"เนี่ย
โอ้โห อื้อฮืม มันถอดแบบกันมาเลยเนี่ย

หนังดีดูสนุก สอนใจได้ โดยเฉพาะบทสนทนา ไม่รู้ใครลอกใคร มันเหมือนกันเป๊ะ
มีการออก"กฎความมั่นคง"เสียด้วย มิหนำซ้ำ ยังห้ามชุมนุมเกิน 5คน แล้วภาพ
ตำรวจนอกเครื่องแบบอุ้มประชาชน ก็ทำได้ใกล้เคียงในหนังมาก เสียงประชาชนที่ถูกจับ
ก็ถามอย่างเดียวกันเปี๊ยบว่า "ทำผิดอะไร ถึงต้องมาจับ" ข้อหาก็คือชุมนุมกันเกิน5คน
เหอๆ ก็เขามาคนเดียว เจอกันก็เลยคุยกัน วิจารณ์เสียงดังไปหน่อย แม่งจับไปแล้ว
ที่เล่านี่ เป็นภาพที่เกิดในหนังนะคะ ไม่ใช่จากที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวานนี้ที่ราชประสงค์

อ้อ แล้วหนังมันมีการตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาด้วยนะคะ หน่วยงานนี้น่ะ มีอำนาจล้นฟ้า
จะเรียกตัวใครไปสอบก็ทำได้ ไม่เกี่ยงว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตสักเพียงใด ถ้าไม่พอใจ
เรียกไปสอบได้ แอบล่อไปล่อมายัดข้อหาปลอมๆก็ได้ แล้วค่อยไปหาหลักฐาน
เอาทีหลัง อู๊ยดูไป งงไปว่าใครลอกใครกันหว่า

หรือคนเลวมันก็เหมือนกันทั่วโลก เพียงแต่ว่าพอโลกมันเปลี่ยนไป ไอ้พล้อตเดิมๆ
มันเลยดูไม่ค่อยขลัง หากมันเหมือนกันมาก ก็แสดงว่าประเทศนี้ยังไม่มีการพัฒนา
ไปเลย หนังเกาหลีเป็นหนังย้อนยุคแท้ๆ กลับมาตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันของเราได้

อ้อ ประโยคเด็ด ที่เขาว่า แม้แต่ในเกาหลียังถือว่าเป็นประโยคทองของหนังคือ
"ผู้ใดครองใจคนได้ ผู้นั้นครองประเทศได้" อยากตะโกนให้ดังๆเผื่อได้ยินกันทั่วๆ
จะได้หาวิธีมาครองใจคนให้ได้ก่อน (แล้วอย่าไปเหมาว่าการบังคับได้จะเป็น
การครองใจได้นะเจ้าคะ)

แก้ตัว

คนเราเวลาทำผิดก็ต้องแก้ตัว หากไม่ผิดจะต้องแก้ตัวทำไม
การแก้ตัวที่เห็นโดยทั่วไปก็เช่น เวลามีนัดแล้วมาสาย
ผิดไหมผิดแน่ๆ แต่ข้อแก้ตัวที่สุดคลาสสิคก็คือ"รถมันติด"
แน่นอนในกทม. รถมันติดจริง แต่ในความเป็นจริง การมาสาย
มันอาจจะเกิดจากการตื่นสาย แต่ใครจะกล้าไปรับผิดเช่นนั้น

มาดูปฏิบัติการฆ่าคนกลางถนน จากคนที่เรียกตัวเองว่า"ทหารไทย"
มาดูกันว่า เขาแก้ตัวกันว่าอย่างไร จากหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์
(ประจำวันที่16-22กค.2553)

"เราเลือกยิงนะครับ ไม่ใช่ยิงดะ หรือยิงมั่วไปหมด หรือยิงไปยิ้มไปสนุกมือ
มันมือ ถ้าทหารที่ทำอย่างนั้นได้ ไม่ใช่ทหารไทยแล้ว เราเลือกยิงเฉพาะ
คนที่มีอาวุธ และคนที่เราคิดว่าใช่เท่านั้น"

"ในเมื่อพวกนั้นมีอาวุธจะยิงเรา เราก็ต้องยิงใช่ไหมครับ เราไม่มีทางเลือก"

