เช้าวันอาทิตย์ ในประเทศที่หม่นหมอง เศรษฐกิจยับเยิน
เชื่อว่าทุกคนคงอยากทราบวิธีการในการที่จะเปลี่ยนสภาพ
อันย่ำแย่ของตนเองให้กลายเป็นเศรษฐี ก็ใคร้จะอยากจะ
จนกรอบอย่างพอเพียงได้จริงไหมคะ เอาแค่กินให้พออิ่ม
ยังแทบจะไม่ได้ ยังให้พอใจในสิ่งที่ตัวมีอีก เฮ้อ คนพูดนี่
ไม่รู้จักความหิวเอาเสียเล้ย
ก่อนจะเล่าเรื่องหนทางสร้างเศรษฐี นึกขึ้นมาได้เลยจะเล่า
เรื่องนี้ก่อน
ครั้งหนึ่งมีคนขับรถของเจ้าใหญ่นายโตผู้หนึ่ง ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง
ตื่นมาขับรถแต่เช้า ขับรถให้เจ้านาย ข้าวปลาแทบจะไม่มีเวลาหากิน
จนมาวันหนึ่งเกิดทนไม่ไหว เนื่องจากหิวมากจนเริ่มปวดท้อง ด้วยความ
เกรงใจเจ้านายสุดขีด จึงค่อยไเอ่ยอย่างเบาๆไปว่า"ท่านครับ ผมหิวมาก
เราจะไปกันอีกไกลไหมครับ ผมขอแวะหาอะไรรองท้องก่อนได้ไหม"
เจ้านายได้ยินแล้วงงมาก ด้วยธุรกิจหลายร้อยล้านกำลังคอยให้ไปสะสาง
จึงถามไปว่า"อะไรวะ หิว หิวมันเป็นยังไง ก็เห็นอยู่ว่ากำลังรีบ จะอะไรกันนักหนา"
คนขับนึบขึ้นมาได้ว่าโออันเจ้านายนั้น รวยมาตั้งแต่เกิด จนมาทำธุรกิจ
ก็ประสบความสำเร็จอีก ชาตินี้คงไม่เคยหิวเป็นแน่ แล้วจะทำอย่างไรดี
นึกไปนึกมา จึงคิดออกแล้วบอกเจ้านายไปว่า "ท่านครับ ไอ้ความหิวเนี่ย
มันก็เหมือนกับเวลาท่านปวดฟันนั่นแหละครับ" เท่านั้นเอง เจ้านายรีบบอกว่า
"จอดๆ ร้านข้างหน้านี่เลย หาอะไรกินเสียก่อน แล้วก็ไม่บอก"
เห็นไหมคะ เมื่อไม่เคยก็ไม่รู้ ยิ่งไม่พยายามจะเข้าใจ ยิ่งหลงทางไปกันใหญ่
อุ๊ยเล่าเพลินลืมบอกหนทางเป็นเศรษฐีไปเสียได้ แต่เดี๋ยวกลับมาเล่าใหม่นะคะ
เพราะตอนนี้คนเล่าปวดฟัน เอ๊ยไม่ใช่ หิวข้าวต่างหาก เดี๋ยวมาต่อนะคะ
ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้รับเหมือนกันค่ะ แต่เพราะเด็กทำงานเป็นคนใหม่
ยังไม่ได้บอกเลยต้องไปอำนวยการเอง ต้มข้าวต้มก็ยังไม่เสร็จ
ส่วนลูกสาวก็วุ่นทำขนม เลยแว่บมาเล่าต่อ กลัวผู้อ่านจะกระวนกระวาย
อยากเป้นเศรษฐีกันแย่
เรื่องหนทางสร้างเศรษฐีก็มีอยู่สามวิธี เลือกเอากันเองนะคะ ว่าวิธีไหน
จะเหมาะกับจริตตนเองมากที่สุด เพื่อเราทุกคนจะได้กลายเป็นเศรษฐี
และพูดได้เต็มปากว่า "เราพอแล้ว" อ้อ อันนั้นเขาให้แต่อภิมหาเศรษฐีพูด
เรื่องแรกนะคะ มีอยู่ว่า กระทาชายนายหนึ่ง กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
อย่างน่าอัศจรรย์ นักข่าวจึงไปทำการสัมภาษณ์ ถึงกลเม็ดเคล็ดลับที่กลาย
เป็นเศรษฐี เพื่อว่าคนอื่นจะได้ทำตามบ้าง
เมื่อเดินทางไปถึงคฤหาสน์อันใหญ่โต หลังจากนัดแนะว่าจะมาทำสกู๊ปข่าว
ท่านเศรษฐีใหม่ก็ดีใจหาย ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
