วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไร..ถึงจะสาสมกับความชั่วช้าสาระเลว

ID # 847149 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-22 21:10:06 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น มันไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลยสักนิด
พูดผิดไปมันไม่มีความเป็นคนเลยด้วยซ้ำ

จะใครเีสียอีกล่ะคะ หมาประจำตัวนายกฯ อุ๊ยผิด โฆษกต่างหาก
มันหมายความว่าอะไรที่มันเห่า ก็คงเป็นความคิดของนายมันใช่ไหม
สาระเลวเหลือเกิน

สำนักพิมพ์วัฏฏะเปิดตัวหนังสือของคุณทักษิณ แล้วดูมันสิคะ


เห็นแล้วพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หาความเป็นคนไม่ได้เอาเสียเลย
แล้วนี่มันหมายความว่าคนในปชป. เห็นด้วยกับความคิดนี้หรือคะ
เพราะเห็นมันเห่าออกมาแต่ละที ไม่เห็นมีใครออกมาตำหนิ หรือ
เบรกห้ามปรามให้มันหยุดถ่อยบ้างเลย

แค่นั้นยังไม่พอ ยังพูดเรื่องนายทหารตบเท้าเข้าพรรคเพื่อไทย
อีกว่า จะกลายเป็นสุสานนายพล

มันน่าเศร้านะคะ สู้ด้วยความดีความสามารถไม่ได้ ดันออกลูกถ่อย
เมื่อไม่มีใครออกมาห้ามปรามมันก็เหิมเกริมขึ้นทุกที มันเลวทั้งพรรคจริงๆ

โธ่บุญยอด ตาถั่วหูบอดแท้ๆ

ID # 846710 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-21 11:55:51 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


อายเขาไหมเนี่ย ออกมาเต้าข่าวคุณทักษิณเป็นมะเร็งร้ายแรง
อาการร่อแร่ เหยงๆ หาว่าคุณทักษิณ เอาหมอจากไทยไประดมรักษา

ที่ไหนได้กลับกลายเป็นคนนี้ต่างหาก "วินัย เสนเนียม"เสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้
ใจสู้รักษานาน 3 ปี

ทีหลังเวลาแอบไปได้ยินใครเขาซุบซิบอะไรกันในพรรคล่ะก็
หัดฟังให้ดีๆ ถามเขาให้แน่ๆก่อนน้า ไม่งั้นหน้าแตกอย่างนี้แหละ
อายเขาไหมเนี่ย อ้อลืมไปพรรคนี้เขาอายไม่เป็นกันทั้งพรรค

ทรยศชาติ

ID # 846669 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-21 09:39:28 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ข่าวนายทหารแห่เข้าสมัครพรรคเพื่อไทยกันคึกคัก
แต่ไม่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลัก(ปักขี้เลน)
ไทยรัฐ เดลินิวส์ ไม่เสนอข่าว มีแต่มติชน,ไทยโพสท์
และบ้านเมืองเท่านั้นที่นำเสนอเป็นข่าวหน้าหนึ่ง

ถึงจะไม่หาอ่านข่าวได้ในหนังสือพิมพ์ทั่วไป แต่คนส่วนใหญ่
ก็ได้รับรู้ข่าวนี้แล้วทางสื่ออื่นๆ เหตุที่ไม่นำเสนอคงมีอยู่ข้อเดียว
คือคงมีการขอร้องหรือบังคับไม่ให้เสนอข่าวนี้ ทำไมหรือคะ
ก็แหมมันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ

ก็ไอ้แก่มันออกมาประกาศแล้วว่าวันที่พลเอกชวลิตจะเดินทาง
ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้โทร.มาเตือนว่าให้คิดให้ดี
เพราะอาจเป็นการทรยศชาติ พลเอกชวลิตก็นี่กระไร ฟังแล้ว
แทนที่จะเชื่อ กลับเดินหน้าเข้าพรรคเพื่อไทยอีก

แค่นั้นไม่พอ นายทหารที่เคยเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับ
พ.ต.ท. ทักษิณอีกตั้งเยอะแยะก็ตบเท้าเข้าเป็นสมาชิกพรรคกัน
ครึกครื้น การณ์นี้ ดูเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากคนเหล่านี้
ต้องการจะทรยศชาติเปรม โดยไม่เกรงกลัวข้อกล่าวหา


หากการเข้าพรรคเพื่อไทย เป็นการตบหน้าเปรม เป็นการบอก
ให้รู้ว่าไม่มีใครเขาเอาด้วยกับเปรมอีกแล้ว เขาไม่ฟังคำทัดทาน
ขู่เข็ญของไอ้คนที่แก่เฒ่าเพราะอยู่นานเสียแล้ว หากเป็นแค่นั้นจริง
ก็ไม่ค่อยน่าวิตกนัก เพราะคนที่เสียก็คงมีแต่ไอ้เฒ่าคนเดียว

แต่หากการตบเท้าเข้าพรรคเพื่อไทยเป็นการทรยศชาติจริงดังที่มันพูด น่ากลัวนะคะ
มันแสดงให้เห็นว่า ชาตินี้ต้องมีปัญหาเสียแล้ว ทำไมคนเหล่านี้ ถึงไม่ต้องการให้
ชาติที่เปรมหมายถึงคงอยู่อีกต่อไป พาลไปคิดถึงการสร้างชาติใหม่ที่ไม่มีเปรม

โฮ...เรื่องใหญ่นะนั่น เห่าเสร็จแล้วเตรียมแก้วิกฤตนี้ไว้บ้างหรือยัง เจ้าเฒ่า!

เมื่อที่ปรึกษาไม่เป็นกลาง

ID # 846107 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-19 08:23:26 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เรื่องของเรื่องคือ ตามหลักแล้ว ทั้งหลักสากลและกฎหมาย
คณะองคมนตรีต้องเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทำไมต้องเป็น
อย่างนั้น

ก็ในเมื่อในหลวงท่านทรงอยู่เหนือการเมือง คนที่ถวายคำปรึกษา
จึงจำเป็นต้องไม่ฝักใฝ่ หรือเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ใช่หรือ

หากเราเอาคนที่มีอคติมานั่งเป็นที่ปรึกษา ความคิด ทัศนคติ
ที่ถวายไปก็ย่อมไม่เป็นกลาง แล้วอย่างนี้จะให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย
แบบไร้อคติได้อย่างไร

เปรมก็เหมือนนังคนใช้ในละครน้ำเน่าที่กรอกหู กรอกตากันอยู่
ทุกเมื่อเชื่อวัน ที่วันๆ ไม่ทำอะไร คาบเอาเรื่องโน้น เรื่องนี้ไป
กรอกหูเจ้านาย ยิ่งถ้าเป็นคนที่นังคนใช้มันไม่ชอบ มันก็จะต้อง
แต่งเติม ใส่สี ตีไข่ หนักเข้าไปอีก

ถ้าเจ้านายเป็นคนหูเบา หรืออาจไม่ชอบไอ้คนที่ถูกนินทาอยู่บ้างแล้ว
ก็จะไปกันใหญ่ แต่หากเป็นพระเอก นางเอกตัวจริง ก็จะฟังหูไว้หู
ฟังแล้วเอาเมตตา กรุณาเข้าไปจับ ในที่สุดก็จะเข้าใจ และวางตัว
เป็นอุเบกขาไปในที่สุด แต่หากเผอิญ เจ้านายก็ดันเป็นผู้ร้ายเองเสียด้วย
ทีนี้ล่ะก็เหมือนขนมผสมน้ำยา เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ผลคือเละไปทั้งคู่

เคยดูละครแล้วเกลียดพวกนังขี้ข้าเหล่านี้ไหมคะ ดูแล้วก็อยากจะตบสั่งสอน
มันเสียนัก ยิ่งถ้าเจ้านายเลวพอๆกัน ทีนี้ละก็ไปใช้ให้นังคนใช้ไปทำแทนตัวเสียอีก
ไปสืบข่าว ไปใส่ไคล้ โอ๊ยในละครน่ะมันทำกันสารพัดแหละค่ะ

ไม่นึกว่าในชีวิตจริงก็จะเป็นเหมือนในละคร คือดั๊นมีนังคนใช้ตัวร้าย
ออกมาทำต่างๆนาๆ ใส่ความฝ่ายตรงข้าม(ฝ่ายที่ตัวไม่ชอบ)
แล้วอย่างนี้ควรเลี้ยงไว้เป็นคนรับใช้หรือคะ เพราะเผอิญ เจ้านายท่าน
ไม่ได้จ่ายเงินเดือนนังตัวร้ายซะด้วยสิคะ แต่เราๆท่านๆนี่แหละเป็นคนจ่าย
ผ่านทางภาษีอากร แล้วมันหักหลังเจ้าของเงิน น่าเลี้ยงไว้หรือคะ

การที่ออกมาบอกว่าไม่มีสิทธิ์ยุงเกี่ยวทางการเมือง แต่เปิดเผยแจ่มชัด
ต่อสาธารณะว่าเลือกข้างชัดเจน ฝักใฝ่อยู่ในฝ่ายใด เลี้ยงเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ
สำนวนเขาว่า

จะโกรธกันไหมคะ ถ้าจะเอาคลิ้บนี้มาให้ดู

ID # 845861 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-18 08:25:23 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


นี่หรือคนดี

ขอขอบคุณคุณpalrakonlineที่ไปลงไว้ในยูทู้ป
เลยทำให้เห็นสัจธรรมบางอย่าง คนที่เป็นองคมนตรี
คนที่เกษียณราชการไปนานนม จนเด็กรุ่นหลัง
คงไม่รู้ว่าแกเคยเป็นทหาร ที่สำคัญเคยครอง
เมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ถึง 8 ปี ทั้งๆ
ที่ไม่เคยลงเลือกตั้งเลย

นายกฯที่ไม่เคยมีผลงานอะไรให้จดจำ นอกจาก
การออกมาตีหน้าเศร้าบอกประชาชนว่า "พี่น้องครับ
ขณะนี้บ้านเมืองของเรา อยู่ในภาวะลำบาก ผมขอ
ให้พวกเราช่วยกัน ด้วยการใช้ชีวิตอย่างประหยัด"
สงสัยไอ้นี่แหละต้นตำรับการค้ากับความจน ทำให้
ชาวบ้านรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง และคิดไปว่า เราคง
ต้องทนลำบากอย่างนี้ไปอีกนาน(ก็มารดาท่าน รู้จัก
การแก้ปัญหาเสียที่ไหน มาในกรอบเดียวกับนังจวนดีเลย
ชอบพูดความจริงให้ประชาชนรู้ เหมือนที่มันเคยบอกประชาชนว่า
หนี้ไอเอ็มเอฟน่ะ คิดว่าชาตินี้คงใช้เขาไม่หมด "ผมไม่คิดว่าจะ
สามารถใช้หมด ในรุ่นของผม" โธ่ถังกาละมังแตก คุณทักษิณ
เข้ามาก็ประกาศเลยว่าจะต้องใช้หนี้ให้หมดก่อนกำหนด
แล้วเป็นไงคะ ทำได้ใช่ไหม หนอยแน่ออกมาเห่ากันต่อ
ว่าจะไปใช้ทำไม ยังไม่ถึงเวลา อ้าวเฮ้ย ก็เป็นคนอย่างพวกแกไง
ที่ไม่รู้จักคำว่า Trust ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ขาดสองสิ่งนี้
ใครเขาจะไปเชื่อถือ ติดต่อทำการค้าด้วย

กลับมาเรื่องไอ้ผีดิบ อยู่ยงคงกระพัน ตายก็ไม่ตาย อยู่หลอกหลอน
ชาวบ้านมาช้านาน นอกจากตีหน้าเศร้าเล่าว่าตัวเองไม่มีปัญญาแก้ปัญหา
ขอใช้ประชาชนช่วยด้วยการประหยัดแทน มันก็ไม่เคยทำอะไรสักอย่าง
พูดก็น้อย จนนักข่าวตั้งสมญาว่า"เตมีย์ใบ้" ก็มันเล่นไม่พูดอะไรเลย
เป็นนายกฯ ชาวบ้านเขาก็ต้องอยากรู้ว่า เรื่องราวบ้านเมืองเป็นไง
จะแก้อย่างไร กลับไม่พูด ทำทีเป็นคนพูดน้อย (จริงๆคงไม่รู้จะตอบ
ว่าอย่างไรมากกว่า) จำได้ติดใจ พอถูกถามมากๆ มันจะมีประโยคทอง
ใช้ตอบปัญหาคือ



ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่ตัวเองไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง
ใครจะเปิดอภิปรายไม่ได้ พอเขาทำท่าฮึ่มๆจะเปิด มันเป็นยุบสภาหนี
ไม่ชอบให้ใครตำหนิ ชอบให้คนยกย่องสรรเสริญแต่เพียงอย่างเดียว
จนมาเกิดประโยคทอง ที่เมื่อครบวาระ 8ปี มันพูดว่า



โห ตอนนั้นตื่นเต้นกันมาก นึกว่าเป็นคนดี รู้จักพอ หารู้กันไม่ว่า
ไม่มีพรรคไหนเขาสนับสนุนแล้ว เขาเบื่อที่จะเอามันมาเป็นหัวโขน
เลยรีบตีบทพระเอกทำเสียงนุ่ม พูดประโยคดังกล่าว

ระหว่างทางการเป็นนายกฯ มันก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรอย่างที่บอก
นอกจากให้นักมวยเข้าพบ เอามือลูบหลังลูบไหล่ แล้วพูดประโยค
ทอง ออกมาว่า



แค่นั้นเองจริงๆผลงานของมันที่จำได้ แต่พอพ้นตำแหน่ง แหมพูดเก่ง
จ้อไปเรื่อย จนมาวันก่อนที่หลุดประโยคทอง(สีขี้) ออกมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ เกิดผลสะเทือนไปทั้งประเทศ เพราะปากหมาดีเหลือเกิน
เที่ยวได้กล่าวโทษพลเอกชวลิตว่าจะ

หากมาเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย

โอ้แม่เจ้า หมาเวลาถูกไล่ไปจนตรอกนี่มันไม่น่าดูเลยนิ
หันมากัดไปทั่วเพียงเพื่อจะเอาชีวิตรอด จนเกิดภาพ
อย่างในคลิ้ปที่เอามาให้ดูไงคะ ใครจะเห็นอย่างไรไม่ทราบ
แต่ป้าเห็นแล้ว บอกตรงๆว่าทุเรศ คนอะไร แก่จนป่านนี้อยู่มาตั้ง
กี่ปีแล้วล่ะ จะเก้าสิบอยู่รอมมะร่อ คุยนักคุยหนาว่าเป็นคนดี
ของประเทศ แต่แค่ไปหาแดก(ว้ายหยาบไปค่ะ) มีสมุนตาม
เป็นพรวน แต่ละคนหน้าตาอย่างกับมือปืน

ภาพที่ออกมา มันบอกหลายอย่างค่ะ บอกให้รู้ว่าประเทศนี้
หาความปลอดภัยไม่ได้เลย ขนาดคนดีศรีประเทศ หัวหลัก
หัวตอของชาติ (เอ๋ สำนวนที่เลือกใช้คงผิดนิดหน่อย) จะไป
ไหนที อย่างกับเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ไม่ก็มาเฟียใหญ่ เพราะพวกนั้น
มันเลว ศัตรูเยอะ เดี๋ยวมีคนลอบทำร้าย ไปทำความเจ็บช้ำ
น้ำใจกับคนเขาไว้เยอะ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าโจทย์เยอะ
เลยกลัวตายเหมือนหมาข้างถนน ต้องมีคนคุ้มกันขนาดนั้น
ไอ้คนคุ้มกันเองก็กลัวตายเองสุดๆ ไม่เชื่อย้อนกลับไปดูสิคะ
หน้าตาล่อกแล่กเป็นที่สุด มันคงกลัวระเบิดมากกว่า เพราะถ้า
ใช้วิธิยิง หากแม่นๆหน่อยก็ตายแค่คนเดียว แหมแต่ถ้าเป็นระเบิด
มันก็จะเสร็จไปด้วยสิคะ

ภาพที่เห็นอยากขอร้องให้เอาออกจากยูทู้ปด้วยซ้ำ เพราะมัน
ทำร้ายประเทศนะคะ เสียชื่อ เสียความเชื่อมั่นหมด หากฝรั่งต่าง
ชาติมาเห็นเข้า แล้วสืบหาว่าเป็นใครก็จบกัน ว่าทำไมอดีตผู้นำไทย
ต้องมีผู้คุ้มกันอย่างกับเจ้าพ่ออย่างนี้

เกิดอะไรขึ้นที่UN

ID # 845482 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-16 15:44:40 _ ปิดข้อความ ex-link











แดงเถือกไปหมด นี่ตกลงยูเอ็นเขาเอากับเราชาวเสื้อแดงแล้วหรือคะ
อิ๊อิ๊ไม่ใช่หรอกค่ะ เขาจัดงาน End Poverty ฺัBy 2010 แต่แหม แจกเสื้อแดง
อย่างนี้ เราก็ต้องเหมาไว้ก่อนล่ะ ทำไมไม่แจกสีอื่นล่ะ

เพื่อนเขาว่านี่ถ้าคุณทักษิณอยู่ คนจนไม่มีแล้วล่ะค่ะ

ข่าวลือ

ID # 845405 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-16 10:36:12 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


แปลว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าคนเอามาพูดต่อๆกัน
บางทีก็ว่าเป็นข่าวโคมลอย คือเหลวไหล ไม่มีมูล แต่พอปล่อยลอย
ขึ้นไปคนก็เห็นกันทั่ว เลยเอาไปพูดต่อๆกันไป

ข่าวลือมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวร้าย
ข่าวไม่ดี เพราะถ้าเป็นข่าวดีมักจะรีบขยาย บอกต่อๆกันไป
แต่ข่าวร้าย มักไม่อยากให้ใครรู้จึงต้องพยายามปิด แต่ยิ่ง
ปิดก้เหมือนยิ่งยุให้คนอยากรู้ เลยคาดเดากันไปต่างๆนาๆ
จนกลายเป็นข่าวที่ไม่ดีเอาเสียเลย

วิธีแก้ข่าวลือมีทางเดียวคือ ต้องเอาความจริงมาพูด เมื่อ
เป็นความจริงแล้ว คนก็จะได้หยุดลือ การยิ่งปิดก็ยิ่งทำให้
ข่าวกระพือไป จนยากจะหยุดไว้ได้ ส่งผลเสียไปเห็นๆ

แต่เมื่อประเทศนี้มีชื่อเรียกจริงว่า"ตอแหลแลนด์" เราเลย
ต้องอยู่กับข่าวลือ ข่าวลับ ข่าวลวง หาความจริงอันเป็นแก่นสาร
ไม่ได้

ซึ่งอันที่จริง ถ้าเราไม่ผูกชีวิตติดไว้กับคนๆเดียว ทำให้เป็นประชาธิปไตย
อย่างแท้จริง ใครจะอยู่ใครจะไปก็เป็นไปตามครรลองของการเลือกตั้ง
ตามกฎกติกาที่แน่ชัด ข่าวลือประเภทนี้ก็จะไม่มีความหมาย กระทบกระเทือน
ต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่นี่เป็นเพราะเราไม่เป็นประชาธิปไตย
ใบไม้ไหว ใบไม่ร่วงจึงสั่นสะเทือนไปทุกวงการ น่าเป็นห่วง

แหม.....มันช่างกล้าเนอะ

ID # 845391 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-16 09:47:51 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ก็จะใครเสียอีกล่ะคะ คนที่ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวานไง
อ่านดูแล้ว ได้แต่ปลง คนแก่ที่ไม่มีลูกหลานดูแล ก็
ปล่อยให้ออกมาหลงๆเลอะๆอย่างนี้เอง

ขอยกคำพูดมาให้ดูก่อนนะคะ จะได้รู้ว่ามันเลวได้ขนาดไหน
จิ๋ว กับผมเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีแล้ว และต่างคน ต่างทำงานให้กันและกันมา ดังนั้นความเป็นเพื่อนระหว่างผมกับจิ๋วยังคงอยู่ ส่วนที่มีคนพูดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครพูด อาจเป็นจิ๋วพูดเองก็ได้ว่าไปลาบวชแล้วผมไม่ให้ลา ซึ่งอันนี้ไม่ ใช่เพื่อนแล้ว เมื่อเพื่อนจะไปลาบวชจะต้อง ให้อโหสิกรรม เรื่องจริงผมไม่ทราบว่าเขาจะ บวช จนบัดนี้ผมยังไม่รู้ว่าบวชที่ไหน เมื่อไร


โธ่ โถ ช่างกล้าตอแหล เมิงอยู่เป็นหัวหลักหัวตอหรือไงถึงไม่รู้เรื่องงานบวช
คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง ภาพข่าวก็ออก

แม้ตอนจะบวชอาจเงียบหน่อยเพราะเขาไม่ต้องการเอิกเริก
แต่การที่ท่านออกมาพูดว่า จะขอเข้าไปขออโหสิกรรมลาบวช
แล้วยังไม่ให้เข้าพบ เมิงจะออกมาปฏิเสธทำไม ถ้าไม่จริง
เขาจะกล้ามาพูดหรือ เมิงจะแก้ตัวไปว่า พอดีช่วงนั้น เมิงไม่ว่าง
เจ็บรูที่ถ่ายอยู่ ก็ดูจะฟังดูดีมีน้ำหนักมากกว่า

การที่ผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งของบ้านเมืองจะลาบวช คงไม่ต้องไปลาบวช
กับคนมากมายนักหรอก ก็ท่านอายุตอนบวชก็มากอยู่แล้ว ก็เห็นมีแต่
เมิงนี่แหละที่แก่กว่าเพื่อน ตายก็ไม่ตายเสียที เขาถึงคิดจะเข้าไปลา

การออกมาปฏิเสธด้วยการพูดแบบนี้ มันเลวนะ เลวอย่างบอกไม่ถูก
ยังๆ ยังเลวไม่พอ คนอย่างเปรม ที่คนเขาไม่เปรมกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ทำแค่นี้ ยังไม่สมฐานะ มันต้องเลวให้สุดขั้ว ชั่วให้สุดทาง ถึงได้ผายลม
ต่อว่า
ผู้ สื่อข่าวถามว่า ยินดีให้ พล.อ.ชวลิต เข้าพบเพื่อขอโทษหรือคารวะหรือไม่ พล.อ. เปรม กล่าวว่า เขาเคยติดต่อมาก่อนวันที่ 7 ต.ค. และวันเกิดจิ๋วเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้โทรฯ ไปอวยพรและคุยกันดีเหมือนเพื่อน ซึ่งถ้าต้องการมาพบตนก็ได้ แต่ตอนนี้เมื่อเป็นนักการเมืองแล้วมาพบตนก็ไม่น่าจะสมควร เมื่อถามต่อว่า พล.อ.ชวลิต จะมาพบเพื่อคุยเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้หรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า ก็ดี แต่ตนไม่มีสิทธิที่จะคุย เรื่องการเมือง และจะไม่พูดเรื่องการเมือง และจะไม่ทำอะไรเรื่องการเมืองทั้งนั้น การเมืองปล่อยเป็นเรื่องของผู้ที่มีความรับผิดชอบทางการเมืองแก้ไข


จะโธ่ถังกาละมังแตกอีกทีดีไหมเนี่ย หนอย ตนไม่มีสิทธิ์จะคุยเรื่องการเมือง
แล้วที่แอ่นอกออกมาเชียร์นายกฯถึงสองคนนั่นไม่เกี่นวกับการเมืองหรือไง
หรือเพราะเป็นพวกตัวเลยคุยได้สบายใจ คนเราถ้าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็ต้องยึดมั่น
ตั้งให้ตรง ไม่ใช่ทำตัวเป็นไม้หลักปักขี้เลนให้ชาวบ้านเขาด่าอย่างนี้

ยังค่ะยังไม่จบ ถ้าพูดแค่นี้จะไปหาว่าเลวคงยังไม่เหมาะสม มันต้องนี่ นี่เลย
ส่วนการกลับเข้าสู่วงการเมืองของ พล.อ.ชวลิต จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิมนั้น พล.อ.เปรม หยุดคิดก่อนที่จะตอบว่า คุณเชื่อในพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ พระสยามเทวาธิราชจะคอยดูว่าพวกเราทำอะไรกัน ถ้าใครทำไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองจะถูกท่านลงโทษ เมื่อถามย้ำว่า วันนี้ พล.อ. ชวลิต เดินไปฝั่งตรงข้าม จะทำให้ห่างจากท่านมากขึ้นหรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์เรื่องนั้น ตนเตือนเขาเท่านั้น


เฮ้ย เว้ย การเดินเข้าพรรคการเมืองอย่างเปิดเผย เป็นเรื่องเป็นราวมันเป็นการ
ทำผิดต่อชาติจนต้องอ้างพระสยามเทวาธิราชอีกแล้วหรือ เขาไม่ได้พาคนที่ก่อการ
ล้มรัฐบาลเข้าเฝ้าสักหน่อย เห็นก็เห็นกันอยู่ว่าการกระทำครั้งนั้นมันก่อให้เกิดผลอะไร
ตามมามา ที่แน่ๆคือศรัทธาจากประชาชนลดลงไปอย่างน่าใจหาย ใครจะว่า
อย่างไรไม่ทราบแต่การณ์ครั้งนั้นแหละ ที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสไปแวะเยี่ยมชม
วัดราษฎร์สิ้นศรัทธา

แล้วการที่ผายลมว่าอย่างนี้
แต่สิ่งที่ถูกต้องคือ ก่อนที่จิ๋วจะไปสมัครสมาชิกพรรค เพื่อไทย ตนได้ให้คนไปบอกว่า จะทำอะไรขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ เป็นข้อความที่ตนขอให้สื่อไปถึงจิ๋วในตอนเช้าวันนั้น


โอ้แม่เจ้า การสังกัดพรรคการเมืองกลายเป็นการทรยศต่อชาติ
เอาส่วนไหนของร่างกายคิดล่ะนี่ เมื่อก่อนพลเอกชวลิตเขาก็
เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง จะชั่วจะดี เขาก็ก้าวเข้ามาเป็นนายกฯ
อย่างสง่างามด้วยการเลือกตั้ง แล้วที่เมิงเข้ามาตีหน้าเศร้าอยู่
ในตำแหน่งตั้งแปดปีน่ะ มีใครเลือกเข้ามา ถุยส์ คนเข้าตามตรอก
ออกทางประตูกลายเป็นคนทรยศชาติ คนอุบาทว์พาคณะกบฎ
ล้มรัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญ เข้าเฝ้าขอความเห็นชอบ กลายเป็น
คนรักชาติอย่างนั้นหรือ เมิงเอาซ่นเท้าคิดหรืออย่างไร

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.เปรม ครั้งนี้มีการตั้งแท่นโพเดียม อย่างเป็นทางการเพื่อเปิดใจถึง พล.อ.ชวลิต โดย พล.อ.เปรม บอกกับสื่อมวลชนว่า
"ผมจะไม่ให้สื่อตั้งคำถาม ขอร้องสื่อไม่ต้องถาม แต่ผมจะพูดเรื่องจิ๋วเอง"เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.เปรม จะใช้คำเรียกแทน ตัว พล.อ.ชวลิต ว่า "จิ๋ว" ซึ่งเป็นชื่อเล่นของ พล.อ.ชวลิต ทั้งนี้ในการเปิดใจครั้งนี้ มีบรรดาอดีตนายทหารระดับสูงทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด รวมทั้ง ผบ. เหล่าทัพ
ยืนอยู่ด้านหลัง พล.อ.เปรม ด้วย


นี่ไงคนดีศรีประเทศ ปากบอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ออกมาแถลงข่าวตอบโต้
แสดงความเป็นเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด มีอย่างที่ไหน ไม่ให้ซักถาม จะพูดเอง
เห่าออกมาแต่ละอย่างคนเขาฟังแล้วว่าหนวกหูกว่าเสียงหมาเห่าอีก แล้วดูแต่ละตัว
ยกกันมาเชียร์ เป็นกำลังใจสิ มันหมายความว่าไง ใช้สถานที่ราชการ ออกมาพูด
ว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง บอกว่าพูดเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ แล้วที่ทำอยู่น่ะคืออะไร
การเอาพวกทำผิดคิดร้าย ทรยศต่อชาติ (เบียดบังของหลวง) มาเสริมทัพ มันทำให้
ภาพดูดีขึ้นหรือไง ภาพที่เห็นมันแสดงว่าแก่ไม่ยอมแพ้ มันแสดงให้เห็นว่าเอาผบ.
เหล่าทัพ ออกมาขู่กันชัดๆ เห็นเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากว่าต้องการจะโชว์
พาวขู่ว่า ยังมีทหารหนุนหลังอยู่ เรื่องแค่นี้ใครๆก็ดูออก

เมิงต้องไม่ลืมว่าเมื่อถึงวันเหลืออด ต่อให้ทหารพวกเมิง ชาวบ้านเขาก็หากลัวไม่
ทหารลูกน้องเขาก็เป็นลูกหลานชาวบ้าน อย่าเหิมเกริมนักเลย กลับไปอ่าน ศึกษา
ประวัติศาสตร์ ทั้งของไทยและต่างชาติดูบ้าง ไอ้ที่ตายข้างถนน เพราะลูกน้องหัน
ปากกระบอกปืนเข้าใส่น่ะ มันเคยมี และเกิดมาในหลายประเทศแล้วด้วย อย่าลืม

เพิ่มเติมชื่อนายทหารที่เข้าไปยืนเป็นวอลล์เปเปอร์นะคะ
เป็นที่น่าสังเกตุว่า มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันยืนให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง อาทิ

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ส. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงษ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.)