ฟังคำแก้ตัวแล้ว เกิดอาการผะอืดผะอม เหลือที่จะทนได้ ยิงคนตาย
เกลื่อนถนน ภาพที่ปรากฎ ไม่เห็นมีคนตายคนใดมีอาวุธตกอยู่ข้างกาย
แล้วคนเหล่านั้นกลายเป็นคนที่

ใช่

ไปได้อย่างไร
คนที่อยู่ในชุดอาสากู้ชีพ เป็นผู้หญิง เป็นเด็กหนุ่ม กลายเป็นเป้าหมาย
ไปได้อย่างไร สำลีและผ้าก๊อซเป็นอาวุธหรือไร อีกยังมีนักข่าว ที่คง
มีอาวุธร้ายแรงคือกล้องทั้งบันทึกภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว
คนเหล่านี้หรือเป็นคนที่มีอาวุธที่พร้อมจะยิงเข้าใส่ทหาร

ภาพวิดีโอคลิ้ปที่เผยแพร่ไปทั่วโลก ที่ทหารเดินหน้ายิงไม่ยั้ง ส่องยิง
ยิงซ้ำทั้งๆที่หัวหน้าหน่วยบอก"ล้มแล้ว อย่าซ้ำ" ก็ยังกดยิงตามไปอีก
เหล่านี้จะมาแก้ตัวว่าเลือกยิง มันฟังไม่ขึ้นจริงๆ ภาพที่ยิงคนข้างหลัง
ขณะที่กำลังวิ่งหนีกันกระเจิง เป็นภาพการยิงที่ผ่านการกลั่นกรอง
ผ่านคำสั่งที่มีการพิจารณามาแล้วอย่างดีอย่างนั้นหรือ

การแก้ตัวว่า"พวกเราไม่ได้มีความสุขหรอกนะ หลังการปฏิบัติการ
ที่ราชประสงค์ มันเหมือนชนะ แต่ไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้ไปรบกับเขมร
ลาว พม่า แต่เป็นคนไทยด้วยกันเอง มันเป็นหน้าที่ มันเป็นคำสั่ง"

พวกคุณเป็นคนไทยที่สมัครเข้ามารับใช้

ชาติ

ไม่ใช่หรือ แล้วนี่คุณออกมาปฏิบัติงานเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง
เพียงเพื่อจะรักษาอำนาจ รักษาเก้าอี้ ของคนกลุ่มหนึ่งที่มี
ความขัดแย้งทางการเมือง มีความเห็นไม่ตรงกัน มันถูกหรือ

คุณเองก็รู้ว่ามันผิด ไม่อย่างนั้นจะออกมาแก้ตัวว่า"พวกเราไม่ได้มีความสุข
หรอกนะ ...ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้มีความสุขนะครับ จะกินจะนอน ก็นึกถึงภาพเหล่านั้นตลอด
แต่ก็ต้องทำใจว่า เราจำเป็น เราทำหน้าที่ ไม่อย่างนั้นใจเราจะไม่สบาย
จะอยู่ไม่ได้ หลายคนรู้สึกเหมือนกัน"

คำแก้ตัวนี้ เก็บเอาไว้ไปแก้ตัวกับศาลระหว่างประเทศแล้วกัน ถ้ามันเกิด
ขึ้นจริงไม่ได้ ก็เตรียมเอาไว้ไปแก้ตัวกับยมบาลเถอะ เพราะในฐานะคนไทย
รับไม่ได้กับคำแก้ตัวนี้ แม้ไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ภาพคนถูกยิง
เกลื่อนถนน ก็ตามมาหลอกหลอนจิตใจอยู่จนทุกวันนี้ คนเหล่านั้น
ไม่ได้เป็นญาติพีน้อง แต่เขาเป็นคนไทย เป็นเพื่อนร่วมชาติ
จะให้ทำใจลืมแล้วหันกลับมายิ้มให้คนที่ฆ่า และสั่งฆ่า
ทำไม่ได้ และหากทำได้ฉันก็คงไม่ใช่

คน

จะไปอธิบายว่าอะไร

ป้าปากเกร็ด's picture

อ่านข่าวนี้ แล้วก็งงน่ะค่ะ ลองอ่านดูนะคะ

"

