วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไปอินเดียกับอภิสิทธิ์

ID # 841109 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-29 10:09:17 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


อ๊ะๆไม่ใช่อ้ายเด็กเวรอย่าเข้าใจผิด แต่หมายถึงอภิสิทธ์ชน
วันไป ท่านนายพลตำรวจส่งลูกน้องไปอำนวยความสะดวก
เช็คอินกระเป๋าและตั๋วอย่างสบายบื๋อ

ขากลับท่านฑูตทหารเรือประจำอินเดียมาส่ง การบินไทย
อำนวยความสะดวกเรื่องกระเป๋า ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำหนัก
ซื้อโต๊ะหินอ่อนมากันเพียบ

ได้มีโอกาสใช้อภิสิทธิ์เหนือชาวบ้านเล็กๆน้อยๆ ชักติดใจ
มิน่าคนที่มีอำนาจมันถึงได้ติดหลงอยู่กับอำนาจ แม้จะรู้ว่า
ได้มาไม่ถูกก็ไม่อยากเสียไป การมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
ก็ทำให้ลุ่มหลงกับความสะดวกสบาย

จริงๆอายเหมือนกันนะคะ ที่โหลดกระเป๋าและทำตั๋วแบบ
กรณีพิเศษ ไม่ต้องไปยืนหน้าแห้งรอคิว ไปก็ช้ากว่าชาวบ้าน
แต่ไม่ต้องห่วง ปุ๊บปั๊บได้เข้าไปก่อนเสียอีก เฮ้อ!

ที่สำคัญใช้อภิสิทธิ์แล้ว ยังมีคุณทักษิณมาช่วยเข็นกระเป๋า
ให้อีกด้วย แหะๆ ก็คนที่กลับมาด้วยเป็นนายพลทหารเรือท่าน
ชื่อทักษิณด้วยนี่คะ

อินเดียร้อนมาก คนอยู่ต่างกันอย่างกับคนละโลก ทั้งๆที่ยืนอยู่บน
พื้นดินเดียวกัน ไอ้ที่รวยก็รวยระยับ ไอ้ที่จนก็ยังแบมือขอทาน
อยู่เลย รถติดไฟแดง จะมีเด็กอินเดียมาแสดงกายกรรมเล็กๆ
ข้างรถเพื่อขอเงิน เห็นแล้วก็อนาถ

ข้อน่าสังเกต ที่อินเดียมีแมคโดนัล แต่มีให้เลือกแค่ปลากับไก่
เพราะคนฮินดูไม่รับประทานเนื้อ คนมุสลิม ไม่รับประทานหมู
ไก่และปลาจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด มีไอศครีมชอคโคแลตซันเดย์
ถ้วยเล็กด้วย น่ารักจริงๆ เล็กกว่าบ้านเราครึ่งหนึ่ง แต่ก็กำลังดี
สำหรับคนที่อยากทานพอแก้อยาก ไม่ต้องรับถ้วยใหญ่ให้เหลือจน
รู้สึกผิด

อาหารอินเดีย ประเคนเครื่องเทศลงไปทุกอย่าง จนเหม็นไปหมด
ติดมาจนผลไม้ ในโรงแรมแท้ๆ ตักมะละกอมา พอเข้าปาก ต้องรีบคาย
เหม็นไปหมด นี่ขนาดคนที่รับอาหารอินเดียได้ยังทนไม่ได้ แล้วคนที่ทนกลิ่น
ไม่ไหว เห็นท่าจะตายแน่

สรุปว่าทริปนี้ ได้ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน เอาเปรียบชาวบ้านเขาเล็กๆน้อยๆ
อ้อ ไกด์อินเดีย จบดอกเตอร์ (PHD) เชียวนะคะ แต่ก็ยังมาทำหน้าที่ไกด์

ถนนตามเส้นทางสามเหลี่ยมทองคำ(ตามเส้นทางเที่ยว ที่ขึ้นชื่อ) คือลงเครื่อง
ที่เดลลี นั่งรถไปอักกร้า ลงมาชัยปุระ แล้วกลับมาเดลลี นั่งรถนานมากๆ
ทางไม่ไกล แค่สองร้อยกว่าโลในแต่ละเที่ยว แต่นั่งทั้งวันแปลกจริงๆ
ถนนก็ไม่เลวร้าย แต่รถโดดไปตลอดทาง ไม่น่าเชื่อ นัยว่าแหนบไม่ดี