มักได้

ID # 844884 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-14 10:04:40 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


คำแปลเขาว่าแปลว่ามักมาก, เอาแต่ได้, เห็นแก่ได้
อืม เห็นท่าจะจริง ก็จะใครเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่ไอ้เด็ก
โง่ หน้าซื่อ ใจคด

มีอย่างที่ไหน เห็นอะไรเป็นอยากได้เขาไปหมด
เริ่มตั้งแต่อยากได้เก้าอี้นายกฯ ให้ทำอะไรทำหมด
แม้แต่ไปกอดเอวคนที่ตัวเองเคยด่าว่า และเขาก็
เคยด่าว่าตัวเองมาแบบสาดเสียเทเสีย

ต่อมาเห็นใครให้อะไรก็รับหมด ตั้งแต่ไม้แหย่แย้
งาช้าง จนล่าสุด แหวนทองแค่หนึ่งสลึง แล้วก็อ้าง
แบบโง่ๆตามเคยว่าไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่

โธ่ไอ้ฟาย จะราคาเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ ถ้าใจนิ่งๆ
เสีย แล้วมองว่าเป็นลาภที่มิพึงได้ ก็คงต้องปฏิเสธ
ไปแล้วตั้งแต่แรก แต่นี่เป็นเพราะความมักได้ อยาก
ไปเสียหมด ไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรทั้งนั้น

กฏหมายเขาก็มีอยู่ ไม่ได้ออกมาไว้ให้มันคอยเช็คราคาของสักหน่อย
เขาออกมาเป็นแนวทางเท่านั้นว่าเป็นนักการเมือง อย่าได้ไปโลภรับ
ของที่ไม่สมควรได้ ก็เท่านั้นเอง เรื่องพื้นๆอย่างนี้หากโตพอ มีความ
คิดพอ ก็จะรู้ได้โดยอัตโนมัต ว่าอะไรควรรับอะไรไม่ควรรับ

แต่นี่ความโลภมันบังตา เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด
จริงๆแล้ว ราคามันก็คงพอรู้ แต่เห็นว่าเป็นของเล็กน้อย
ด้วยกิเลสที่ทยานอยาก ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่คงหวัง
จะเอามาคุยว่าเป็นของกำนัลที่แสดงว่ามีคนรักใคร่
ถึงขนาดเอาของมามอบให้ นั่นแหละถึงเป็นการโชว์โง่
โชว์ให้เห็นว่า ไม่มีความคิด ไม่พร้อมที่จะโตพอที่จะ
แยกแยะ ถูกผิด ชั่วดีได้

แล้วไอ้คนอย่างนี้น่ะหรือที่จะให้ดำรงตำแหน่งกุมบังเ*****ยนของประเทศ
ตัดสินใจแทนคนทั้งชาติ ใครยอมป้าไม่ยอมนะคะ ใครมาชวนไปไล่
มันออกบอกด้วย จะไปด้วยคน

ความเชื่อ...พลังจิต

ID # 844856 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-14 07:13:31 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เขาว่าความเชื่อ เมื่อเกิดขึ้นในหมู่คนมากๆ เรียกว่าคิดอย่างเดียวกัน
ก็จะทำให้เกิดเป็นพลังจิต ซึ่งพลังจิตนี้เองจะกลายเป็นพลังงานที่มีอนุภาพ
สามารถผลักดันให้เกิดตามที่คิดกันได้

ไม่ว่าในทางที่ดีหรือร้าย คนอเมริกันคงเชื่อในเรื่องนี้มากกว่าใคร
เพราะพ่อแม่มักจะสอนลูกให้คิดในทางดีกับตัวเสมอ เช่นว่าบอก
ลูกว่าลูกดีที่สุด หล่อที่สุด สวยที่สุด เก่งที่สุด จนเป็นเหมือนการสะกดจิต
เมื่อคิดอย่างไรเราก็จะกลายเป็นอย่างนั้น

ความคิดความเชื่อนี้ไม่ได้มีผลกับตัวเองเท่านั้น แต่หากคิดเหมือนๆกันทั้ง
ประเทศก็จะกลายเป็นพลังมหาศาล สามารถดลบันดาลให้เกิดอะไรก็ได้ดังคิด

อ๊ะๆ....ไม่ใช่อย่างที่คิดกันนะคะ ไม่ได้มาชวนคิดอย่างนั้น เรื่องนั้นแอบคิด
กันในใจก็ได้ อย่าเอะอะไปล่ะ จุ๊ๆ

แต่ที่จะเขียนวันนี้ คือความคิด ความเชื่อที่มีมานานนมแล้วในประเทศ
คือความเชื่อที่ว่า"นักการเมืองเลว" ไม่ทราบใครเป็นคนต้นคิด แต่จำ
ได้ว่าได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นเด็ก เขาว่าคนดีๆไม่มีใครเล่นการเมืองหรอก

เออหนอ จริงอย่างนั้นหรือ ถ้าความจริงคือไม่ว่าในหมู่ใด สังคมใด
ย่อมมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน แล้วทำไมสังคมการเมืองจึงมีแต่คนเลว

ไม่จริงหรอกค่ะ นักการเมืองก็ต้องมีคนดีอยู่ด้วย จะมีแต่คนเลวได้ไง
แต่พอพูดกันมากๆ พูดกันติดปาก สอนลูกสอนหลานอย่างนั้น มันก็
เป็นเหมือนพลังจิตสาบแช่งนัการเมืองและการเมืองไปในตัว ยิ่งทำให้
ทุกสิ่งเลวร้ายไปตามที่คิดที่พูด พระท่านถึงได้สอนว่าให้"คิดแต่ดี
ทำแต่ดี และพูดแต่ดี"ไงคะ

เลิกเถิดค่ะความคิดตราหน้าว่านักการเมืองเลว เพราะคนต้นคิดเรื่องนี้
ต้องเป็นคนที่ไม่ต้องการเห็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตยในประเทศนี้
แน่นอน เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะต้องมี
นักการเมือง การปกครองระบอบเผด็จการในรูปแบบต่างๆไม่ต้องมี
นักการเมืองหรอกค่ะ เพราะเขาใช้วิธืแต่งตั้ง แน่นอน ใครจะไปตั้งคนที่มี
ความเห็นต่างจากตัวให้ไปทำงาน เดี๋ยวได้เถียงกันตาย ก็ต้องตั้งแต่พวก
ประจบสอพลอ เอออวยไปเสียทุกเรื่อง แล้วประเทศจะเจริญก้าวหน้า
ได้อย่างไร จริงอยู่หากผู้นำเผด็จการรักชาติจริง ความเด็ดขาดอาจช่วย
ให้การผลักดันนโยบายทำได้สะดวกขึ้น การทำงานก็ปราศจากคนขัดขวาง

แต่ในความเป็นจริงผู้นำเผด็จการที่ดีจริงๆเคยมีหรือคะ แล้วการรวบ
อำนาจการตัดสินใจในชะตาชีวิตของคนในชาติไปอยู่กับคนเพียงคน
เดียวกลุ่มเดียวมันดีหรือคะ นั่นคือเหตุผลที่การปกครองระบอบประชา
ธิปไตยเบ่งบานไปทั่วโลก เพราะการมีหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว
นักการเมืองคือตัวแทนของเรา เข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงที่จะเห็นด้วยหรือคัดค้าน
ซึ่งเราไม่มีโอกาสไปทำอย่างนั้นได้ทุกคน

แต่เขาก็ฝังหัวเราทุกคนในประเทศนี้ว่า นักการเมืองเลว นักการเมืองโกงกิน
จริงอยู่อาจมีบ้าง แต่ถ้าประชาชนรู้ เราก็สั่งสอนลงโทษได้ ด้วยวิถีทางการ
เลือกตั้ง เพราะถ้าไม่ดีจริงครั้งต่อไปก็หมดสิทธิ์ นี่คือระบอบประชาธิปไตย

ทำไมเราไปคิดว่านักการเมืองเลว เลยต้องยกเลิกการเลือกตั้งเสียล่ะคะ
เรากำลังตกเป็นเครื่องมือของคนที่คิดจะรวบอำนาจหรือเปล่า ที่ชักนำ
ให้เราเชื่อโดยสนิทใจว่านักการเมืองเลวทุกคน เมื่อเชื่ออย่างนั้นก็เหมือน
กับการสาบแช่ง จนในที่สุดคนดีเองก็ท้อใจที่จะลงเล่นการเมือง
เพราะหากลงไปเกลือกกลั้ว ความดีที่สะสมมาจะละลายหายสูญ
กลายเป็นคนชั่วไปในพริบตา

เราเองนั่นแหละที่ถูกหลอก แล้วยังไปสอนลูกสอนหลานต่อๆกันไปว่า
นักการเมืองเลว ไม่เชื่อลองดูผลการสำรวจนี้ดูสิคะ

เด็กไทย90%เบื่อการเมือง


กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ 11 องค์กรจัด "มหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม" ครั้งที่ 1 มีการเสวนา .มอง พ.ร.บ.เด็กแบบเด็กๆ" โดยนายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้สภาเด็กและเยาวชนฯก่อตั้งขึ้นมาไม่ถึง 1 ปี แต่มีเครือข่ายครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศและมีการประชุมแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นของแต่ละพื้นที่อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ตั้งแต่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ในปี 2551 ที่ให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยที่ไม่มีบทลงโทษหรือข้อ กฎหมายเอาผิดกับเด็ก ซึ่งเด็กจะได้มีกระบอกเสียงส่งผ่านไปถึงผู้ใหญ่ในหันมายอมรับและสนับสนุน เพราะสาเหตุหลักที่เด็กไม่มีแรงบัลดาลใจในการทำประโยชน์ให้สังคมเพราะ ผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ จึงทำให้เด็กขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง มีการก้าวร้าว แสดงออกในทางที่ผิด เช่น แก๊งรถแข่ง แก๊งปาหิน สร้างความเดือดร้อนให้สังคม

"จากการสำรวจความคิดเห็นของเยาวชนจำนวน 1,700 ราย ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า เยาวชนร้อยละ 80 มองว่าผู้ใหญ่ไม่ให้ความเคารพในการแสดงออกทางความคิดและการปกป้องสิทธิให้ กับเด็ก นอกจากนี้ยังมีการ สำรวจความคิดเห็นในเรื่องการเมือง โดยเยาวชนร้อยละ 90 ไม่มีความรู้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไม่อยากรับรู้เรื่องการเมืองเพราะเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป มองว่าการเมืองเป็นเรื่องต้องห้าม เลวร้าย วุ่นวาย น่าเบื่อ น่ารำคาญ เด็กส่วนใหญ่จึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องการเมืองและไม่อยากแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการเมือง สิ่งที่เด็กต้องการให้เกิดเป็นรูปธรรมจริงๆคือการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งรัฐบาลต้องเข้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจัง เด็กทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาที่ดี เป็นผู้รู้ที่แท้จริง" นายรัชฎะกล่าว


ดูเอาเถิดค่ะ มันตลกไหมคะ มีการตั้งสภาเด็ก แต่กลับทำให้เด็กคิดเห็นว่าการเมือง
เลวร้ายวุ่นวาย ใครกันที่ปลูกฝังความคิดนี้ให้กับเยาวชนของชาติ เลวร้ายกว่านักการเมือง
อีก เลิกเสียทีนะคะ อย่าคิด อย่าพูดว่านักการเมืองเลว ถ้าพบเห็นว่านักการเมือง
คนไหนทำผิด คิดร้าย ก็ให้นึกว่ามันเลว อาจเลวคนเดียว หรือเลวทั้งพรรค แต่ไม่ใช่
นักการเมืองทั้งหมดที่เลวนะคะ หวังเพียงว่าการคิดดีๆต่อนักการเมืองจะกลาย
ไปเป็นพลังจิต ชักนำให้นักการเมืองส่วนใหญ่กลายเป็นคนดี และทำเพื่อชาติและประชาชน

หมาทนไม่ได้

ID # 843893 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-10 07:26:05 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ให้บังเอิญด้อ่านเรื่องของซูโม่ หมาของอดีตประธานาธิบดีฌาคส์ ชีรัก
และภรรยา ของฝรั่งเศส จากนสพ.โลกวันนี้ วันสุข