ส่งทหารลุยทั่วอีสาน9,660คนมุ่ง สลายแนวร่วมคนเสื้อแดง

วันที่ 13 ก.ค. 2553 ที่โรงแรมราชพฤกษ์แกรนด์โฮเทล จังหวัดนครราชสีมา กองทัพภาคที่ 2
จัดฝึกอบรมขยายผลชุดวิทยากรกระบวนการเศรษฐกิจพอเพียง โครงการสู้วิกฤตเศรษฐกิจด้วย
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประจำปี 2553 ครั้งที่ 9 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากพื้นที่ 10 จังหวัด
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานที่เป็นพลเรือน ทหาร ตำรวจ จำนวน 350 คน

วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมก็เพื่อให้ชุดวิทยากรที่ขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 2
ได้รับทราบสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่และแนวทางการปฏิบัติ งาน
องค์ความรู้เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และทักษะการเป็นวิทยากรการเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 (กอ.รมน. ภาค 2)
กล่าวว่า การฝึกอบรมครั้งนี้แบ่งเป็น 2 รุ่น รวม 700 คน ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเป็นพลเรือน ทหาร ตำรวจ
ในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคอีสานทั้งหมด โดยจะเสร็จสิ้นการฝึกอบรมรุ่นที่ 2 ในวันที่ 17 ก.ค.
และจะเริ่มลงพื้นที่ปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. เป็นต้นไป จนกระทั่งสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 ก.ย.

สำหรับจุดประสงค์ในการส่งวิทยากรลงพื้นที่มี 5 เรื่อง ประกอบด้วย
1.ช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามวิถี ไทย
บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

2.เสริมสร้างความเข้าใจ ความรักสามัคคี ความปรองดองตามนโยบายรัฐบาล
รวมทั้งร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีด้วยการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระ มหากษัตริย์

3.รณรงค์สร้างจิตสำนึก ให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยมีความศรัทธาและยึดมั่นในการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

4.รณรงค์เสริมสร้างบรรยากาศให้เอื้ออำนวยต่อการสร้างความ ปรองดองของคนในชาติ
และส่งเสริมให้สังคมไทยเกิดความสันติสุขอย่างยั่งยืน โดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน
บนพื้นฐานของความหลากหลายทางความคิดตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง

และ

5.สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ ถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของทหารใน
การรักษาความสงบเรียบร้อยต่อกรณีการชุมนุมในช่วงที่ผ่านมา

"อีสานมี 322 อำเภอ วิทยากรของเราจะไปในทุกอำเภอ ใช้วิทยากร 30 คนต่อ 1 อำเภอ
แบ่งการทำงานออกเป็น 5 ชุด ชุดละ 6 คน กระจายไปตามตำบลต่างๆ ซึ่งการดำเนินงาน
ตามโครงการครั้งนี้จะใช้วิทยากรทั้งหมดประมาณ 9,660 คน" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตามโครงการสู้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียงมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังการรัฐประหาร เมื่อเดือน ก.ย. 2549
โดยใช้งบประมาณในแต่ละปีกว่า 1,000 ล้านบาท เน้นหนักในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ
และภาคกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกมองว่าทำเพื่อสลายแนวร่วมคนเสื้อแดง"

จากข้อ4 อ่านแล้วอยากจะร้องกรี๊ดๆ ใครไปใช้กำลังกับพวกแก หนังสะติ๊กยิงไป
ยังไม่เคยโดยแม้แต่หัว แต่แกยิงเอาๆ เอาสไนเปอร์ส่องหัวทีละคน แล้วยังส่งคน
ไปกล่อมว่าอย่าใช้ความรุนแรงต่อกัน อายน่ะรู้จักไหม หน้าด้าน นึกว่ามีแต่นายกฯ
ที่หน้าด้าน ไอ้ทหารมันก็หน้าด้านพอกัน

ยิ่งมาเจอข้อ5 ฉันน่ะบ้าไปเลย กระสุนก็กระสุนจริง คนตายคนเจ็บก็คนจริงๆ
แต่หาคนจริงรับไม่ได้ว่าตัวทำ ดันจะส่งคนเข้าไปชี้แจง จะต้องชี้แจงว่าอะไรกันอีก
จะไปบอกว่าอะไร ที่พี่น้องเพื่อนฝูงเขาถูกยิงเกลื่อนถนน จะไปบอกว่าเกิด
เพราะอะไร จะบอกว่าพวกนั้นดันเดินไปเจอกระสุนเองรึไง