ตามทางต่างจังหวัดทั้งคน รถ และสัตว์ (มีตั้งแต่ช้าง ม้า วัว ควายแถมอูฐ)
ร่วมเส้นทางกันขวักไขว่ ทริปนี้ ดีกว่าเส้นทางไปสังเวชนียสถาน โรงแรมดีกว่ามาก
ราคาก็ไม่แพง ยังคิดเลยว่า อย่างนี้ไทยจะสู้เขาได้อย่างไร เพราะโรงแรมหรู
ราคาต่อคืนพร้อมอาหาร(บางแห่งสามมื้อ บางแห่งเฉพาะมื้อเช้า) ไม่เกินสี่พันบาท
ถ้าต้องจ่ายในเมืองไทยคงตกเป็นเงินหมื่น โรงแรมดีมากๆ ใช้ชื่อว่าพาเลซทั้งสิ้น
เลยได้ใช้ชีวิตเป็นเจ้าสบายใจ บางแห่งเป็นวังเก่าจริงๆมีรูปต้นตระกูลประดับอยู่แทบทุกห้อง
ก่อนนอนสวดกันยาว ขอเจ้าของรูปว่าอยู่แต่ในรูปน่ะดีแล้ว ไม่ต้องออกมาต้อนรับหรอก
เดี๋ยวหัวโกร๋นหมด แฮ่ม

ตามสถานที่ท่องเที่ยวมีคนรับจ้างถ่ายรูปเดินตามตลอด สั่งให้เรายืนท่าโน้นท่านี้
เหมือนเป็นสไตลิสต์ในตัว จบทริป เขาอัดมาให้เสร็จ ขนาด5*7 ชัดเจนสวยงาม
ราคาใบละ50รูปีก็สามสิบกว่าบาทเท่านั้น ดีกว่าถ่ายเองด้วยกล้องดิจิต้อล ซึ่งจาก
ประสบการณ์ ถ่ายมาบางทีเป็นชาติยังไม่เคยเอาไปอัด อย่างดีก็ถ่ายเทลงเก็บไว้ในคอมฯ
แต่นี่เห็นทันที จับต้องได้ หากไม่สวยไม่พอใจ ไม่เอาก็ได้ แต่ป้าเอาหมด(เอ เป็นเพราะสวยทุกรูป หรือเปล่าหนอ)
แต่คงไม่ใช่กลัวเขาเอาไปติดประจานว่าดูสิ ไอ้พวกนี้ถ่ายแล้วไม่เอา
โดยเฉพาะถ้ารูปไม่สวยที่เราไม่เอาคงไม่อยากให้ใครเห็น แต่ถ้าไม่เอาจริงๆ
บางเจ้าก็จะลดราคาให้ บางเจ้าก็เอามาทิ้งไว้ตามโรงแรม ให้เก็บกลับไปฟรี
แต่ป้าว่ามันเอาเปรียบเขาราคาขนาดนี้ก็เอาหมดทุกที ตกแห่งละ20รูป
มากกว่าใครเขาเพื่อน

ที่ทัชมาฮาลมีเจ้าหน้าที่ดูแล เดินไปมา กล้องก็ไม่มี แต่จะเข้ามาช่วยหาที่ถ่ายให้
แนะนำจุดสวยๆ บางครั้งก็เอากล้องของเรานี่แหละถ่ายให้ เดินตามไปเรื่อย
เสร็จสรรพเราก็ต้องจ่ายให้เขาอยู่ดี แต่เพราะเขาเป็นเจ้าถิ่น รู้มุมเก๋ๆ เลือกได้ดีกว่าเรา
มีม้านั่งอยู่ตัว เรียกว่า Diana Bench นัยว่าเป็นม้านั่งที่ไดอาน่ามาประทับฉายพระรูป
ใครไปใครมาต้องมานั่งถ่ายซ้ำรอยเดิม ต่อคิวกันยาวเหยียด (บ้าเจ้าเหมือนกันทั้งโลก)



ไดอาน่าเบนช์ที่ว่า เอหรือไม่ใช่ น่าจะเป็นอีกตัวมากกว่า แต่ตัวนี้คิวสั้นกว่า



ท่าตลกๆนี้ฮิตมาก จับจุกกันสนุก รูปนี้ดูอ้วนกว่าตัวจริงมากๆคงเป็นเพราะชุด
แต่ก็แดงดีนะคะ (เขาว่าถ้าใส่แดงแล้วถ่ายคู่กับทัชมาฮาลจะดูสวยสด เพราะ
ทัชมาฮาลสีขาวกระมัง)

ขออภัยรูปใหญ่ไปนิด แสกนกรรมเอ๊ยไม่ใช่แสกนมาจากรูปที่ช่างภาพ
อินตระเดียถ่ายให้ ไม่ได้ย่อล่ะค่ะ โชว์เลย เพราะป้ายังงงๆ ง่วงๆอยู่เลย


โรงแรมไม่เห็นอ้ะค่ะคุณJessica ไม่ทราบว่าเป้นอันเดียวกับWater Palace
หรือเปล่า ถ้าเป็นอันนั้นยังมีน้ำอยู่นะคะ

บ้านเมืองอินเดียแถบที่อังกฤษเข้ายึดครองมีตึกรามบ้านช่องสวยงาม
แต่ถูกทิ้งไว้รกร้าง น่าเสียดาย มีลูกกรงที่เป็นทั้งเหล็กและปูนสวยงามมากๆ

แต่ตามสี่แยกมีเด็กนั่งอึอยู่กลางสี่แยกเลย ส่วนผู้ใหญ่หนุ่มๆก็ยืนฉี่
เข้ากำแพงตามท้องถนแบบไม่อายฟ้าดิน บ้านเมืองเลยเหม็นสุดๆ