ได้ความว่า เมื่อประธานาธิบดีพ้นจากตำแหน่งไป ก็ย้ายออกจากElysee Palace
ไปอยู่อพาร์ทเมนต์ แปลกแฮะ ทำไมต้องย้ายออกด้วย ไม่มาปรึกษาคนแถวนี้
บางคนน่ะพ้นจากตำแหน่งไปนานนม ยังยึดบ้านเอาไว้อยู่เลย ส่วนบางคนถึงจะ
ย้ายออก แต่ก็ยังยึดเขาเอาไว้(คงได้รับสัญญาณพิเศษเหมือนกัน ว่าทำได้ไม่ต้อง
ห่วงเพราะ ทันทีที่พ้นตำแหน่งก็ได้รับเกราะทันที ชาวบ้านชาวช่องเลยไม่กล้าทวงคืน)

อุ๊ยพอเลี้ยวไปแขวะเลยชักติดลม เกือบลืมเล่าเรื่องหมา เรื่องของเรื่องคือเมื่อก่อน
สมัยยังอยู่ในวัง(อ้าวก็คำว่า Palace มันแปลว่าวังไม่ใช่หรือ) เจ้าซูโม่ก็สุขสำราญดี
มีที่วิ่งเล่นในสนามอันกว้างใหญ่ พร้อมกับบริวาร เอ๊ยเพื่อนหมาด้วยกันมากมาย มี
ความสุขอย่างหมามีชนชั้น

ครั้นพอนายหมดหน้าที่ต้องออกจากที่อยู่เดิม ย้ายไปอยู่อพาร์ทเมนต์ มันคงอึดอัด
เลยหงุดหงิด กระโดดกัดอดีประธานาธิบดีจนเลือดออก(ดู๊ดู๋มันทำ เขาถึงได้ว่า"ช้างสาร
งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก" ไว้ใจไม่ได้ อ้าวไม่ยักจะบอกว่ารวมหมาด้วย

แต่ไม่ด้กัดแค่ครั้งเดียวนะคะ มันกระโดดงับถึงสามครั้งสามครา สองครั้งแรก น่ะ
คุณฌาคส์เธอพาไปหาหมอ หมอก็ให้ยาระงับประสาทมากิน อาการก็ดีขึ้น แต่ก็
ดีขึ้นแค่ระยะเดียว พอหมดยาก็บ้าอีก จนครั้งที่สามทนไม่ไหวจริงๆ เลยต้องจากกัน
โดยซูโม่ถูกส่งไปอยู่บ้านในฟาร์มชนบท มีทุ่งกว้างให้วิ่งเล่น มีข่าวว่าซูโม่สบายดี

เรื่องนี้เลยสอนให้รู้ว่า คนเราเมื่อหมดตำแหน่ง ต้องเปลี่ยนสถานะจะมาใหญ่คับบ้าน
คับเมือง อย่างไรได้ อดีตประธานาธิบดีน่ะท่านคงทำได้ แต่หมาสิคะ มันทำใจไม่ได้
เคยอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น

ดังนั้นคนที่ไม่รู้จักปรับตัว ยอมรับสภาพในความเป็นจริง ว่าตอนนี้เป็นใคร สมควร
ทำอะไร ก็คงมีสภาพไม่ต่างไปจากหมา คือบ้า เที่ยวได้กัดงับเขาไปทั่ว จนแม้เจ้าของ
ก็ยังแว้งมากัด อยากให้คนประเภทนั้นได้มารู้เรื่องนี้บ้างจังเลย เผื่อจะอายที่จะต้อง
ลดตัวไปเท่ากับหมา อิอิ

ได้แรงบันดาลใจมาจากคอลัมน์"เรื่องเล่าต่างแดน" เขียนโดยคุณวรวุฒิ สารพันธ์นะคะ


Jacques Chirac with his pet Sumo, in happier times. The depressed white maltese now lives away from his master.
Photograph: Philippe Laurenson/Reuters

บ้านนี้เมืองนี้เห็นทีจะอยู่ร่วมกันยาก

ID # 842930 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-06 10:58:03 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ก็จะอะไรเสียอีกล่ะคะ ก็ในเมื่อความยุติธรรมไม่มี สามัคคีก็ไม่เกิด
หยิบจับ มองไปตรงไหนก็มีแต่ข้อบีบคั้นหัวใจ ทำซ้ำซากเหมือน
ประชาชนอีกพวกเป็นหัวหลักหัวตอ อย่างที่คุณทักษิณสกรีนเสื้อ
นั่นแหละค่ะว่า"

มึงทำอะไรก็ไม่ผิด

กูทำอะไรก็ผิด

"

มันอัดอั้นตันใจเหลือเกิน ข่าวล่าสุดที่สุดจะทนก้คือ การที่นายสุเทพ ส่งเทียบ
เชิญแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลตัวจริงเสียงจริงที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอย่าง
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภแกนนำพรรครวมใจไทยพัฒนา นายเนวิน
ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
แกนนำพรรคภูมิใจไทย
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา
และนายพินิจ จารุสมบัติ ว่าที่รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวีแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน
เข้าบ้านพิษณุโลกถกปมแก้รัฐธรรมนูญกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ดูเอาเถิดค่ะ ชื่อที่เป็นตัวดำๆน่ะ ใครๆก็รู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5ปี แล้วเข้าไป
สุมหัวกันปรึกษาอะไร มีสิทธิ์อะไร แม้นายสุเทพจะออกมาแก้ตัวว่า"ต้องขอแก้ไข
ก่อน เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่มาประชุมไม่ใช่แกนนำของพรรคร่วมรัฐบาลตัวจริง
อย่างที่สื่อว่า แต่บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีประสบการณ์ในทางการเมือง นายกฯ
เชิญมาเพื่อฟังความเห็นเขา ให้เกียรติท่านทั้งหลายเหล่านั้นดูว่าท่านเหล่านั้น
คิดกันอย่างไร เราทำการเมืองกันอย่างนี้ มีแนวคิดอย่างนี้จะเห็นเป็นอย่างไร
และที่ต้องขอพูดอย่างนี้ก่อน เพราะเดี๋ยวสื่อเอาไปเขียน ไปเรียกอีกแบบหนึ่ง
ผมก็อาจถูกดำเนินคดีด้วย
ฮั่นแน่รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ก็ถ้าพวกเมิง
ไม่ใหญ่คับฟ้า พูดแก้ตัวอย่างนี้มันจะหลุดได้หรือ

ลองเป็นพรรคเพื่อไทยทำบ้างสิ เห็นจ้องกันตาเป็นมัน กะเอาผิดเต็มที่
ทั้งๆที่กกต.(กูกะเอาตาย) ก็เคยออกกฎมาเติมกฎหมายเดิมที่ว่า 1.การจดแจ้ง
จัดตั้งพรรคการเมือง 2.ห้ามร่วมก่อตั้งพรรค 3.ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค
นี่ยังไม่รวมการตัดสิทธิ์แม้กระทั่งห้ามไปลงคะแนนการเลือกตั้งด้วยน่ะนา

โดยกกต. ได้เพิ่มเข้าไปในช่วงการเลือกตั้งวันที่ 23ธค. 50ไว้อีก 4ข้อคือ
1.ห้ามขึ้นเวทีปราศรัยหรือเป็นวิทยากรขึ้นพูดบนเวทีปราศรัย(แต่เป็นวิทยากร
ภาคพื้นสนามได้ไม่เป็นไร หรือยกไว้แต่นายเนวินคนเดียว) 2.ไม่สามารถเป็น
ที่ปรึกษายุทธศาสตร์และนโยบายของพรรคการเมืองได้
หรือข้อนี้หมดอายุไป
พร้อมกับการเลือกตั้ง 3.ไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้
4.ห้ามถ่ายภาพคู่กับผู้สมัคร สส.สำหรับใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้

โอ้แม่เจ้า มันกะช่วยกันเต็มที่ จำได้ว่ามีการตัดสิทธิ์ผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนคนหนึ่ง
ถูกตัดสิทธิ์เพราะไปถ่ายรูปคู่กับคัตเอาท์คุณทักษิณไปใช้หาเสียง แต่หลังจากนั้นมีรูปกอดสยิว
ที่เห็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ของไอ้เด็กเวรกันคนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มีการฟ้องร้องแต่ก็
หลุดข้อกล่าวหาไป ด้วยเหตุที่ว่าศาลทั่นว่า เป็นการกอดกันธรรมดาของหมาติดสัตว์ (เอ๊ยไม่ใช่
เขียนเพลินไป พอดีใกล้เดือน12 ได้ยินเสียงหมาข้างบ้านมันเห่าหอน ติดสัตว์)

ก็แหมมันค้านกับสายตาชาวบ้าน เคยเป็นเพื่อนรักกันมาแต่ครั้งไหน
เห็นด่าทอกันแทบไม่เลี้ยงในสภา กลับมากอดกันกลมในช่วงที่จะจัด
ตั้งรัฐบาล ทำกันไปได้ไม่กลัวเกรง

ส่วนที่ไอ้เด็กเวรเดินสายมอบดอกไม้กัน กอดคอจับมือถ่ายภาพกับผู้ถูกตัดสิทธ์
คนนั้นคนนี้ในช่วงนั้นก็ไม่ผิด เพราะไม่รู้ว่าเขาเข้าไปคุยอะไรกัน คุยเรื่องตั้งรัฐบาล
หรือไม่ เอาเข้าไป ก็คงมีแต่พวกเมิงเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ ชาวบ้านชาวช่องเขารู้
กันทั้งนั้นว่าเข้าไปคุยกันเรื่องอะไร คงไม่ใช่ไปคุยเรื่องหมาที่บ้านจะออกลูกละม้าง

มาครั้งนี้ การเชิญผู้ตัดสิทธิ์เข้าไปพูดคุย ในบ้านพิษณุโลก(สถานที่ราชการ)
โดยคุยกับรัฐบาล แม้จะอ้างว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่แกนนำพรรคการเมือง
ก็ฟังไม่ขึ้นหรอกโว้ย เพราะถ้าไม่ใช่แกก็คงไม่เชิญเข้าไปพูดคุย และถึงไม่ใช่
ก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะคนเหล่านี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง การจะมาขอความคิดเห็น
ทางการเมืองทำได้หรือ การมาปรึกษาหารือกันเรื่องนี้ ถูกอยู่หรือ เพราะไอ้เทือก
ก็รับเองว่าเชิญมาถามความคิดเห็น แล้วจะอย่างไร แก้ตัวให้อีกว่า ไม่รู้ว่ามาคุยกัน
เรื่องอะไรไม่ได้แล้วนา

ก็มันเป็นเสียอย่างนี้ บ้านนี้เมืองนี้ถึงไม่น่าอยู่ หากไม่จัดการอะไรสักอย่าง
จะทนอยู่กันไปได้อีกนานเท่าไร ฉันน่ะเกือบจะทนไม่ไหวแล้วนา

ขอบคุณคอลลัมน์"...เป็นประชารัฐ" ในนสพ.โลกวันนี้ ประจำวันที่ 6ตค. 50
เขียนโดย"ลอย ลมบน" ที่ทำให้ปรอทแตก ฉุนกึก จนต้องเอามาเขียนต่อ

อิ๊ๆ มีคุณพ่อลูกสี่คอยจ้องจับผิดจนเกร็งไปหมดแล้ว
คงจะจริงอย่างว่า ความโกรธทำให้ขาดสติ เขียนพ.ศ.ผิดไปตั้ง2ปี

คุณนุชขา ป้าอยากได้ปุ่มอีดิต แก้ไขคำผิดน่ะค่ะ เมื่อไหร่จะได้คืน
มาเสียที ป้าอายนะคะ ชอบเขียนผิดแล้วแก้ไม่ได้น่ะ ขอบคุณค่ะ

มีการ์ตูนมาฝาก

ID # 842761 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-05 17:25:28 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข






แปลกแฮะ

ID # 842700 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-05 12:38:04 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เนื่องด้วยข่าวที่ว่าร.ต.อ.เฉลิมส่งคลิ้ปที่ไอ้บ้าปากหมาด่าฮุนเซ็นไปให้
ออกมาเต้นเร่าๆกันใหญ่ โดยไอ้นาโย้กมีท่าทีอย่างนี้
ต่อ ข้อถามที่ว่าการกระทำของ ร.ต.อ.เฉลิมถือว่าแรงเกินไปหรือไม่ที่เอาเรื่องความมั่นคงของชาติไปเล่นการ เมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ถ้าเป็นผม ผมไม่ทำหรอกครับ" เรื่องนี้คงต้องไปถามคนทำว่าทำเพื่ออะไร แต่คงไม่ส่งผลกระทบอะไรในระดับรัฐบาล เพราะจากการที่ได้พบกับสมเด็จฮุน เซ็น ทุกครั้งก็เป็นบรรยากาศที่ดีทั้งสิ้น และยังยืนยันว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังเดินหน้า ทั้งเรื่องการเปิดจุดค้าขายก็ยังทำกันอย่างต่อเนื่อง


ส่วนลิ่วล้อพูดว่า
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการแสดงท่าทีของนายกษิตก่อนเข้ารับตำแหน่ง แต่การที่ ร.ต.อ.เฉลิมหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเป็นปัญหาความไม่เข้าใจระหว่างประเทศ อยากถาม ร.ต.อ.เฉลิมว่ากำลังคิดอะไร และทำเพื่ออะไร กำลังเอาผลประโยชน์ของชาติมาสนองตัณหาทางการเมืองใช่หรือไม่ และอยากให้กลับไปดูประวัติของอยุธยาที่แตกเพราะคนไทยเป็นไส้ศึกกันเอง

นาย เทพไทกล่าวว่า วันนี้ ร.ต.อ.เฉลิมกำลังทำตัวเหมือนคนไทยคนนั้นใช่หรือไม่ การเอาความในประเทศที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลไปสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศ ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับประเทศชาติอย่างแน่นอน จึงอยากตั้งคำถามดังๆกับ ร.ต.อ.เฉลิมว่า ยังรักประเทศไทยอยู่หรือเปล่า คุณคือคนไทยอยู่หรือเปล่า ถ้ากรณีดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศถึงขั้นบานปลายจนไม่สามารถ แก้ปัญหาได้จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร


เอ่อ อิชั้นละก็ง้งงง ทีเวลาไอ้รมต.มันเห่า กลับไม่ไปด่ามัน ดั๊นไปเอามาเป็นรมต.เสียอีก
แต่พอเขานำไปเผยแพร่ แม่มันจะตายให้ได้ ก็ถ้ารู้ว่ามันจะกระทบความสัมพันธ์แล้วไอ้เวรนั่น
มันเห่าทำไมล่ะ หรือมันเป็นควายไม่รู้ภาษาคน เอ๊ยเป็นหมาสิ เห่าพร่ำเพรื่อ ที่สำคัญตอนเห่าน่ะ
ฮุนเซ็นเขาก็ได้ยินมาตั้งนานแล้ว แต่พวกแกต่างหากที่บ้าบองี่เง่าไปยกคนเห่ามาเป็นรมต.
ต่างประเทศ ประเทศชาติเลยต้องตกเป็นเบี้ยล่างเขามาตลอด

ก็ถ้ารู้กาละเทศะจริง คนอย่างนี้สมควรยอยศให้มันหรือ ว่าไอ้เด็กเวรคนเดียวก็ไม่ถูกต้อง
ด่าว่าไปถึงไอ้คนที่ส่งไอ้ปากหมามาเป็นด้วย มิหนำซ้ำยังรับรองฐานะมันอีก คงเพียงเพราะ
มันไปสัญญิงสัญญาว่าจะจัดการคุณทักษิณให้ละมั้ง แล้วเป็นไง นี่ก็ผ่านไป9เดือน10เดือน
แล้ว ทำอะไรเขาได้หรือยัง ผลงานก็ไม่มี แผลก็เหวอะหวะเต็มหลัง ยังกระเตงกันไว้ให้เป็น
เสี้ยนหนามแผ่นดิน

ไอ้เรื่องความผิดของตัวไม่เห็นแต่ความผิดคนอื่นสูงเท่าภูเขานี่ แก้ไม่หายเลยนะ
ชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันทั่ว ว่าไอ้นี่มันปากหมาเห่าไว้ว่าอย่างไร ไม่ได้แอบซุบซิบ
นินทาสักหน่อย ด่าเขาออกลั่นๆ เขาอยู่แค่ข้างบ้าน มีหรือจะไม่ได้ยิน คงมีแต่พวก
แกละมั้งที่หูหนวกตาบอด ทำไม่รู้ไม่เห็น ตั้งมันมาเป็นสายล่อฟ้าให้คนเขาด่ายังไม่พอ
จะพาเสียเมืองเอาน่ะนา ยังไม่รู้ตัวอีก

พวกแกลองคิดดูซิ ถ้ามันไม่เห่า คุณเฉลิมเขาจะเอาคลิ้ปที่ไหนไปส่งให้ฮุนเซ็น
พวกแกโง่พวกเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นเขาจะโง่ตามหรอก

เหมือนคลิ้ปฮิตเลอร์ที่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนสั่งฆ่าคนน่ะ เงียบเป็นเป่าสากเลยนะ
ถ้าไม่ได้พูดป่านนี้ไม่ออกมาดิ้นกันจนจับคนเผยแพร่ไปฆ่าแล้วหรือ แค่นี้เขา
ก็รู้กันแล้วว่ามันจริง

จำไว้ถ้าไม่ได้ทำไม่ต้องกลัว ทำแล้วถ้าเป็นลูกผู้ชายพอก็ต้องกล้ารับ
อ้อแต่พวกแกไม่ใช่นิ เหมือนหมาไม่มีผิด ถ่ายเรี่ยราดแล้วก็เดินจากไป
ไม่รับผิดชอบผลงานของตัวทั้งนั้น

คิดได้อย่างนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย แต่จะไม่ให้ฉันด่าว่าเจ้าของหมาไม่ได้หรอกนะ
เพราะมันเลว ปล่อยให้หมาของตัวออกมาทำเลอะเทอะบ้านเมือง แล้วจะมาหวังให้ชาวบ้าน
เขาทำความสะอาดให้ โดยอ้างว่าบ้านของแกนี่นา ถ้าไม่ช่วยทำความสะอาด แกก็ทน
เลอะกันไปเอง เมื่อก่อนก็เก็บกวาดให้ตั้งหลายทีแล้วนา บ่อยๆมันชักทนไม่ไหว
แล้วโว้ย เดี๋ยวพ่อดก็จัดการเจ้าของก่อนจัดการหมาเสียหรอก จะได้สบายใจดี

ตามไปอ่านวาทตะวันกันนะคะ

ID # 842661 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-05 10:25:49 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ถ้าชาติไทย "ล่มจม" ... "อภิแสบ ภักดีโพเดียม" จงฟัง!!!

จะลอกมาให้อ่านก็กลัวจะเสียอรรถรถ เพราะท่านทำสีสันไว้สวยงามมีภาพประกอบด้วย
ตัดมาพอเป็นน้ำจิ้มแค่ประโยคเดียว คงทำให้กระหายอยากตามไปอ่านกันแล้วนะคะ

"ประชาธิปัตย์กับพันธมาร...เหมือนผัวเมียกัน!!!"

บทแผ่เมตตาและการกรวดน้ำ

ID # 842215 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-03 11:01:21 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


คาถาแผ่เมตตา

(แผ่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย)
สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
อัพพะยาปัชฌา โหนตุ
อะนีฆา โหนตุ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ

คาถาแผ่เมตตาตนเอง

อะหัง สุขิโต โหมิ
อะหัง นิททุกโข โหมิ
อะหัง อะเวโร โหมิ
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

คาถาแผ่เมตตาพรหมวิหารสี่

บทเมตตา

สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ
จงเป็นผู้ไม่มีเวรแก่กันและกันเถิด
อัพยาปัชฌา โหนตุ
จงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
อะนีฆา โหนตุ
จงเป็นผู้ไม่มีทุกข์กาย ทุกข์ใจเถิด
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
จงเป็นผู้มีสุข พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

บทกรุณา

สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ
จงพ้นจากทุกข์เถิด
บทมุทิตา
สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
มา ลัทธะสัมปัตติโต วิมุจจันตุ
จงอย่าไปปราศจากสมบัติอันตนได้แล้วเถิด

บทอุเบกขา

สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งสิ้น
กัมมัสสะกา
เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน
กัมมะทายาทา
เป็นผู้รับผลของกรรม
กัมมะโยนิ
เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด
กัมมะพันธุ
เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสะระณา
เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสันติ
กระทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
ดีหรือชั่ว
ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ
จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

คาถาแผ่ส่วนกุศล

อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดา บิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดา บิดาของข้าพเจ้ามีความสุข
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข
อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ

บทกรวดน้ำ

เมื่อเสร็จพิธีทำบุญและพระสงฆ์กล่าวรับแล้วให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเราโดยว่าดังนี้

ข้าพเจ้า ขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนายบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ
สาธุ...


อะไรจะดีไปกว่าการแผ่เมตตา พระเคยบอกว่า ไม่ชอบใครอย่าไปแช่ง
กรรมเวรจะติดตามไปทุกชาติ เกิดชาติหน้าก็ต้องมาเจอกัน ใช้กรรมร่วมกันอีก

การแผ่เมตตาให้เขา เราก็ได้ ที่ได้ทันทีคือความสบายใจ ไม่มีเวรกรรมต่อกัน
ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาพบกันอีก ชาตินี้ชาติเดียวก็เกินพอ
ช่วยกันแผ่เมตตานะคะ กรรมที่ร่วมกันในชาตินี้จะได้หมดไปเสียที

วัวพันหลัก

โพสต์เมื่อ : 2009-10-02 13:25:25

จากกรณีที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะยื่นฟ้อง
คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกฯ ต่อศาลแพ่งให้การซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกเป็น
โมฆกรรม และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน ด้วยเหตุที่ว่า
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ โดนคดีอาญาในการที่เซ็นชื่อยินยอมให้ภรรยา
ทำการโอนที่แปลงนี้ที่ได้จากการประมูลโดยชอบ จึงทำให้การซื้อ
ขายเป็นโมฆะ

ร.ต.อ. เฉลิมให้ความเห็นว่า"หากศาลตัดสินว่าเป็นโมฆะตามฟ้อง
จะส่งผลต่อคำตัดสินของศาลฎีกาฯที่สั่งจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ 2ปีในคดีนี้"

เอาล่ะสิ เกิดโอละพ่อขึ้นมาแล้ว หากต้องคืน แสดงว่าการซื้อขายไม่เกิด
แล้วคุณทักษิณจะผิดได้อย่างไร คงเป็นเหมือนการเซ็นอะไรไปสักอย่าง
ที่ไม่ได้มีผลอะไร แล้วจะมาเอาผิดได้อย่างไร

ทีนี้คงสนุก เรื่องของเรื่องก็คือคนมันโลภ จะเอาทุกท่า จะเอาทุกทาง
ไล่บี้เขาจนลืมตัว ไปไม่ถูก อยากได้คืนก็น่าจะบอกกันดีๆว่าไม่อยาก
ให้ซื้อไป จะเก็บไว้ให้ใครก็บอกเขาไปตรงๆ ไม่เห็นต้องทำเรื่องมาก
ที่ก็อยากได้คืน จะเอาผิดผัวเขาอีกด้วย มันไม่มากไปหน่อยหรือ

ศาลเองก็ตัดสินมาแล้วว่าการประมูลซื้อนั้นไม่ผิดทั้งผู้ซื้อผู้ขาย
หนอยแน่ จะมาทวงคืนโดยหาว่า เมื่อการเซ็นไม่ถูก การซื้อก็ไม่ถูก
ก็เขาพูดกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าการซื้อของเมียผัวไม่จำเป็นต้องยินยอม
ที่ต้องยินยอมน่ะเป็นการขาย เพราะกลัวเมียจะแอบเอาสินสมรสไป
ขายกิน

แล้วทีนี้ จะมาเล่นแง่ เอาทั้งขึ้นทั้งล่อง ชาวบ้านอย่างฉันกลุ้มใจว่ะ
แค่เอียงน่ะก็ยากจะทนแล้ว ยังหน้าด้านอีก ไม่อายเขาบ้างหรือไง

บ้านนี้เมืองนี้ก็เป็นเสียอย่างนี้ หาความเที่ยงตรงอะไรไม่ได้เอาเสียเลย
อยากทำอะไรก็ทำ ก็บอกแล้ว ประกาศเปลี่ยนการปกครองไปเลยก็หมดเรื่อง
ชาวบ้านเขาจะได้ไม่หือ ใหญ่สุดแล้วนี่นา จะมาแอบๆ ทำเหนียมอายอยู่ทำไม

ถอดรหัส..ผบ.ตร.

ID # 841742 - โพสต์เมื่อ : 2009-10-01 13:30:22 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ไม่ได้มีข่าววงนอกวงในลึกซึ้งอะไรหรอกค่ะ เผอิญได้ฟังข่าว
แล้วสะกิดใจ เลยขอถอดรหัสเอง โดยการใช้นามสกุล ได้ออกมาเป็นอย่างนี้ค่ะ

..



..



ก็คนหนึ่งตันเสียแล้ว จะไปเป็นได้อย่างไร ส่วนอีกคนท่านก็ มั่นหมายไว้แล้วด้วยสิ อิ๊อิ๊

คุณปทีปเขานามสกุลตันประเสริฐมั้งครับ คุณป้าฯ

หวายอายมั้กมาก ปล่อยให้ป้าโชว์เฉิ่มอยู่ทั้งวัน ไม่มีใครบอกเลย
ขอบคุณค่ะ

ไปอินเดียกับอภิสิทธิ์

ID # 841109 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-29 10:09:17 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


อ๊ะๆไม่ใช่อ้ายเด็กเวรอย่าเข้าใจผิด แต่หมายถึงอภิสิทธ์ชน
วันไป ท่านนายพลตำรวจส่งลูกน้องไปอำนวยความสะดวก
เช็คอินกระเป๋าและตั๋วอย่างสบายบื๋อ

ขากลับท่านฑูตทหารเรือประจำอินเดียมาส่ง การบินไทย
อำนวยความสะดวกเรื่องกระเป๋า ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำหนัก
ซื้อโต๊ะหินอ่อนมากันเพียบ

ได้มีโอกาสใช้อภิสิทธิ์เหนือชาวบ้านเล็กๆน้อยๆ ชักติดใจ
มิน่าคนที่มีอำนาจมันถึงได้ติดหลงอยู่กับอำนาจ แม้จะรู้ว่า
ได้มาไม่ถูกก็ไม่อยากเสียไป การมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
ก็ทำให้ลุ่มหลงกับความสะดวกสบาย

จริงๆอายเหมือนกันนะคะ ที่โหลดกระเป๋าและทำตั๋วแบบ
กรณีพิเศษ ไม่ต้องไปยืนหน้าแห้งรอคิว ไปก็ช้ากว่าชาวบ้าน
แต่ไม่ต้องห่วง ปุ๊บปั๊บได้เข้าไปก่อนเสียอีก เฮ้อ!

ที่สำคัญใช้อภิสิทธิ์แล้ว ยังมีคุณทักษิณมาช่วยเข็นกระเป๋า
ให้อีกด้วย แหะๆ ก็คนที่กลับมาด้วยเป็นนายพลทหารเรือท่าน
ชื่อทักษิณด้วยนี่คะ

อินเดียร้อนมาก คนอยู่ต่างกันอย่างกับคนละโลก ทั้งๆที่ยืนอยู่บน
พื้นดินเดียวกัน ไอ้ที่รวยก็รวยระยับ ไอ้ที่จนก็ยังแบมือขอทาน
อยู่เลย รถติดไฟแดง จะมีเด็กอินเดียมาแสดงกายกรรมเล็กๆ
ข้างรถเพื่อขอเงิน เห็นแล้วก็อนาถ

ข้อน่าสังเกต ที่อินเดียมีแมคโดนัล แต่มีให้เลือกแค่ปลากับไก่
เพราะคนฮินดูไม่รับประทานเนื้อ คนมุสลิม ไม่รับประทานหมู
ไก่และปลาจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด มีไอศครีมชอคโคแลตซันเดย์
ถ้วยเล็กด้วย น่ารักจริงๆ เล็กกว่าบ้านเราครึ่งหนึ่ง แต่ก็กำลังดี
สำหรับคนที่อยากทานพอแก้อยาก ไม่ต้องรับถ้วยใหญ่ให้เหลือจน
รู้สึกผิด

อาหารอินเดีย ประเคนเครื่องเทศลงไปทุกอย่าง จนเหม็นไปหมด
ติดมาจนผลไม้ ในโรงแรมแท้ๆ ตักมะละกอมา พอเข้าปาก ต้องรีบคาย
เหม็นไปหมด นี่ขนาดคนที่รับอาหารอินเดียได้ยังทนไม่ได้ แล้วคนที่ทนกลิ่น
ไม่ไหว เห็นท่าจะตายแน่

สรุปว่าทริปนี้ ได้ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน เอาเปรียบชาวบ้านเขาเล็กๆน้อยๆ
อ้อ ไกด์อินเดีย จบดอกเตอร์ (PHD) เชียวนะคะ แต่ก็ยังมาทำหน้าที่ไกด์

ถนนตามเส้นทางสามเหลี่ยมทองคำ(ตามเส้นทางเที่ยว ที่ขึ้นชื่อ) คือลงเครื่อง
ที่เดลลี นั่งรถไปอักกร้า ลงมาชัยปุระ แล้วกลับมาเดลลี นั่งรถนานมากๆ
ทางไม่ไกล แค่สองร้อยกว่าโลในแต่ละเที่ยว แต่นั่งทั้งวันแปลกจริงๆ
ถนนก็ไม่เลวร้าย แต่รถโดดไปตลอดทาง ไม่น่าเชื่อ นัยว่าแหนบไม่ดี

ตามทางต่างจังหวัดทั้งคน รถ และสัตว์ (มีตั้งแต่ช้าง ม้า วัว ควายแถมอูฐ)
ร่วมเส้นทางกันขวักไขว่ ทริปนี้ ดีกว่าเส้นทางไปสังเวชนียสถาน โรงแรมดีกว่ามาก
ราคาก็ไม่แพง ยังคิดเลยว่า อย่างนี้ไทยจะสู้เขาได้อย่างไร เพราะโรงแรมหรู
ราคาต่อคืนพร้อมอาหาร(บางแห่งสามมื้อ บางแห่งเฉพาะมื้อเช้า) ไม่เกินสี่พันบาท
ถ้าต้องจ่ายในเมืองไทยคงตกเป็นเงินหมื่น โรงแรมดีมากๆ ใช้ชื่อว่าพาเลซทั้งสิ้น
เลยได้ใช้ชีวิตเป็นเจ้าสบายใจ บางแห่งเป็นวังเก่าจริงๆมีรูปต้นตระกูลประดับอยู่แทบทุกห้อง
ก่อนนอนสวดกันยาว ขอเจ้าของรูปว่าอยู่แต่ในรูปน่ะดีแล้ว ไม่ต้องออกมาต้อนรับหรอก
เดี๋ยวหัวโกร๋นหมด แฮ่ม

ตามสถานที่ท่องเที่ยวมีคนรับจ้างถ่ายรูปเดินตามตลอด สั่งให้เรายืนท่าโน้นท่านี้
เหมือนเป็นสไตลิสต์ในตัว จบทริป เขาอัดมาให้เสร็จ ขนาด5*7 ชัดเจนสวยงาม
ราคาใบละ50รูปีก็สามสิบกว่าบาทเท่านั้น ดีกว่าถ่ายเองด้วยกล้องดิจิต้อล ซึ่งจาก
ประสบการณ์ ถ่ายมาบางทีเป็นชาติยังไม่เคยเอาไปอัด อย่างดีก็ถ่ายเทลงเก็บไว้ในคอมฯ
แต่นี่เห็นทันที จับต้องได้ หากไม่สวยไม่พอใจ ไม่เอาก็ได้ แต่ป้าเอาหมด(เอ เป็นเพราะสวยทุกรูป หรือเปล่าหนอ)
แต่คงไม่ใช่กลัวเขาเอาไปติดประจานว่าดูสิ ไอ้พวกนี้ถ่ายแล้วไม่เอา
โดยเฉพาะถ้ารูปไม่สวยที่เราไม่เอาคงไม่อยากให้ใครเห็น แต่ถ้าไม่เอาจริงๆ
บางเจ้าก็จะลดราคาให้ บางเจ้าก็เอามาทิ้งไว้ตามโรงแรม ให้เก็บกลับไปฟรี
แต่ป้าว่ามันเอาเปรียบเขาราคาขนาดนี้ก็เอาหมดทุกที ตกแห่งละ20รูป
มากกว่าใครเขาเพื่อน

ที่ทัชมาฮาลมีเจ้าหน้าที่ดูแล เดินไปมา กล้องก็ไม่มี แต่จะเข้ามาช่วยหาที่ถ่ายให้
แนะนำจุดสวยๆ บางครั้งก็เอากล้องของเรานี่แหละถ่ายให้ เดินตามไปเรื่อย
เสร็จสรรพเราก็ต้องจ่ายให้เขาอยู่ดี แต่เพราะเขาเป็นเจ้าถิ่น รู้มุมเก๋ๆ เลือกได้ดีกว่าเรา
มีม้านั่งอยู่ตัว เรียกว่า Diana Bench นัยว่าเป็นม้านั่งที่ไดอาน่ามาประทับฉายพระรูป
ใครไปใครมาต้องมานั่งถ่ายซ้ำรอยเดิม ต่อคิวกันยาวเหยียด (บ้าเจ้าเหมือนกันทั้งโลก)



ไดอาน่าเบนช์ที่ว่า เอหรือไม่ใช่ น่าจะเป็นอีกตัวมากกว่า แต่ตัวนี้คิวสั้นกว่า



ท่าตลกๆนี้ฮิตมาก จับจุกกันสนุก รูปนี้ดูอ้วนกว่าตัวจริงมากๆคงเป็นเพราะชุด
แต่ก็แดงดีนะคะ (เขาว่าถ้าใส่แดงแล้วถ่ายคู่กับทัชมาฮาลจะดูสวยสด เพราะ
ทัชมาฮาลสีขาวกระมัง)

ขออภัยรูปใหญ่ไปนิด แสกนกรรมเอ๊ยไม่ใช่แสกนมาจากรูปที่ช่างภาพ
อินตระเดียถ่ายให้ ไม่ได้ย่อล่ะค่ะ โชว์เลย เพราะป้ายังงงๆ ง่วงๆอยู่เลย


โรงแรมไม่เห็นอ้ะค่ะคุณJessica ไม่ทราบว่าเป้นอันเดียวกับWater Palace
หรือเปล่า ถ้าเป็นอันนั้นยังมีน้ำอยู่นะคะ

บ้านเมืองอินเดียแถบที่อังกฤษเข้ายึดครองมีตึกรามบ้านช่องสวยงาม
แต่ถูกทิ้งไว้รกร้าง น่าเสียดาย มีลูกกรงที่เป็นทั้งเหล็กและปูนสวยงามมากๆ

แต่ตามสี่แยกมีเด็กนั่งอึอยู่กลางสี่แยกเลย ส่วนผู้ใหญ่หนุ่มๆก็ยืนฉี่
เข้ากำแพงตามท้องถนแบบไม่อายฟ้าดิน บ้านเมืองเลยเหม็นสุดๆ

ฝุ่นเยอะมาก ว่าเมืองไทยเยอะแล้วยังสู้ไม่ได้ ญี่ปุ่นไม่มีฝุ่นเลย

มีเรื่องเล่าต่อว่าไปซื้อพลอยที่เมืองชัยปุระ ทำด้วยอเมทิสเป็นดอกๆ
ทำเป็นกำไล ยาวไปนิด เลยสั่งตัดออกสองดอกเอาไปทำต่างหู
เขาว่าไม่เสร็จหรอก เราบอกว่าไม่ได้เราจะกลับไปเดลลีแล้ว เขาว่า
มัดจำไว้บางส่วน พรุ่งนี้จะนำส่งให้ถึงโรงแรมพร้อมเงินที่เหลือ ก็ยัง
งงๆไม่เชื่อใจเท่าไหร่ แต่ไกด์รับรองแข็งขัน เลยมัดจำไว้เป็นเงินไทย
สักสามพันบาท เดินทางมาเดลลีใช้เวลาไปค่อนวันอย่างที่เล่าระยะทาง
แค่250กิโล ออกบ่ายสองโมงมาถึงเอาสองทุ่ม นึกในใจว่าใคร้มันจะเอา
มาส่ง เพราะขาดเงินอีกประมาณสี่พันกว่าบาท ปลงว่าถ้าไม่มาก็เสียแค่
สามพันกว่าบาท ที่ไหนได้วันรุ่งขึ้น เขามาส่งถึงสถานฑูตตามเวลานัด
ทำมาให้เรียบร้อยตามต้องการ ไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาอย่างไร แต่ทำให้รู้ว่า
คนอินเดียหากรับปากแล้วไม่เคยผิดสัญญา (ไม่เหมือนจีนฮ่องกง ที่จ้อง
แต่จะโกง)

ซื้อของที่อินเดียก็เหมือนกับซื้อของที่เมืองจีน เพราะต่อได้สะบัด
ห้ำหั่นราคากันสุดฤทธิ์ สนุกมากๆ หากไปร้านไหน เขาบอกเป็นฟิกซ์ไพรซ์
ต่อรองไม่ได้ก็ไม่ซื้อเพราะไม่สนุกเอาเสียเลย ของไม่ได้อยากได้
แต่ชอบต่อรองราคา มันสนุกดี เพชรเมืองอินเดีย เขาว่าฝีมือเจียรนัยสู้ไทย
ไม่ได้ แต่ราคาถูกมาก มีพ่อค้านำมาเสนอขายถึงสถานฑูต เขาว่าเพิ่งกลับ
มาจากเมืองไทย นำมาออกงานjewelry ที่เมืองทอง ขายดีมาก เหลือกลับมาไม่มาก ร้านผ้าก็ขนมาให้ดูด้วย เลือกผ้าพันคอกันสนุก

อินเดียหากเลือกได้ไม่เคยคิดกลับไปอีก คราวก่อนไปสังเวชนียสถาน
ก็ว่าเข็ดแล้ว แต่คราวนี้เพื่อนที่เป็นญาติกับท่านฑูตว่าท่านครบวาระจะ
กลับเมืองไทยตุลานี้แล้ว น่าจะมาเที่ยวกัน เขามาแล้วเมื่อต้นเดือน
คราวนี้ชวนเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่ามากันนับได้ 13คน สนุกดี แต่คง
ไม่กลับไปอีก

ที่ประทับใจที่สุดก็คงเป็นทัชมาฮาล ที่พอเดินเข้าไปเห็น ภาษาพระ
เขาเรียกว่าเกิดปีติ วูบวาบไปหมด เห็นความสวยงามอลังการบวกกับ
ตำนานการสร้าง สมกับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ส่วนนครวัดนครธมก็ไปดูมาแล้วค่ะ ตระการตาไปคนละแบบ
แต่อันนี้ยังดูใหม่ สวยกว่าซากเก่าๆที่นครวัดนครธม

อ้ออีกที่หนึ่งที่เกิดวูบวาบคือศาสนสถานของฮินดู มีเทพหลายองค์
เดินเข้าซื้อดอกไม้เดินเข้าไปนมัสการ เขาไม่ให้ถ่ายรูป มีเจ้าแม่กาลี
หนุมานเป็นอาทิ แต่ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคงเป็นพระพิฆเนศวร์ที่ภรรยา
ท่านฑูตว่าขออะไรก็ได้ ไม่ต้องบน ให้ไปไหว้แล้วเอ่ยชื่อเสียงเรียงนาม
แล้วตั้งใจขอ ตรงหน้าพระพิฆเนศวร์ นี่ก็เป็นอีกที่ที่รู้สึกวูบวาบคงมี
ความ ศักดิ์สิทธิ์สูง เลยตั้งใจขออย่างที่ใครๆก็ต้องรู้ว่าป้าปากเกร็ดจะขออะไร หวังไว้ว่าถ้าศักดิ์สิทธ์จริงคงต้องกลับไปนมัสการขอบคุณอีกรอบ
แฮ่ม

อนิจจาประเทศไทย

ID # 839608 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-22 15:51:20 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ไม่ผิดจากที่เขาเรียกว่าตอแหลแลนด์จริงๆ ปัญหาของประเทศนี้
คงอยู่ตรงนี้แหละ คือชอบคิดแทนคนอื่น แทนที่จะถามเจ้าตัว
ว่าเขาต้องการอะไร กลับคิดเอาเองว่าเขาควรได้รับอะไร

อนุสนธิจากเรื่องเด็กไร้สัญชาติที่ไปแข่งพับเครื่องบินกระดาษ
กลับมา รัฐบาลคิดเองเออเองว่าต้องตกรางวัลฐานไปสร้างชื่อ
ให้ประเทศด้วยการให้ทุนเรียนต่อจนจบปริญญาเอก

โอ้แม่เจ้าชาวไทย ทำไม้ทำไมมันถึงได้งี่เง่าขนาดนี้ เด็กอายุ
12 เรียนอยู่ชั้นอะไรหรือ ยังไม่ถึงชั้นมัธยมล่ะกระมัง ความรู้
ความสามารถมีแค่ไหนไม่รู้ เพราะสาขาวิชาที่ไปชนะมาเป็น
แค่ทักษะทางการพับกระดาษ วิชาการ อาจไม่ได้เรื่อง จะเรียน
เก่งหรือไม่ก็ยังไม่รู้ อาจเอาแต่นั่งพับกระดาษอยู่วันทั้งวัน
หนังสือหนังหาไม่สนใจ

แล้วไปให้ทุนเรียนถึงปริญญาเอก แล้วไอ้ปริญญาเอกเนี่ย
มันเรียนกันได้ทุกผู้ทุกคนหรืออย่างไร ให้เขาไปแล้วเขาไม่สนใจ
ไม่อยากได้ ไม่อยากเรียน มิเป็นการกดดันหรือ

บ้าไปกันหมดแล้ว เออถ้าว่าได้โอลิมปิกเหรียญทองมาก็ไม่แปลก
เพราะได้แสดงความสามารถให้ปรากฎว่าเก่งทางด้านวิชาการ
แต่เด็กชายพับกระดาษเก่ง ไปบังคับเขาเรียนปริญญาเอกทำบิดาท่าน
ทำไมหรือ ความรู้ความสามารถมันเรียนได้หรือก็ยังไม่รู้

เคยถามเขาไหมว่าเขาอยากได้อะไร เขาเป็นเด็กไม่มีสัญชาติ
นั้นแหละปัญหาสำคัญ ไม่สามารถทำอะไรตั้งหลายอย่างในประเทศนี้
เช่นว่าแม้การเข้าโรงเรียนปกติยังยากเลย ไอ้หนังสือเดินทางน่ะก็เห็น
อยู่ ว่าถ้าไม่ได้การอมุมัติพิเศษ ก็คงทำไม่ได้

ก็แค่ให้สัญชาติเขาไป ก็ดีถมถืด หากเขาเรียนเก่งก็จะมีลู่ทาง
เรียนได้เองแหละ ดันไปคิดเองว่าให้เรียนถึงปริญญาเอกดีกว่า
เป็นอย่างนี้ทุกที ไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของ
คนได้ เพราะคิดไม่เป็น ถามไม่เป็น คิดแต่ว่าตัวกูของกูนี่แหละเป็น
ใหญ่ ตัดสินชะตาชีวิตแทนคนอื่นได้

เด็กที่ได้ทุนหวยไปเรียนที่ต่างประเทศ เป็นอีกตัวอย่างของความงี่เง่า
ของคนชั้นปกครอง ทุนนี้แหละที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริง
เพราะเด็กที่ได้เป็นเด็กที่เรียนเก่งเรียนดี มีความประสงค์จะไปเรียนต่อ
จริงๆ แต่อนิจจาเรียนจะจบแล้ว เพียงเพราะเกลียดขี้หน้าคนให้ทุน
ต้องการทำลายล้าง เลยหยุดส่งเสียมันกลางคัน ดื้อๆอย่างนั้นเอง

ตราบใดที่เราหัดฟังเสียงชาวบ้านว่าเขาต้องการอะไร ประเทศคงมีความสุข
มากกว่านี้ เลิกคิดเอง แล้วยัดเยียดให้เขาเถอะ ดูง่ายๆ ไอ้ที่โกงกันจนเหม็นโฉ่
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอะไรนั่นก็อีก อยู่ดีๆ ก็มีสินค้าไม่กี่อย่างไปให้
ชาวบ้านเลือก (เพราะโกงกินกับบริษัทเจ้าของสินค้ามาเรียบร้อยแล้ว)
แทนที่จะให้เขาคิดเองทำเองว่าชุมชนอยากได้อะไร ดั๊นต้องไปเอาตู้น้ำกด
มากันทุกหมู่บ้าน ทั้งๆที่น้ำประปา เขาคุยโขมงโฉงเฉงว่า"น้ำประปาสะอาด
ดื่มได้อย่างปลอดภัย" เฮ้อ แต่ต้องมีตู้น้ำกด ไม่งั้นมันโกงกันไม่ได้

เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น

ID # 837610 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-15 20:19:34 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


วันนี้ตั้งใจจะไปสำเพ็งของญี่ปุ่นนะคะ ไปมาหลายครั้งแล้วแต่ก็หลงทุกครั้ง
สถานีน่ะรู้ล่ะค่ะว่าคือ Bakuracho แต่ออกทิศไหนล่ะเนี่ย คนไทยเอ๋หรือป้า
คนเดียว ไม่รู้จักทิศ หลงทางออกทุกทีไป

เดินเสียแย่ ถามคนเขาไปทั่ว ได้ความว่าคนญี่ปุ่นน่ารักที่สุด พูดไม่ได้แต่ก็
ช่วยสุดฤทธิ์ จนถึงขั้นเดินพาไปส่งถึงที่ สิ่งนี้แหละค่ะที่คนไทยไม่มี service
mind เราไม่เคยมี พูดไม่ได้ก็ไม่พยายามจะช่วย ได้แต่หัวเราะแหะๆ แต่ไม่
ได้ช่วยอะไรเลย

พูดไม่ได้ไม่เป็นไร ไปหาคนพูดได้มาช่วย กระเหรี่ยงไทยเลยรอด หากอยาก
เป็นเมืองท่องเที่ยว ต้องสร้างอันนี้ค่ะ อาหารหารกินไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ใช้ดูรูปกดคูปอง จ่ายเงินส่งให้คนขาย เขาก็ทำตามนั้น ไม่ต้อพูดสักแอะ

ทำอย่างไรให้ไทยเป็นได้อย่างนี้ เงินทั้งนั้น เขาเอามาถึงที่ แทบไม่ต้องลงทุน
ช่วยกันนะคะ คนไทยในสายตาโลกยังดูดีอยู่

เล่าเพิ่มเติมนะคะ มาคราวนี้ติดตามสามีค่ะ เขามาประชุมสมาคมมาตรฐาน
เอเชียหรือไงเนี่ยแหละค่ะ

วันแรกได้ไปงานเลี้งรับรอง เขาให้เอาภรรยาไปด้วย เลยได้เห็นความแตก
ต่างระหว่างยาจกกะคนรวย

แม้ญี่ปุ่นจะประสบปัญหาเศรษฐกิจแต่ก็ต้องนับว่ารวยกว่าเรา โหงานเลี้ยง
จุ๋มจิ๋มน่ารัก ปีที่แล้วจัดเมืองไทย โน่นพาไปล่องเรือถึงอยุทธยา เลี้ยง
อีกทีในโรงแรม มีการแสดงเพียบ

คนไทยชอบจริงเรื่องหน้าใหญ่ใจโตเสียเท่าไหร่ไม่ว่าขอให้ได้หน้าเสียก่อน
เราชอบสร้างภาพจริงๆ มีต้นแบบการสร้างภาพนี่เนอะ ไปแระ


ภาพประกอบ ...งานเลี้ยงจุ๋มจิ๋มน่ารัก

เก็บข่าวต่างประเทศมาฝากกัน

ID # 836552 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-11 08:20:33 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


จากหนังสือพิมพ์"โลกวันนี้"นะคะ น่าสนใจ เลยนำมาลง

เล่นTwitterทำสมองเสื่อม




ปักกิ่ง : ผลการศึกษาของนักวิจัยมหาวิทยาลัยสเตียร์ลิ่งเปิดเผยว่า
เว็บไซต์สังคมออนไลน์บางเว็บไซต์สามารถทำให้ผู้เล่นมีสติปัญญา
น้อยลงได้ ขณะเว็บไซต์อื่นๆอาจให้ผลในทางตรงข้าม โดยผู้เล่นจะ
มีความจำดีขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่ผู้เล่นจำเป็นต้องจัดการกับ
ข้อมูลจำนวนมากอยู่ตลอดเวลา

ดร.เท รซี่ แอลโลว์เวย์ นักจิตวิทยาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความจำ
มนุษย์ กล่าวว่า เว็บไซต์สังคมออนไลน์อาจส่งผลเสียต่อความจำ
ของมนุษย์ได้ แต่ไม่ใช่เว็บไซต์จะเป็นอันตรายทั้งหมด ทั้งนี้
ดร.แอลโลว์เวย์ได้ยกกรณีศึกษาเพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า
Facebook อาจมีส่วนกระตุ้นให้ผู้เล่นมีความจำที่ดีขึ้น เนื่องจาก
ผู้ที่เล่นเว็บไซต์นี้จำเป็นต้องมีการจัดการข้อมูลในหัวอยู่ตลอดเวลา
แตกต่างจาก Twitter ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง
ในเวลานี้ที่อาจส่งผลในทาง ตรงกันข้าม เพราะการกระจายข่าวของ
Twitter ไปยังสมาชิกคนอื่นๆอาจมีผลให้ผู้เล่นมีกลไกการทำงาน
ของความจำที่ลดลง

ดร.แอล โลว์เวย์กล่าวเสริมว่า เหตุที่มองว่า Twitter เป็นอันตรายต่อสมอง
เพราะการส่งต่อข้อมูลโดยปราศจากโอกาสที่จะวางแบบแผนกับข้อมูล
เหล่านั้นไม่ เอื้อให้สมองมีโอกาสทำงาน นอกจากนี้ ดร.แอลโลว์เวย์
ยังโทษด้วยว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นตัวการสำคัญที่ทำ
ให้ระบบความจำของมนุษย์แย่ลง เช่น การมีโหมดบันทึกหมายเลข
โทรศัพท์ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำให้คนสมัยนี้ไม่ สามารถจดจำเบอร์
โทรศัพท์ของคนอื่นๆได้ ไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ชิดที่พวกเขาโทร.หาเป็นประจำ

ทั้งนี้ วิธีการฟื้นฟูความจำที่ดีที่สุด ได้แก่ การพยายามจดจำข้อมูลต่างๆ
ในชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ติดต่อ
กันเป็นระยะเวลานานๆก็มีส่วนช่วย ได้ เพราะเคยมีการวิจัยแล้วว่า โทรทัศน์
ส่งผลให้ผู้ดูมีสมาธิสั้น


ว้าย....ต้องเปลี่ยนไปเล่นFacebook แทนแล้วมั้งเนี่ย อีกข่าวนะคะ
น่าชื่นชม เป็นเด็กอยู่แท้ พอประเทศมีอิสระ ก็คิดอ่านอะไรดีๆเพื่อชาติได้

โซลาร์เซลล์จากเส้นผม


ลอนดอน : วัยรุ่น

เนปาล

หัวใสพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์จากเส้นผม
ราคาถูกเพียง 23 ปอนด์ คาดเป็นประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนพลังงานให้ชาติยากจนและทั่วโลก

ท่าม กลางความพยายามค้นหาวิธีสิ่งที่จะมาเป็นพลังงานทดแทนให้กับโลกกำลังพัฒนา
ล่าสุดมิลาน คาร์กี วัยรุ่นวัย 18 ปีในหมู่บ้านชนบทห่างไกลแห่งหนึ่งของเนปาล
ได้เสนอทางเลือกใหม่ที่คาดว่าจะช่วยเหลือประเทศกลุ่มโลกที่สามให้มีพลังงาน
ใช้อย่างง่ายๆด้วยสิ่งประดิษฐ์ของเขาและเพื่อนนักเรียน ซึ่งเป็นแผงโซลาร์เซลล์
ใหม่ที่ทำขึ้นจากเส้นผมมนุษย์ มีราคาถูกและสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าโดยไม่สร้าง
มลพิษให้กับโลก คาดว่าอาจมาปฏิวัติวงการผลิตพลังงานทดแทนได้ในอนาคต

คาร์กีเปิดเผยว่า เส้นผมมีเมลานิน สารสีภายในที่ไวต่อแสง และยังมีคุณสมบัติเป็น
ตัวนำไฟฟ้าที่สามารถนำมาใช้ในแผงโซลาร์เซลล์แทนซิลิกอ น ซึ่งเป็นส่วนประกอบ
ที่ มีราคาแพงได้ จากเหตุดังกล่าวทำให้แผงโซลาร์เซลล์มีต้นทุนเพียงประมาณ 23 ปอนด์ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 9 โวลต์ โดยเขาและเพื่อนๆเริ่มทดลองประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้
ภายในบ้านก่อน หลังจากนั้นใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าภายในหมู่บ้าน และเวลานี้คิดว่า
ผลงานของเขาน่าจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางทั่ว โลก รวมถึงผลิตขาย
ในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งเริ่มทดลองผลิตขายแล้วในหลายตำบลเพื่อทดสอบ
เพราะหากผลิตเป็นปริมาณมากราคาขายจะถูกลงอีกเหลือเพียง 1 ใน 4

ทั้ง นี้ เนปาลเกาะอยู่ในกลุ่มประเทศยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แปลกแท้ๆ ทำไมเหมือนกันหมดไม่รู้ ต้องเป็นประเทศยากจนทุกทีเลย เพราะอะไรหรือ หรือมีตัวสูบในพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง
และแม้ในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าใช้ยังประสบปัญหากระแสไฟฟ้าขาดแคลนราว 16 ชั่วโมงต่อวัน
แต่ต่อไปอาจได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เป็นผลงานจากมันสมองเยาวชน
ในประเทศ โดยแผงโซลาร์เซลล์ดังกล่าวสามารถใช้ชาร์จโทรศัพท์มือถือหรือ
ชุดแบตเตอรี่ที่ สามารถให้ความสว่างภายในบ้านได้ทั้งคืน


จ๊บข่าว ไปแระ เสียว

ถ้าอย่างนั้น

ID # 836046 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-09 10:29:56 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เปิดคำแถลงชี้มูลความผิดของปปชที่มีต่อ 4คน อดีตนายกฯสมชาย
อดีตรองนายดฯเชาวลิต ผบตร.พัชรวาท และอดีตผบชน.สุชาติ ได้
ความว่า
นายสมชายซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องบริหารบ้านเมือง
ให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเคารพสิทธิการ
แสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า
นายสมชายได้ติดต่อให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร
เปลี่ยนสถานที่ประชุมหรือเลื่อนการประชุมออกไป แต่ในการสลาย
การชุมนุมของตำรวจ นายสมชายไม่ได้สั่งการให้ตำรวจยุติการกระทำ
กลับให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงค่ำจนมีผู้ได้รับบาด
เจ็บและเสียชีวิต
ที่ประชุมจึงมีมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่าการกระทำของ
นายสมชายมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง
ผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


ส่วนอีกสามคนก็เหมือนๆกันแหละค่ะ ผิดข้อเดียวกัน เป็นไงคะ
หากการที่คุณสมชายอยู่ในตำแหน่ง แต่ไม่ห้ามปรามการสลายผิด
แล้วไอ้คนสั่งการจะลอยตัวเหนือปัญหาได้หรือคะ หรือว่ามันไม่เหมือนกัน
พวกหนึ่งเป็นลูกเทวดา เลยมีอภิสิทธิ์เป็นเทวดาไปด้วย สลายไม่ได้
แม้มีอาวุธครบมือ มาปิดล้อม ตะโกนว่า"ฆ่ามันๆ" ก็ต้องยอมสละชีพ
สังเวยมันหรือไงคะ

แล้วเหตุการณ์เมื่อสงกรานต์เลือด คนที่ถูกปืนเอ็ม 16 ไล่ยิงเป็นหมูหมาหรืออย่างไร
รัฐบาลและทหารถึงมีสิทธิ์จะเข่นฆ่าได้ตามใจชอบ ประเทศนี้ถ้าเล่นกันแบบนี้
มันก็เกินไปนะคะ มันอัดอั้นตันใจ ใกล้ระเบิดแล้ว

หนทางสร้างเศรษฐี

ID # 835197 - โพสต์เมื่อ : 2009-09-06 08:48:58 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


เช้าวันอาทิตย์ ในประเทศที่หม่นหมอง เศรษฐกิจยับเยิน
เชื่อว่าทุกคนคงอยากทราบวิธีการในการที่จะเปลี่ยนสภาพ
อันย่ำแย่ของตนเองให้กลายเป็นเศรษฐี ก็ใคร้จะอยากจะ
จนกรอบอย่างพอเพียงได้จริงไหมคะ เอาแค่กินให้พออิ่ม
ยังแทบจะไม่ได้ ยังให้พอใจในสิ่งที่ตัวมีอีก เฮ้อ คนพูดนี่
ไม่รู้จักความหิวเอาเสียเล้ย

ก่อนจะเล่าเรื่องหนทางสร้างเศรษฐี นึกขึ้นมาได้เลยจะเล่า
เรื่องนี้ก่อน

ครั้งหนึ่งมีคนขับรถของเจ้าใหญ่นายโตผู้หนึ่ง ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง
ตื่นมาขับรถแต่เช้า ขับรถให้เจ้านาย ข้าวปลาแทบจะไม่มีเวลาหากิน
จนมาวันหนึ่งเกิดทนไม่ไหว เนื่องจากหิวมากจนเริ่มปวดท้อง ด้วยความ
เกรงใจเจ้านายสุดขีด จึงค่อยไเอ่ยอย่างเบาๆไปว่า"ท่านครับ ผมหิวมาก
เราจะไปกันอีกไกลไหมครับ ผมขอแวะหาอะไรรองท้องก่อนได้ไหม"
เจ้านายได้ยินแล้วงงมาก ด้วยธุรกิจหลายร้อยล้านกำลังคอยให้ไปสะสาง
จึงถามไปว่า"อะไรวะ หิว หิวมันเป็นยังไง ก็เห็นอยู่ว่ากำลังรีบ จะอะไรกันนักหนา"
คนขับนึบขึ้นมาได้ว่าโออันเจ้านายนั้น รวยมาตั้งแต่เกิด จนมาทำธุรกิจ
ก็ประสบความสำเร็จอีก ชาตินี้คงไม่เคยหิวเป็นแน่ แล้วจะทำอย่างไรดี
นึกไปนึกมา จึงคิดออกแล้วบอกเจ้านายไปว่า "ท่านครับ ไอ้ความหิวเนี่ย
มันก็เหมือนกับเวลาท่านปวดฟันนั่นแหละครับ" เท่านั้นเอง เจ้านายรีบบอกว่า
"จอดๆ ร้านข้างหน้านี่เลย หาอะไรกินเสียก่อน แล้วก็ไม่บอก"

เห็นไหมคะ เมื่อไม่เคยก็ไม่รู้ ยิ่งไม่พยายามจะเข้าใจ ยิ่งหลงทางไปกันใหญ่
อุ๊ยเล่าเพลินลืมบอกหนทางเป็นเศรษฐีไปเสียได้ แต่เดี๋ยวกลับมาเล่าใหม่นะคะ
เพราะตอนนี้คนเล่าปวดฟัน เอ๊ยไม่ใช่ หิวข้าวต่างหาก เดี๋ยวมาต่อนะคะ


ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้รับเหมือนกันค่ะ แต่เพราะเด็กทำงานเป็นคนใหม่
ยังไม่ได้บอกเลยต้องไปอำนวยการเอง ต้มข้าวต้มก็ยังไม่เสร็จ
ส่วนลูกสาวก็วุ่นทำขนม เลยแว่บมาเล่าต่อ กลัวผู้อ่านจะกระวนกระวาย
อยากเป้นเศรษฐีกันแย่

เรื่องหนทางสร้างเศรษฐีก็มีอยู่สามวิธี เลือกเอากันเองนะคะ ว่าวิธีไหน
จะเหมาะกับจริตตนเองมากที่สุด เพื่อเราทุกคนจะได้กลายเป็นเศรษฐี
และพูดได้เต็มปากว่า "เราพอแล้ว" อ้อ อันนั้นเขาให้แต่อภิมหาเศรษฐีพูด

เรื่องแรกนะคะ มีอยู่ว่า กระทาชายนายหนึ่ง กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
อย่างน่าอัศจรรย์ นักข่าวจึงไปทำการสัมภาษณ์ ถึงกลเม็ดเคล็ดลับที่กลาย
เป็นเศรษฐี เพื่อว่าคนอื่นจะได้ทำตามบ้าง

เมื่อเดินทางไปถึงคฤหาสน์อันใหญ่โต หลังจากนัดแนะว่าจะมาทำสกู๊ปข่าว
ท่านเศรษฐีใหม่ก็ดีใจหาย ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

พร้อมกันนั้นก็เริ่มเล่าชีวประวัติของตนก่อนที่จะกลายมาเป็นเศรษฐี
โดยเขาเริ่มเล่าว่า สมัยเด็กๆ เขาใช้เวลาว่างหลังจากเรียนด้วยการ
ไปเดินตามไซต์งานก่อสร้าง และก้มหน้าก้มตาเก็บตะปูที่ร่วงหล่น
รวบรวมได้ก็เอาไปขาย เก็บเงินเก็บทองได้

แม้เมื่อโตแล้ว ว่างเมื่อใดเขาเป็นต้องไปเดินตามไซต์งานเสมอ
มองหา สิ่งที่ช่างมักละเลยทำตกหล่นไว้ แต่ก็มักจะกลายเป็นเงิน
สำหรับเขาได้เสมอ

น่าตื่นเต้นนักข่าวเริ่มคิดในใจว่าต้องใช้เวลาเท่าใดหนอจึงจะพอทำ
ให้ตนเองแปลงสภาพจากนักข่าวต๊อกต๋อยกลายเป็นเศรษฐีได้
หากเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ จะทันชาตินี้ไหมหนอ ปากก็เอ่ยถามไปด้วย
ความตื่นเต้นว่า "แล้วท่านใช้เวลานานเท่าใดคะ ที่เฝ้าเก็บของตามไซต์งาน"

ท่านเศรษฐีมองหน้าคนถามอย่างครุ่นคิด พร้อมเอ่ยปากด้วยเสียงนุ่มลึก
ว่า" ไมนานเท่าไหร่หรอกครับ เพราะคุณพ่อผมท่านเกิดเสียชีวิตกระทันหัน
สมบัติทั้งหมดของท่านจึงตกมาเป็นของผม ผมเลยกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที"

แป่ว!!!!!!!



เรื่องที่สอง ก็ยังเป็นนักข่าวสาวคนเดิมแหละค่ะ หลังจากผิดหวัง
จากหนทางสร้างเศรษฐีของรายแรก เธอทราบว่ามีเศรษฐีชรา
อีกรายรวยมาก แต่ใช้ชีวิตซอมซ่อ แต่ใครๆก็ลือว่าแกมีเงินมากมาย
อย่ากระนั้นเลย เดินทางไปสืบความจริงดีกว่า

เมื่อไปถึงบ้านท่านเศรษฐี พบว่าบ้านก็ไม่ใหญ่โตนัก ติดจะดูเก่าๆด้วยซ้ำไป
เฟอร์นิเจอร์หรือก็ดูไม่ค่อยหรูหรา เมื่อไปถึงและได้รับเชิญให้นั่งคุยกัน
เธอจึงเริ่มถามคำถามว่า"ท่านทำอย่างไรจึงได้มีเงินเก็บมากมายคะ?"

เศรษฐีชรามองหน้านักข่าวสาวแล้วพูดขึ้นมาว่า"เรื่องมันยาวนะหนู"
นักข่าวทำเสียงกระตือรือร้นว่า"ไม่เป็นไรค่ะท่าน คืนนี้หนูว่าง ฟังท่าน
เล่าชีวิตของท่านได้ทั้งคืน" เศรษฐีชราจึงว่า" งั้นเราคงต้องปิดไฟก่อน
ล่ะหนู บอกแล้วว่าเรื่องมันยาว เปลืองไฟนะ"

โอนักข่าวนึกในใจว่า ไม่ต้องฟังแล้วละมั้ง ขี้เหนียวขนาดนี้ ก็รู้แล้ว่า
ทำไมมีเงินเก็บแยะ


เรื่องสุดท้ายนะคะ เมื่อนักข่าวผิดหวังกันเส้นทางสร้างเศรษฐีของสองรายแรก
ก็ตั้งใจว่า เธอจะไปสัมภาษณ์คนอีกคนเดียว ถ้าไม่ได้เรื่องอีก
เธอจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำสกู๊ปข่าวเรื่องนี้ทันที

รายสุดท้ายที่เธอเดินทางมาสัมภาษณ์ อยู่บ้านในย่านคนรวย
บ้านช่องดูช่างสมกับความเป็นเศรษฐีของเขาเป็นยิ่งนัก

เมื่อเดินทางไปถึงพบว่าชายหนุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าดูดีมาก
ผิวพรรณหน้าตาก็บอกลักษณะความเป็นเศรษฐีแท้ๆ เมื่อมีโอกาส
ได้คุยกันเธอไม่รอช้าที่จะยิงคำถามตรงเลยว่า"ท่านทำอย่างไรถึง
กลายเป็นเศรษฐีคะ?"

ชายหนุ่มจ้องหน้านักข่าวแล้วถอนใจ ตอบเสียงเบาหวิวว่า"เมื่อก่อน
ผมเป็นมหาเศรษฐีนะครับ หลังจากไอ้เมียเลวมันฟ้องหย่าผม แบ่งสมบัติ
ผมไปครึ่งหนึ่ง ผมก็เลยกลายมาเป็นแค่เศรษฐีนี่ไงครับ" แป่วอีกแล้ว!
เฮ้อ


เป็นไงคะ หนทางสร้างเศรษฐีสามเรื่องพอจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ
กันบ้างไหมคะ แต่อย่าถามถึงหนทางการเป็นอภิมหาเศรษฐีนะคะ
เขาว่าเรื่องนั้นต้องไปถามหาความจริงกันที่ตอแหลแลนด์ ดินแดนที่
ไม่ต้องทำอะไรก็ เป็นอภิมหาเศรษฐีได้

ผม มีนิยามของเศรษฐีเฉพาะตัวเองว่า เศรษฐีคือคนที่มีเหลือแล้วเอาไปแจกจ่ายคนอื่น ส่วนคนที่มีเงินมากแต่ไม่ให้คนอื่นแถมบางทียังเที่ยวหากินกับคนจนๆอีก พวกนี้ผมไม่นับเป็นเศรษฐีครับ


อ่านคำตอบของคุณพ่อลูกสี่แล้วนึกได้อีกเรื่องหนึ่งคะ
อันนี้เป็นนิทานที่พระเล่าให้ฟังนะคะ จำไม่ได้แล้วว่าพระ
องค์ไหนเล่า เพราะเป็นนับถือคำสั่งสอน ไม่ได้ยึดติดตัวบุคคล

เรื่องมีอยู่ว่าในประเทศอินเดียนะคะ มีขอทานคนหนึ่ง
ได้ไปขอเข้าพบท่านเศรษฐี เพื่อหวังจะขอแบ่งทานสักเล็กน้อยเพื่อ
ไปประทังชีวิต เศรษฐีใจดีก็ไม่ว่าให้รออยู่ก่อน บอกกำลังสวดมนตร์อยู่
เมื่อสวดเสร็จแล้วจะออกมาบริจาคทานให้ ขอทานจึง เฝ้าคอยอยู่หน้าห้อง
ที่ท่านเศรษฐีสวดมนตร์ ซึ่งก็กินเวลานานมากๆ และเศรษฐีก็สวดดังมากๆ
จนได้ยินออกมานอกห้อง คำที่ขอทานได้ยินคือ คำสวดภาวนาที่ท่าน
เศรษฐีขอนั่น ขอนี่มากมายไม่รู้จบ เขารอนานจนเบื่อ เมื่อท่านเศรษฐี
เสร็จภาระกิจการสวดอ้อนวอนพระ ออกมาเตรียมหยิบเงินทำทาน
ขอทานจึงเอ่ยว่า "คงไม่ขอรับเงินจากท่านหรอกขอรับ เพราะเท่าที่ฟังดู
ท่านขาดแคลนมากกว่าเราอีก เราแค่อยากมีอาหารกินพอประทังชีวิต
เท่านั้นเอง แต่ได้ยินท่านสวดขอมากมาย เราเชื่อว่าท่านต้องขาดแคลน
มากกว่าเราแน่นอน" ว่าแล้วชายขอทานก็เดินจากไป


เป็นไงคะ เรื่องนี้ก็สนุกนะคะ เป็นอย่างที่คุณพ่อลูกสี่ว่า คนรวยคือคนที่รู้
จักพอ คนที่ไม่พอ ไม่รู้จักแบ่งปัน อยู่ด้วยความโหยหิว ทั้งเงินทองและ
ความรัก หาความสุขไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