แหมไม่อยากคิด เสียเงินเสียทองไปมากมาย เพียงเพื่อออกไปโกหกประชาชน
เกิด เขาไม่อยากฟัง ฟังไม่รู้เรื่อง เกิดเหตุการณ์เหมือนสามจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ จะเกิดอะไรขึ้น ที่ภาคใต้ก็ทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ส่งคนเข้าไปพล่าม
เรื่องที่มันไม่จริง เรื่องที่เขาไม่อยากฟัง ออกแนวข่มขู่ แล้วเป็นไงล่ะ ถูกกุดหัวไปเท่าไหร่แล้ว

ในขณะนี้ สิ่งที่ทำได้ เยียวยาได้ดีที่สุดคือ ไอ้รัฐบาลมือเปื้อนเลือดต้องยุบสภา
ให้สิทธิ์ประชาชนเขาเลือกใหม่ ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำไปไม่ผิดกลัวอะไร หากคน
เขาเห็นด้วยกับการฆ่าคนเป็นผักปลา ก็ลองดู ไม่เสียหาย ประหยัดกว่าการตั้งคระกรรมการ
5-6 (คำสุภาพของคำว่าห่า-เหว)ขึ้นมาศึกษาแน่นอน

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

ใครๆก็รู้พระอาทิตย์ไม่เคยขึ้นทางทิศตะวันตก
ไม่อย่างนั้นเราจะเรียกทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นมา
ว่า"ทิศตะวันออก" คือ เป็นทิศที่ตะวัน(พระอาทิตย์)
โผล่เหนือขอบฟ้าขึ้นมา

แล้วทำอย่างไร จึงจะทำให้พระอาทิตย์เปลี่ยนทิศ
ในการขึ้น ไม่ต้องทางทิศตะวันตกก็ได้ เอาเป็นว่าทิศ
อื่นๆที่ไม่ใช่ทิศตะวันออกก็แล้วกัน

บางท่านอาจบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง ไม่ว่าจะใช้
วิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่เก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทาง
พระอาทิตย์อย่างไรก็ต้องขึ้นทางทิศตะวันออก

แต่มันเป็นไปได้ค่ะ แล้วง่ายดายอย่างกับพลิกฝ่ามือ
กล่าวคือ แค่เปลี่ยนชื่อทิศ ก็เท่านั้นเอง คนอ่านมาถึงตรงนี้
เริ่มส่งเสียงขึ้นมาว่า"บ้า" ไม่บ้าหรอกค่ะ

อะไรในโลกนี้ก็เป็นการสมมุติทั้งสิ้น เราไปสมมุติ หรือ
เรียกชื่อทิศนั้นๆว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนกับชื่ออื่นๆนั่นแหละ
หากเปลี่ยนความคิดเสีย ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่าย

ไม่ว่าความเชื่ออะไร เรียกอย่างไร ก็เปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น
หากพร้อมจะเปลี่ยน อย่าไปยึดติด อย่าไปคิดว่าเพราะ
มันเคยเป็นอย่างนี้ เขาเชื่อกันอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป
ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้หมด หากพร้อมจะเปลี่ยน

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถามจริงๆ เห็นรูปนี้แล้วนึกถึงใคร

เผอิญได้อ่านคอลัมน์"นี่สิโดนใจ" ในนสพ.โลกวันนี้วันสุขฉบับล่าสุด
เลยไปค้นภาพข่าวเอามาโชว์ เพราะโดยส่วนตัวพอเห็นภาพปุ๊บมันวาบ
นึกถึงใครบางคนในเมืองตอแหลแลนด์จริงๆ

จากข่าวนี้น่ะค่ะhttp://www.dailymail.co.uk/news/article-1291062/Sorry-think-Im-rubbish--meet-busker-plays-BIN.html

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฟ้บ

FAB เข้ามาเมืองไทยตั้งแต่ปี 2493นะคะเป็นยี่ห้องผงซักฟอก
ที่แปลกใหม่และดูทันสมัยมากๆ คาดว่าสมัยก่อนแต่โบราณกาล
เราคงใช้แต่น้ำด่างซักผ้า แล้วคงไม่สะอาดนัก คงต้องเตรียมน้ำด่างกันเอง

ต่อมาคงใช้สบู่ซันไลต์ ซักมังคะ แต่มันก็คือสบู่ มันเป็นก้อน ซักยาก
จนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ก็คือหมอนี่ล่ะค่ะ FAB ย่อมาจาก faster and better