ฝุ่นเยอะมาก ว่าเมืองไทยเยอะแล้วยังสู้ไม่ได้ ญี่ปุ่นไม่มีฝุ่นเลย

มีเรื่องเล่าต่อว่าไปซื้อพลอยที่เมืองชัยปุระ ทำด้วยอเมทิสเป็นดอกๆ
ทำเป็นกำไล ยาวไปนิด เลยสั่งตัดออกสองดอกเอาไปทำต่างหู
เขาว่าไม่เสร็จหรอก เราบอกว่าไม่ได้เราจะกลับไปเดลลีแล้ว เขาว่า
มัดจำไว้บางส่วน พรุ่งนี้จะนำส่งให้ถึงโรงแรมพร้อมเงินที่เหลือ ก็ยัง
งงๆไม่เชื่อใจเท่าไหร่ แต่ไกด์รับรองแข็งขัน เลยมัดจำไว้เป็นเงินไทย
สักสามพันบาท เดินทางมาเดลลีใช้เวลาไปค่อนวันอย่างที่เล่าระยะทาง
แค่250กิโล ออกบ่ายสองโมงมาถึงเอาสองทุ่ม นึกในใจว่าใคร้มันจะเอา
มาส่ง เพราะขาดเงินอีกประมาณสี่พันกว่าบาท ปลงว่าถ้าไม่มาก็เสียแค่
สามพันกว่าบาท ที่ไหนได้วันรุ่งขึ้น เขามาส่งถึงสถานฑูตตามเวลานัด
ทำมาให้เรียบร้อยตามต้องการ ไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาอย่างไร แต่ทำให้รู้ว่า
คนอินเดียหากรับปากแล้วไม่เคยผิดสัญญา (ไม่เหมือนจีนฮ่องกง ที่จ้อง
แต่จะโกง)

ซื้อของที่อินเดียก็เหมือนกับซื้อของที่เมืองจีน เพราะต่อได้สะบัด
ห้ำหั่นราคากันสุดฤทธิ์ สนุกมากๆ หากไปร้านไหน เขาบอกเป็นฟิกซ์ไพรซ์
ต่อรองไม่ได้ก็ไม่ซื้อเพราะไม่สนุกเอาเสียเลย ของไม่ได้อยากได้
แต่ชอบต่อรองราคา มันสนุกดี เพชรเมืองอินเดีย เขาว่าฝีมือเจียรนัยสู้ไทย
ไม่ได้ แต่ราคาถูกมาก มีพ่อค้านำมาเสนอขายถึงสถานฑูต เขาว่าเพิ่งกลับ
มาจากเมืองไทย นำมาออกงานjewelry ที่เมืองทอง ขายดีมาก เหลือกลับมาไม่มาก ร้านผ้าก็ขนมาให้ดูด้วย เลือกผ้าพันคอกันสนุก

อินเดียหากเลือกได้ไม่เคยคิดกลับไปอีก คราวก่อนไปสังเวชนียสถาน
ก็ว่าเข็ดแล้ว แต่คราวนี้เพื่อนที่เป็นญาติกับท่านฑูตว่าท่านครบวาระจะ
กลับเมืองไทยตุลานี้แล้ว น่าจะมาเที่ยวกัน เขามาแล้วเมื่อต้นเดือน
คราวนี้ชวนเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่ามากันนับได้ 13คน สนุกดี แต่คง
ไม่กลับไปอีก

ที่ประทับใจที่สุดก็คงเป็นทัชมาฮาล ที่พอเดินเข้าไปเห็น ภาษาพระ
เขาเรียกว่าเกิดปีติ วูบวาบไปหมด เห็นความสวยงามอลังการบวกกับ
ตำนานการสร้าง สมกับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ส่วนนครวัดนครธมก็ไปดูมาแล้วค่ะ ตระการตาไปคนละแบบ
แต่อันนี้ยังดูใหม่ สวยกว่าซากเก่าๆที่นครวัดนครธม

อ้ออีกที่หนึ่งที่เกิดวูบวาบคือศาสนสถานของฮินดู มีเทพหลายองค์
เดินเข้าซื้อดอกไม้เดินเข้าไปนมัสการ เขาไม่ให้ถ่ายรูป มีเจ้าแม่กาลี
หนุมานเป็นอาทิ แต่ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคงเป็นพระพิฆเนศวร์ที่ภรรยา
ท่านฑูตว่าขออะไรก็ได้ ไม่ต้องบน ให้ไปไหว้แล้วเอ่ยชื่อเสียงเรียงนาม
แล้วตั้งใจขอ ตรงหน้าพระพิฆเนศวร์ นี่ก็เป็นอีกที่ที่รู้สึกวูบวาบคงมี
ความ ศักดิ์สิทธิ์สูง เลยตั้งใจขออย่างที่ใครๆก็ต้องรู้ว่าป้าปากเกร็ดจะขออะไร หวังไว้ว่าถ้าศักดิ์สิทธ์จริงคงต้องกลับไปนมัสการขอบคุณอีกรอบ
แฮ่ม

ไม่มีความคิดเห็น: