เรื่องของเรื่องคือ ตามหลักแล้ว ทั้งหลักสากลและกฎหมาย
คณะองคมนตรีต้องเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทำไมต้องเป็น
อย่างนั้น
ก็ในเมื่อในหลวงท่านทรงอยู่เหนือการเมือง คนที่ถวายคำปรึกษา
จึงจำเป็นต้องไม่ฝักใฝ่ หรือเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ใช่หรือ
หากเราเอาคนที่มีอคติมานั่งเป็นที่ปรึกษา ความคิด ทัศนคติ
ที่ถวายไปก็ย่อมไม่เป็นกลาง แล้วอย่างนี้จะให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย
แบบไร้อคติได้อย่างไร
เปรมก็เหมือนนังคนใช้ในละครน้ำเน่าที่กรอกหู กรอกตากันอยู่
ทุกเมื่อเชื่อวัน ที่วันๆ ไม่ทำอะไร คาบเอาเรื่องโน้น เรื่องนี้ไป
กรอกหูเจ้านาย ยิ่งถ้าเป็นคนที่นังคนใช้มันไม่ชอบ มันก็จะต้อง
แต่งเติม ใส่สี ตีไข่ หนักเข้าไปอีก
ถ้าเจ้านายเป็นคนหูเบา หรืออาจไม่ชอบไอ้คนที่ถูกนินทาอยู่บ้างแล้ว
ก็จะไปกันใหญ่ แต่หากเป็นพระเอก นางเอกตัวจริง ก็จะฟังหูไว้หู
ฟังแล้วเอาเมตตา กรุณาเข้าไปจับ ในที่สุดก็จะเข้าใจ และวางตัว
เป็นอุเบกขาไปในที่สุด แต่หากเผอิญ เจ้านายก็ดันเป็นผู้ร้ายเองเสียด้วย
ทีนี้ล่ะก็เหมือนขนมผสมน้ำยา เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ผลคือเละไปทั้งคู่
เคยดูละครแล้วเกลียดพวกนังขี้ข้าเหล่านี้ไหมคะ ดูแล้วก็อยากจะตบสั่งสอน
มันเสียนัก ยิ่งถ้าเจ้านายเลวพอๆกัน ทีนี้ละก็ไปใช้ให้นังคนใช้ไปทำแทนตัวเสียอีก
ไปสืบข่าว ไปใส่ไคล้ โอ๊ยในละครน่ะมันทำกันสารพัดแหละค่ะ
ไม่นึกว่าในชีวิตจริงก็จะเป็นเหมือนในละคร คือดั๊นมีนังคนใช้ตัวร้าย
ออกมาทำต่างๆนาๆ ใส่ความฝ่ายตรงข้าม(ฝ่ายที่ตัวไม่ชอบ)
แล้วอย่างนี้ควรเลี้ยงไว้เป็นคนรับใช้หรือคะ เพราะเผอิญ เจ้านายท่าน
ไม่ได้จ่ายเงินเดือนนังตัวร้ายซะด้วยสิคะ แต่เราๆท่านๆนี่แหละเป็นคนจ่าย
ผ่านทางภาษีอากร แล้วมันหักหลังเจ้าของเงิน น่าเลี้ยงไว้หรือคะ
การที่ออกมาบอกว่าไม่มีสิทธิ์ยุงเกี่ยวทางการเมือง แต่เปิดเผยแจ่มชัด
ต่อสาธารณะว่าเลือกข้างชัดเจน ฝักใฝ่อยู่ในฝ่ายใด เลี้ยงเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ
สำนวนเขาว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น