พร้อมกันนั้นก็เริ่มเล่าชีวประวัติของตนก่อนที่จะกลายมาเป็นเศรษฐี
โดยเขาเริ่มเล่าว่า สมัยเด็กๆ เขาใช้เวลาว่างหลังจากเรียนด้วยการ
ไปเดินตามไซต์งานก่อสร้าง และก้มหน้าก้มตาเก็บตะปูที่ร่วงหล่น
รวบรวมได้ก็เอาไปขาย เก็บเงินเก็บทองได้
แม้เมื่อโตแล้ว ว่างเมื่อใดเขาเป็นต้องไปเดินตามไซต์งานเสมอ
มองหา สิ่งที่ช่างมักละเลยทำตกหล่นไว้ แต่ก็มักจะกลายเป็นเงิน
สำหรับเขาได้เสมอ
น่าตื่นเต้นนักข่าวเริ่มคิดในใจว่าต้องใช้เวลาเท่าใดหนอจึงจะพอทำ
ให้ตนเองแปลงสภาพจากนักข่าวต๊อกต๋อยกลายเป็นเศรษฐีได้
หากเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ จะทันชาตินี้ไหมหนอ ปากก็เอ่ยถามไปด้วย
ความตื่นเต้นว่า "แล้วท่านใช้เวลานานเท่าใดคะ ที่เฝ้าเก็บของตามไซต์งาน"
ท่านเศรษฐีมองหน้าคนถามอย่างครุ่นคิด พร้อมเอ่ยปากด้วยเสียงนุ่มลึก
ว่า" ไมนานเท่าไหร่หรอกครับ เพราะคุณพ่อผมท่านเกิดเสียชีวิตกระทันหัน
สมบัติทั้งหมดของท่านจึงตกมาเป็นของผม ผมเลยกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที"
แป่ว!!!!!!!
เรื่องที่สอง ก็ยังเป็นนักข่าวสาวคนเดิมแหละค่ะ หลังจากผิดหวัง
จากหนทางสร้างเศรษฐีของรายแรก เธอทราบว่ามีเศรษฐีชรา
อีกรายรวยมาก แต่ใช้ชีวิตซอมซ่อ แต่ใครๆก็ลือว่าแกมีเงินมากมาย
อย่ากระนั้นเลย เดินทางไปสืบความจริงดีกว่า
เมื่อไปถึงบ้านท่านเศรษฐี พบว่าบ้านก็ไม่ใหญ่โตนัก ติดจะดูเก่าๆด้วยซ้ำไป
เฟอร์นิเจอร์หรือก็ดูไม่ค่อยหรูหรา เมื่อไปถึงและได้รับเชิญให้นั่งคุยกัน
เธอจึงเริ่มถามคำถามว่า"ท่านทำอย่างไรจึงได้มีเงินเก็บมากมายคะ?"
เศรษฐีชรามองหน้านักข่าวสาวแล้วพูดขึ้นมาว่า"เรื่องมันยาวนะหนู"
นักข่าวทำเสียงกระตือรือร้นว่า"ไม่เป็นไรค่ะท่าน คืนนี้หนูว่าง ฟังท่าน
เล่าชีวิตของท่านได้ทั้งคืน" เศรษฐีชราจึงว่า" งั้นเราคงต้องปิดไฟก่อน
ล่ะหนู บอกแล้วว่าเรื่องมันยาว เปลืองไฟนะ"
โอนักข่าวนึกในใจว่า ไม่ต้องฟังแล้วละมั้ง ขี้เหนียวขนาดนี้ ก็รู้แล้ว่า
ทำไมมีเงินเก็บแยะ
เรื่องสุดท้ายนะคะ เมื่อนักข่าวผิดหวังกันเส้นทางสร้างเศรษฐีของสองรายแรก
ก็ตั้งใจว่า เธอจะไปสัมภาษณ์คนอีกคนเดียว ถ้าไม่ได้เรื่องอีก
เธอจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำสกู๊ปข่าวเรื่องนี้ทันที
รายสุดท้ายที่เธอเดินทางมาสัมภาษณ์ อยู่บ้านในย่านคนรวย
บ้านช่องดูช่างสมกับความเป็นเศรษฐีของเขาเป็นยิ่งนัก
เมื่อเดินทางไปถึงพบว่าชายหนุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าดูดีมาก
ผิวพรรณหน้าตาก็บอกลักษณะความเป็นเศรษฐีแท้ๆ เมื่อมีโอกาส
ได้คุยกันเธอไม่รอช้าที่จะยิงคำถามตรงเลยว่า"ท่านทำอย่างไรถึง
กลายเป็นเศรษฐีคะ?"
ชายหนุ่มจ้องหน้านักข่าวแล้วถอนใจ ตอบเสียงเบาหวิวว่า"เมื่อก่อน
ผมเป็นมหาเศรษฐีนะครับ หลังจากไอ้เมียเลวมันฟ้องหย่าผม แบ่งสมบัติ
ผมไปครึ่งหนึ่ง ผมก็เลยกลายมาเป็นแค่เศรษฐีนี่ไงครับ" แป่วอีกแล้ว!
เฮ้อ
เป็นไงคะ หนทางสร้างเศรษฐีสามเรื่องพอจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ
กันบ้างไหมคะ แต่อย่าถามถึงหนทางการเป็นอภิมหาเศรษฐีนะคะ
เขาว่าเรื่องนั้นต้องไปถามหาความจริงกันที่ตอแหลแลนด์ ดินแดนที่
ไม่ต้องทำอะไรก็ เป็นอภิมหาเศรษฐีได้
ผม มีนิยามของเศรษฐีเฉพาะตัวเองว่า เศรษฐีคือคนที่มีเหลือแล้วเอาไปแจกจ่ายคนอื่น ส่วนคนที่มีเงินมากแต่ไม่ให้คนอื่นแถมบางทียังเที่ยวหากินกับคนจนๆอีก พวกนี้ผมไม่นับเป็นเศรษฐีครับ
อ่านคำตอบของคุณพ่อลูกสี่แล้วนึกได้อีกเรื่องหนึ่งคะ
อันนี้เป็นนิทานที่พระเล่าให้ฟังนะคะ จำไม่ได้แล้วว่าพระ
องค์ไหนเล่า เพราะเป็นนับถือคำสั่งสอน ไม่ได้ยึดติดตัวบุคคล
เรื่องมีอยู่ว่าในประเทศอินเดียนะคะ มีขอทานคนหนึ่ง
ได้ไปขอเข้าพบท่านเศรษฐี เพื่อหวังจะขอแบ่งทานสักเล็กน้อยเพื่อ
ไปประทังชีวิต เศรษฐีใจดีก็ไม่ว่าให้รออยู่ก่อน บอกกำลังสวดมนตร์อยู่
เมื่อสวดเสร็จแล้วจะออกมาบริจาคทานให้ ขอทานจึง เฝ้าคอยอยู่หน้าห้อง
ที่ท่านเศรษฐีสวดมนตร์ ซึ่งก็กินเวลานานมากๆ และเศรษฐีก็สวดดังมากๆ
จนได้ยินออกมานอกห้อง คำที่ขอทานได้ยินคือ คำสวดภาวนาที่ท่าน
เศรษฐีขอนั่น ขอนี่มากมายไม่รู้จบ เขารอนานจนเบื่อ เมื่อท่านเศรษฐี
เสร็จภาระกิจการสวดอ้อนวอนพระ ออกมาเตรียมหยิบเงินทำทาน
ขอทานจึงเอ่ยว่า "คงไม่ขอรับเงินจากท่านหรอกขอรับ เพราะเท่าที่ฟังดู
ท่านขาดแคลนมากกว่าเราอีก เราแค่อยากมีอาหารกินพอประทังชีวิต
เท่านั้นเอง แต่ได้ยินท่านสวดขอมากมาย เราเชื่อว่าท่านต้องขาดแคลน
มากกว่าเราแน่นอน" ว่าแล้วชายขอทานก็เดินจากไป
เป็นไงคะ เรื่องนี้ก็สนุกนะคะ เป็นอย่างที่คุณพ่อลูกสี่ว่า คนรวยคือคนที่รู้
จักพอ คนที่ไม่พอ ไม่รู้จักแบ่งปัน อยู่ด้วยความโหยหิว ทั้งเงินทองและ
ความรัก หาความสุขไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น