การที่เป็นผงก็ง่ายแก่การใช้ เอาใส่กาละมังตีฟอง แล้วเอาผ้าใส่
แหมมันมีฟองขึ้นมามากมายน่าตื่นเต้น ส่วนจะซักได้สะอาดกว่า
จริงหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ฟองที่เกิดก็ทำให้หลงเชื่อไปแล้วว่าวิเศษ

ตั้งแต่นั้นมา ถึงจะมีผงซักฟอกยี่ห้ออื่นเข้ามา โด่งดังแล้วก็สูญหายไปจากตลาด
คนก็ยังเรียกขานผงซักฟอกว่า"แฟ้บ"อยู่ดี แม้ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่จะเลือนไป
ชักไม่ค่อยรู้จักแฟ้บ แต่ก็คิดดูว่าใช้เวลานับ60ปี ที่คนจะลืม แฟ้บ
แล้วหันมาเรียกผงซักฟอก

เกริ่นมาเสียยาว ก็เพียงเพื่อ จะบอกไอ้คนโง่ๆที่บริหารบ้านเมือง
ว่าคนเขาไม่ลืมคนแรกหรอก ต่อให้ใช้ความพยายาม ใช้เงินทอง
ทุ่มลงไปมากมายสักเพียงใด ชื่อ"ทักษิณ ชิณวัตร"ก็ยังอยู่ใน
ความทรงจำของชาวบ้านตลอดไป

การคิดตื้นๆง่ายๆว่าคนรักทักษิณเพราะประชานิยม เลยทุ่มเงิน
เข้าไปสุดฤิทธิ์ ทุ่มเข้าไปมากกว่า เพื่อจะให้เขาลืม คนที่นำมา
มอบให้เป็นคนแรก มันยาก อาจทำได้ แต่ต้องใช้เวลา จากตัวอย่าง
ของคำว่าแฟ้บ ก็คงใช้เวลาอีกประมาณนั้น 60ปี จะอยู่กันถึงไหมล่ะ

ประชานิยมของคุณทักษิณไม่ใช่สักแต่ว่าผุดโครงการขึ้นมาร้อยแปด
ไม่ใช่สักแต่ว่าทุ่มเงินลงไปมหาศาล แต่จะเพราะอะไร ทำอย่างไร
คนถึงยังรักยังศรัทธา ก็ ไม่ลองคลานเข้าไปขอโทษและขอคำ
ปรึกษาดูหน่อยหรือ คุณทักษิณ คงไม่ใจจืดใจดำปิดละมั้ง

การทำตามเหมือนตาบอดคลำช้าง (เพราะเมื่อเขาทำ ก็ปิดหู
ปิดตา ตัวเอง ไม่ศึกษา ดูวิธี เอาแต่ก่นด่า เพราะนึกว่าเป็น
หน้าที่ของฝ่ายค้าน) พอมาเป็นรัฐบาลเองมันเลยยาก
สู้อุตส่าห์กวาดต้อนคนที่เคยอยู่ร่วมรัฐบาลเดิมไปอยู่ด้วย
เพียงหวังว่าเขาจะรู้ทริ้ก เหอๆ ดั๊นไปเอาไอ้คนไม่เอาไหน
(ก็อย่างว่าแหละนะ คนดี มีอุดมการณ์ ใครเขาจะไปเข้าร่วมขบวนการปล้นอำนาจ)

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ แฟ้บก็ยังเป็นคำเรียกผงซักฟอกต่อไป
นายกฯที่ดีที่สุดก็ยังเป็นของคุณทักษิณไปอีกนาน

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขออำลาประชาไท

เมื่อเพื่อนรักบอกลาจะไปแล้ว
ใจก็แป้วเหวโหวโอ้ความหลัง
เคยอยู่เคียงเรียงถ้อยให้พลัง
เป็นเหมือนดังเพื่อนรักคอยทักทาย

ได้พบเพื่อนต่างมากันต่างถิ่น
เคยได้รินน้ำใจไม่ขาดสาย
บางครั้งโกรธบางครั้งด่ากันประปราย
แต่ก็หมายมุ่งมาประชาไท

นับแต่นี้ที่ห่างไปไม่เห็นหน้า
จะเหว่ว้าหากันนั่นไฉน
โอ้เพื่อนรักมาจากพรากไปไกล
อีกเมื่อใดจะได้พบประสบกัน

คำขอโทษ ขอบคุณหนุนท่วมปาก
อยากจะฝากให้หนามาปลอบขวัญ
คุณนุชนั้นคงเหนื่อยทุกวารวัน
เป็นเพื่อนกันที่ฉันรักสมัครปอง

หากทำผิดพลั้งไปอภัยด้วย
ไม่อาจช่วยคลายทุกข์ให้หายหมอง
ขออวยพรให้หัวใจเป็นดั่งทอง
ภัยไม่ต้องสุขนั้นทั้งใจากาย

พุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนว่า
ทุกสิ่งหนา"ไตรลักษณ์"ประจักษ์หมาย
"มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมคลาย
จึงเขียนลายลักษณ์ลิขิตคิดบอกลา

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ย่ามใจ

ลองคิดย้อนนอนนึกระลึกชาติ
โอ้อุบาทว์ชาติหมาน่าฉงน
ออกอาวุธเข่นฆ่าประชาชน
แต่รับผลที่ทำไปไม่เท่ากัน

เริ่มยุคแรกจัดส่งตรงไปโน่น
จนไกลโพ้นแผ่นดินสารขันธ์
ใช้ชีวิตหดหู่อยู่นานวัน
กว่าจะผันคืนถิ่นแผ่นดินทอง

แต่ไม่นานคนใหม่ให้ลาออก
ไม่ต้องบอกมาจากพรรคสยอง
อยู่เคียงคู่เมืองไทยในทำนอง
เห็นว่าต้องมีเป็นยันต์ไว้กันภัย

ผ่านมาอีกนานโขโอ้ซ้ำซาก
สั่งทหารมาพรากชีพตักษัย
คราวนี้หรือก็เพียงลาออกไป
แต่ว่าไม่เอาผิดติดตามตัว

แม้นเข่นฆ่ามากมายไม่ลำบาก
อยู่บนซากชีวิตจิตใจชั่ว
จึงทำผิดซ้ำแล้วไม่เกรงกลัว
รูกันทั่วแต่ทำไงไทยครื้นเครง

ครั้งล่าสุดหยุดยั้งยังไม่ได้
พรากชีพไปใกล้ร้อยคอยข่มเหง
ครั้งนี้ดีกว่าเก่าเขาร้องเพลง
แล้วกระเตงอุ้มต่อหล่อไม่ลง

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ร้องหากรรมSat, 07/03/2010 - 11:41 | by ป้าปากเกร็ด | Vote to close topic มีชีวิตจิตใจใช่ผักหญ้า ที่จะฆ่าทิ้งไปไม่แลเหลียว มีพ่อแม่พี่น้องฟ้องกันเกลีย

มีชีวิตจิตใจใช่ผักหญ้า
ที่จะฆ่าทิ้งไปไม่แลเหลียว
มีพ่อแม่พี่น้องฟ้องกันเกลียว
จะมาเที่ยวยิงทิ้งกลิ้งเกลื่อนเมือง

มีหัวใจได้นึกรู้สึกเจ็บ
และจะเก็บความแค้นแน่นเอาเรื่อง
ที่ทำไปมีหรือใจไม่ขัดเคือง
คิดฟุ้งเฟื่องเรื่องให้เลือนแล้วลืมไป

ต่อให้ผ่านพ้นวันอันขื่นขม
ก็ยังจมถมน้ำตาหาลืมได้
ไม่เห็นคนรับผิดคิดอะไร
แล้วมาให้จบเสียทีที่ระยำ

ลองคิดดูผุ้สูญเสียเมียและลูก
จะไม่ผูกใจเจ็บเก็บความช้ำ
ลองใส่ใจได้คิดลิขิตกรรม
ที่ได้ทำกับเขาเอามาตรอง

ใช่ร้องเพลงเครงครื้นแล้วยืนยิ้ม
นึกกระหยิ่มว่าพ้นภัยไม่เศร้าหมอง
ถึงกฎหมายยกให้ในทำนอง
ก็จะร้องเรียกกรรมมาทำงาน

มีชิตจิตใจใช่ผักหญ้า
ถึงชาตินี้ชาติหน้าหาหลักฐาน
เอาผิดคนที่ระยำทำตำนาน
เข่นฆ่าผลาญชีพวายต้องตายตาม