วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อุ๊ยเขายังไม่รับรองผลการเลือกตั้งซ่อมอีกหรือคะ

ผ่านมาก็ตั้งเกือบสามอาทิตย์แล้ว แค่เลือกตั้งซ่อมนะคะ
มีอยู่แค่เขตเดียว ตรวจสอบอะไรกันนักหนา สงสัยมีเรื่อง
ร้องเรียนมากมาย กองท่วมหัวท่วมหู แต่ละเรื่องคงเด็ดๆ
ทั้งนั้น เลยต้องตรวจสอบอย่างละเอียดหน่อย

ขนาดเจ้าตัวเขายังออกอาการเลยค่ะ ตามข่าว

"พนิช"ไม่หวั่นกกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้ง

ว่าที่ ส.ส.กทม.เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ ไม่หวั่นกกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้ง
เชื่อเมื่อไม่ได้ทำผิดหรือทุจริต จึงไม่ต้องกังวลอะไร อีกทั้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมด
ไม่เกี่ยวข้องกับตน แต่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม

นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ว่าที่ ส.ส.กทม.เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ ไม่หวั่นใจ
กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ออกมาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง
เชื่อเมื่อไม่ได้ทำผิดหรือทุจริต จึงไม่ต้องกังวลอะไร อีกทั้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไม่
เกี่ยวข้องกับตน แต่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม รวมถึงกรณีนายเทพไท เสนพงศ์
โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย
ซึ่งยอมรับอาจทำให้เป็นประเด็นได้ เพราะสิ่งที่นายเทพไทพูดอาจจะขัดกับกฎหมาย
แต่ก็หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจาก กกต.

ไม่แค่ขัดกม.หรอกค่ะผิดกฎหมายเต็มๆเลยล่ะค่ะ
มีอย่างที่ไหน พูดจาใส่ร้ายผู้สมัครคนอื่น ทั้งๆที่ศาล
ยังไม่ตัดสิน และการพูดอาจมีผลในการตัดสินใจของ
ประชาชนที่มีสิทธิ์ลงคะแนน กฎหมายระบุไว้ชัดเจน
ก็รอดูว่ากกต.จะหาทางแถไปอย่างไรอีก แล้วก็ขอโทษ
เป็นการพูดออกสื่อสาธารณะได้ยินได้รู้กันโดยทั่วด้วย
และโทานี้ก็ไม่จำเป้นต้องทำผิดเอง เพียงแค่คนอื่นไปทำให้
แต่มีผลกับการเลือกตั้ง ก็ต้องโดนอยู่ดี เรื่องอย่างนี้มีการ
ตัดสินให้เป็นบรรทัดฐาน(โดยไม่ต้องมีบัญญัติ) ไม่เช่นนั้น
เวลาซื้อเสียงหรือด่าว่าคนอื่นแล้วอ้างว่าเจ้าตัวคนสมัครไม่รู้เรื่อง
กันทุกรายสิคะ

หากเป็นพรรคอื่นกระทำการดังกล่าวรับรองโดนใบแดง
ไปตั้งแต่ยังไม่ถึงวันเลือกตั้งด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นพรรคพ่อพรรคแม่มัน
เลยพยายามทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่มันติดที่มีคนไปร้องไว้น่ะสิคะ

เรื่องมันเลยคาราคาซัง กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ประกาศผล
รับรองการเลือกตั้งก็ยังไม่ได้ ทั้งๆที่เจ้าตัว หน้าบานไปเป็นกิโลแล้ว
ฉลองไปก็คงหลายยกแล้วด้วย ซวยอิ๊บอ๋าย มีนายกฯ เอ๊ยโฆษก
นายกฯปากอมขี้ พ่นออกมาแต่ละทีเหม็นคลุ้งไปทั่ว

คิดก่อนพูด

[ภาพ: 7624_20100812news1.jpg]

เขาสอนกันนักหนาว่า"ให้คิดทุกคำที่พูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด"
เพราะเมื่อพูดออกไปแล้วคำพูดจะเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ ยิ่งสมัยนี้
เทคโนโลยี่มันก้าวหน้า เมื่อก่อน อาจเคยเชื่อว่า"คนไทยลืมง่าย"
แต่ด้วยเทคโนโลยี่ปัจจุบัน ต่อให้เจ้าตัวคนพูด อยากจะลืมสักเพียงใด
อ้อนวอนสื่อให้เลิกลงข่าว แต่คำพูดก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์

ลองคุ้ยด้วยอากู๋ ทั้งภาพทั้งข่าวทั้งคำพูดที่พล่ามออกไปไม่เคยหายไปไหน
ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเป็นคนดัง พูดอะไรไว้ไม่เคยถูกลืม ดังนั้นการจะพูดอะไร
จึงต้องคิดก่อนพูดมากกว่าคนธรรมดาสามัญ

โดยเฉพาะการพูดทำนองที่เป็นการแสดงปาฐก ยิ่งต้องมีการเตรียมการ
ใช่ว่าอยู่ดีๆถูกไมค์จ่อปาก คิดไม่ทันเลยหลุดปากไปสักหน่อย แต่นี่เป็น
การเตรียมมาพูด แสดงว่าต้องมีการกลั่นกรองเตรียมการมาอย่างดี

ยิ่งการออกมาแก้ข่าวว่า นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ยอมรับผิดกรณีคำพูด
ที่ไม่เหมาะสมที่กล่าวเปรียบเทียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสมือน
อภิสิทธัตถะ เตรียมไปขอขมามหาเถระสมาคม 20 ส.ค.


นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ได้เข้าชี้แจงต่อ คณะกรรมาธิการการศาสนา
ศิลปและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นประธาน
กรณีคำพูดที่ไม่เหมาะสมที่กล่าวเปรียบเทียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เสมือน "อภิสิทธัตถะ" โดยมีพระเทพดิลก เลขาธิการศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
แห่งประเทศไทย และประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา ผู้เสนอญัตติ
เข้าร่วมรับฟังด้วย

นายไพบูลย์ กล่าว ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่พระพุทธศาสนา ยอมรับคำพูด
ของตนได้สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย
ซึ่งตนยินดีที่จะขอโทษในสิ่งที่
ได้กระทำลงไป และพร้อมจะไปขอขมาต่อมหาเถระสมาคมด้วยตัวเอง
ในวันที่ 20 ส.ค. นี้




โถๆ อายุก็แก่เกินแกงแล้ว จะว่าพูดโดยไม่คิดได้อย่างไร จากคำชี้แจงก็บอก
แล้วว่าตั้งใจจะพูดยกย่องเช่นนั้น เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะสร้างความกังวล
ให้กับหลายฝ่าย มันไม่ใช่แค่สร้างความกังวลหรอกพ่อง มันยังสร้างความขัดเคือง
ที่คนเขาเห็นว่ามันเป็นการเลียกันเกินไป ไม่สมควรต่างหาก

ถ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก ก็ไปอย่าง สมอง ประสบการณ์มันยังน้อย ก็เลยพล่ามไปเรื่อย
แต่นี่อายุก็ไม่น้อย ผ่านการผ่านงานมาก็ไม่เบา ครั้งล่าสุดก็เป็นถึงรมต.พม.จะพูด
พล่อยๆได้อย่างไร การพูดก็รู้ว่าเตรียมการมาอย่างดีแล้ว อุตส่าห์ประดิษฐ์ประดอย
ถ้อยคำสวยหรู แต่เผอิญมันไม่ได้ผ่านสมองน่ะสิ

แก่จนป่านนี้ยังต้องให้สอนอีกหรือว่า ให้"คิดก่อนพูด"

อยากเขียนถึงลูกถึงหลาน

คงไม่ผิดที่จะเรียก"น้องเดียร์"ลูกเสธ.แดงว่าเป็นลูกเป็นหลาน
เพราะอายุอานามก็ไล่เลี่ยใกล้เคียงกับลูกๆของตัวเอง

จากข่าวสานต่อพรรคเสธ.แดง'เดียร์'ยืนข้างเสื้อแดง

ลูกสาว "เสธ.แดง" ประกาศเจตนารมณ์สานต่อพรรคขัตติยะธรรม พร้อมกับประกาศตนเป็นคนเสื้อแดงเต็มตัว
เตรียมทำกิจกรรมร่วมกับแฟนคลับของพ่อ เชิญชวนให้ร่วมสมัครเป็นสมาชิกพรรคให้ครบตามข้อกำหนดของ กกต.
ยืนยันส่งผู้สมัคร ส.ส. แน่ ชูนโยบายเปลี่ยนแปลงระบบยุติธรรมในประเทศไทย เล็งนำระบบลูกขุนมาใช้พิจารณาคดี
รู้ว่ายากแต่ต้องการลดความสองมาตรฐาน และหากพรรคได้ ส.ส. จะยืนเคียงข้างพรรคเพื่อไทยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล

อยากจะเตือนหลานเดียร์ว่า หากอยากเล่นการเมือง ไม่ต้องตั้งพรรคการเมืองหรอกลูก
จริงอยู่พรรคคุณพ่อตั้งเอาไว้ให้แล้ว การสานต่อสิ่งที่คุณพ่อทำไว้มันก็ดีอยู่หรอก
แต่มันไม่ใช่บริษัทห้างร้านนะลูก ไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องสานต่อ พรรคการเมืองเป็นเรื่องยุ่งยาก
เป็นแหล่งรวม เสือสิงห์กระทิงแรด ล้วนเข้าการเมืองมาเพื่อหวังกอบโกย ตักตวงทั้งสิ้น

เว้นแต่ว่าลูกหวังจะเป็นพรรคเล็กที่เป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลตามที่เสี่ยสุวัจจน์
กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า'สุวัจน์'ฟันธงเสียงพรรคเล็กชี้ขาดตั้งรัฐบาล

แต่หนูรู้หรือเปล่าว่าการตั้งพรรคการเมืองมันยาก ไม่เชื่อหนูลองไปถามไอ้ลิ้มดูสิลูก
ไหนจะค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ต้องกล่าวถึงการเลือกตั้งหรอกลูก การแค่รักษาพรรคให้คง
อยู่ ก็ใช้แต่เงินทั้งนั้น เขาถึงได้ว่าหากจะเล่นการเมืองมันต้องมีการลงทุน ดังนั้น
เมื่อได้รับเลือกมาแล้วก็ต้องถอนทุน จนกลายเป็นนักการเมืองมูมมามไงลูก

ไม่เถียงหรอกที่มีคนรักเสธ.แดงมาก แล้วความรักก็ส่งต่อมาถึงหนู หากหนูลงรับเลือกตั้ง
ก็อาจได้รับเลือก ด้วยศักยภาพของตัวหนูเอง แต่จะให้ได้มาทั้งพรรค เอาแค่ 10คนน่ะ
ใครๆก็รู้ว่ายากเย็นแสนเข็ญ

หากหนูยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างพรรคเพื่อไทยจริง ทำไมไม่ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเขาเลยล่ะลูก
อาจได้รับการเสนอชื่อให้ลงรับเลือกตั้งในนามพรรค ซึ่งทั้งกระแสส่วนตัวของหนูเองและ
กระแสพรรค มันจะช่วยให้หนูได้เป็นสส.สานต่ออุดมการณ์ของพ่อได้เช่นกัน

ที่เขียนมานี่ก็เพียงเพื่อสะกิดเตือนเล็กๆว่า อย่าหลงไปตามกระแส อย่าหลงไปกับ
คนที่มาเชียร์มายุยงให้ตั้งพรรค(ดำรงค์พรรคอยู่ต่อไป)เลยลูก จากประสบการณ์ตรง
เมื่อก่อนคุณพ่อของผู้เขียนก็เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนะลูก ตั้งกว่า30ปีแล้วมั้ง
ครั้งนั้นก็ได้สส.ร่วมพรรคมา3คนนะลูก แต่หมดเงินไป มากจนไม่อยากจะคิด
ยิ่งรธน.ปัจจุบันที่เอื้อต่อการขายตัวง่ายๆของสส. เพราะเขาสามารถซื้อตัว
ย้ายพรรคได้โดยง่าย แล้วไอ้ที่หนูลงทุนลงแรงไป มันจะคุ้มหรือ เพราะในที่สุด
มันก็กระโดดหนีหนู ย้ายไปอยู่พรรคอื่น ก็เท่ากับว่าที่หนูลงแรงมาเสียเปล่า

ด้วยความรักและห่วงใยเยี่ยงหนูเยี่ยงลูกหลาน จึงเขียนมาติงเพื่อให้ฉุกคิดเท่านั้นเอง
อย่าโกรธ อย่าว่าเลยนะ เป็นเพราะหวังดีจริงๆ

1ประเทศ 2 มาตรฐาน

ภายใต้พรก.ฉุกเฉินเดียวกัน แต่เลือกปฏิบัติ ดูง่ายๆจากการจับบ.ก.ลายจุด
ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2553 ในการนำผู้ชุมนุม
นำผ้าสีแดงไปผูกที่ป้ายแยกราชประสงค์ แต่อ้างว่าเป็นการจับกุมเนื่องจาก
การชุมนุมของนายสมบัติ เมื่อวันที่ 21 พ.ค.53ยังอยู่ในช่วงที่ มีการประกาศ
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ ซึ่งห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และเมื่อถูกจับ
ไปกักขังแล้ว นายสมบัติได้ร้องขอให้ปล่อยตัว ศาลไม่อนุมัติเพราะกลุ่มผู้ร้องได้
ชุมนุมกันมากถึง 80 คน อีกทั้งมีการนำภาพถ่ายเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์
มาเผยแพร่ จึงถือว่าเป็นการชุทมนุมทางการเมือง


[ภาพ: news_img_340989_1.jpg]

ด้วยเหตุผลนี้จึงต้องจับกักขังไว้ต่อไป เรื่องนี้ไม่ว่ากัน หากเป็นเพราะข้อหาเก่า
ไม่ได้จับเพราะไปผุกผ้าแดง ต่อมายังได้จับนายนทีไปอีก แต่ก็ต้องปล่อย
เพราะนายนทีไม่ได้ผิดพรก. แต่ดันไปผิดข้อหาส่งเสียงดังในที่สาธารณะ
จึงทำได้เพียงปรับแล้วปล่อยตัวไป

หากจะจับนายสมบัติด้วยเรื่องผิดพรก. ก็ยังมีข้อสงสัยกับการการชุมนุม
ของเหลาสลิ่มที่จัดถี่มากในช่วงมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง แน่นอน
อยู่ภายใต้พรก.เดียวกัน ต่างกันเพียงแค่ไม่ได้ออกมาด่ารัฐบาลแต่ออกมาสนับสนุน
และเชียร์รับบาลอย่างออกนอกหน้า การชุมโดยพวกสลิ่ม นำโดยหมอตุลย์
มีขึ้นหลายครั้งแต่ก็ผ่านไปด้วยดี ไม่ต้องโดนข้อหาอะไร

แต่ที่มันน่าตกใจคือ การชุมนุมของคนพิการทางสายตาที่มาเรียกร้อง
เรื่องโคว์ต้าการจำหน่ายสลากกินแบ่ง แต่ตำรวจท่านไม่ฟังอีร้าค่าอีรม
เหมารวมว่าเป็นการทำผิดพรก.

ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมได้ฝ่าแผงเหล็กกั้นเข้าบริเวณถนนหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ริมคลองเปรมประชากร
โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจ
จำนวน 1 กองร้อยมาควบคุมการชุมนุม พร้อมเจรจาให้ถอยออกไป แต่เมื่อการเจรจา
ไม่เป็นผลจึงสั่งการให้ตำรวจพร้อมโล่ประจำกายเรียงแถวหน้า กระดานเพื่อผลักดัน
กลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกไปจากพื้นที่ ทำให้เกิดการปะทะกันเล็กน้อย โดยมีผู้ชุมนุม
บางส่วนโดดลงน้ำหนีการจับกุม


[ภาพ: 31391_133307080018816_100000185739604_37...9490_n.jpg]

นึกภาพเอาเถิดค่ะ ไล่คนพิการอย่างกับหมูกับหมา แต่เนื่องจากคนพิการเหล่านี้
ไม่มีพวกหัวหมอ ที่จะอ้างได้ว่า ไม่ได้มาชุมนุมทางการเมือง หลังเหตุการณ์สงบ
แกนนำผู้ชุมนุม 20 คนถูกจับดำเนินคดีฐานผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โทษจำคุก 2 ปี
ปรับ 40,000 บาท


[ภาพ: 12759857101275985796l.jpg]

เอ่อ ต่อมาได้มีการชุนุมของเหล่าพธม. (พ่อทุกสถาบัน) โดยอ้างว่าไม่ได้เป็น
การชุมนุมทางการเมือง แต่มาแสดงออกถึงความรักชาติ (อาการเดียวกับการออกมากู้ซาก
เอ๊ยชาติ เมื่อครั้งก่อนที่บุกยึดมันหมดทั้งทำเนียบ สถานีโทรทัศน์ สนามบิน ก็เห็นท่าจะ
หลุดรอดในทุกกรณี เพราะนาโย้ก มาร่วมด้วยทุกครั้ง (ตั้งแต่สมัยยังไม่เป็นนาโย้ก
จนมาเป็นแล้ว ก็ยังมาร่วมด้วยทุกครั้ง ฮา)

[ภาพ: CIMG1788.jpg&cat=17&pid=...ache=false]

ขออภัยหาภาพนาโย้กไปร่วมชุมนุมมาประกอบไม่ได้ค่ะ

ประเทศนี้มันจึงพิพักพิพ่วน พิลึกกึกกือ เล่นพรรคเล่นพวก จนมองไม่เห็นความ
ถูกผิด กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย มันจึงเป็นแค่เพียงกฎหมา ที่หมามันคอยเห่ารับกัน
เป็นทอดๆในยามดึกสงัดนั่นแล

ใครที่รู้..คนทำนั่นแหละรู้

อ่านเรื่องอ.ชา ท่านสอนเรื่อง"การรักษาศีล"
ท่านว่า

การรักษาศีลก็คือมาดูกาย มาดูวาจาของเรานี้
ใครจะเป็นคนดู จะเอาใครมาดู เวลาไปฆ่าสัตว์ใครเป้นคนรู้ มือนั้นหรือเป้นผู้รู้
หรือใครรู้ จะไปขโมยของเขา อย่างนี้ใครจะเป็นผู้รู้ จะไปประพฤติผิดในกาม
ใครหรือเป็นผู้รู้ก่อน กายนี้หรือมันรู้ เราจะพูดเท็จ อย่างนี้เป้นผู้รู้ก่อน เราจะพูด
คำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อย่างนี้ใครรู้ก่อน ปากนั่นหรือมันรู้ หรือคำพูดมันรู้ก่อน
ให้พิจารณาดู

ใครมันรู้ก็ให้ผู้นั้นแหละรักษามัน ใครเป็นผู้รู้ก็ผู้ผู้นั้นแหลพดู ผู้ใดรู้ผู้นั้นรักษา
เอาผู้ที่มันพาผู้อื่นทำนั่นแหละ

มันพาทำดี มันพาทำชั่ว เอาผู้ที่มันพาทำนั่นมารักษา...


ดังนั้นคนจะรักษาศีลได้ ต้องรู้จักตัวเองก่อน การมาบอกให้คนอื่นรักษาศีลห้า
โดยที่ตนเองยังไม่รู้เลยว่าตัวทำอะไรลงไป ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา
ว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่า ไม่ว่ากัน คนเราทำอะไรก็รู้อยู่เต็มอก ถึงจะปฏิเสธ
กับคนอื่นได้ แต่ในใจของตัวก็ต้องรู้อยู่ดี

เมื่อวานฟังคุณสุนัย จุลพงศธร พูดที่ราชบุรี แล้วชอบใจมาก เธอว่า
"อภิสิทธิ์ห้ามใครพูดว่า สั่งฆ่าประชาชน จะฟ้องทุกคนที่พูด แต่อยาก
ถามว่าถ้าไม่ได้สั่งฆ่า ทำไมไม่สั่งห้าม เมื่อรู้ว่าจะมีการฆ่า"

อันนี้น่าสนใจนะคะ ผิดกฎหมายด้วย เพราะเห็นเขาจะฆ่าคนแล้วไม่ห้าม
ต้องโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิด กฎหมายอาจเอาผิดไม่ได้ เพราะมีพรก.ฉฉ.
คุ้มกะลาหัวอยู่ แต่กฎแห่งกรรมคงเลี่ยงไม่ได้ ทำอะไรไป พูดอะไรไป ต้องรู้อยู่แก่ใจ
ปฏิเสธไม่ได้ ความจริงมันจะตามหลอกหลอน

เรื่องแปลกเรื่องที่สอง

ก็บอกแล้วประเทศนี้มันแปลก ปากบอกว่าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย
แต่ยังมีคนออกมาบอกว่า "ประชาธิปไตย ไม่ได้แปลว่าเสียงส่วนใหญ่สำคัญ"
อ้าวเพ่ งั้นต้องมาเรียนภาษาไทยกันใหม่ อธิปไตยแปลว่าเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ
ประชาธิปไตย จึงแปลว่าประชาชนเป็นใหญ่ เมื่อประชาชนเป็นใหญ่ แต่ทุกคนเข้่า
มาทำงานพร้อมกันไม่ได้ จึงต้องมีการเลือกตั้งผู้แทนของปวงชนเข้าไปทำหน้าที่
ในสภาผู้แทนราษฎร ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นสภาของผุ้แทนประชาชน ประชาชนเขา
เลือกเข้ามาเอง หวังว่าจะให้มาทำหน้าที่แทนตน เป็นปากเป้นเสียงแทนตน
และยังหวังว่าจะมาเป็นรัฐบาลเพื่อ ผลักดันนโยบายที่เอาไปใช้หาเสียงให้ได้
เห็นเป็นรูปธรรม

ดังนั้นหากประชาชนเลือกพรรคใดมาก ก็เพราะหวังว่าจะได้มาเป็นรัฐบาล
แต่แปลกแฮะ ประเทศนี้ไม่ยักจะเป็นอย่างนั้น เพรานักการเมืองผุ้คร่ำหวอด
ออกมาฟันธงว่า‘สุวัจน์’ฟันธงเสียงพรรคเล็กชี้ขาดตั้งรัฐบาล

โอ้ละหนอการเมืองไทย ก็ที่เป็นพรรคเล็ก เพราะคนเขาไม่ค่อยเชื่อถือ เขาเลยไม่ได้
เลือกกันมาให้มากๆ ใช่ไหมล่ะ แต่ประเทศนี้ กลับกลายเป็นว่า พรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้
กลายเป็นตัวชี้ขาดในการจัดตั้งรัฐบาล กล่าวคือ หากพรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้
ยกมือโหวตให้พรรคใด พรรคนั้นก็จะกลายเป็นรัฐบาลทันที โดยลืมความจริงที่ว่า
ประชาชนเขาไม่ได้ปราถนาเช่นนั้น

แล้วอย่างนี้จะว่าเมืองไทยไม่แปลกอย่างไรได้ รู้ทั้งรู้ว่าพรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้
ไม่ได้มุ่งหวังประโยชน์ของชาติและบ้านเมือง แต่เอาประโยชน์ของตัวและพวกพ้องเป็นหลัก ใครให้ค่าตอบแทนดีกว่า ตำแหน่งมากกว่า ก็จะเฮละโลไปเข้าข้าง แล้วประชาชนได้อะไร

เมื่อไหร่หนอ คนไทยจะยกเลิกอัตตา เลิกคิดว่า"ตัวกูของกู" หากรู้ว่าไม่แน่จริง
แทนที่จะออกไปตั้งพรรคเล็กๆไว้คอยเก็บเกี่ยว ก็น่าจะเข้าไปรวมกับพรรคใหญ่ๆ
ที่ตนเองศรัทธาและเชื่อมั่น เพื่อการเมืองไทยจะได้ ดูดีขึ้น ไม่ใช่คอยวิ่งกันฝุ่นตะหลบ
เวลาจัดตั้งรับบาล แต่อย่างว่าเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่อง"พูดง่ายแต่ทำยาก" ที่ทำให้ประเทศนี้แปลกอีกเรื่องหนึ่ง

มันแปลกดีนะ

ประเทศนี้มีอะไรแปลกๆมากมาย เช่นฆ่าคนตายเป็นผักปลา กลับบอกว่า
ไม่ได้ฆ่า สงสัยฆ่ากันเอง ทั้งๆที่ภาพถ่าย วิดีโอชัดเจน พยานบุคคลก็มี
ยังเถียงไปได้ข้างๆคูๆ(ทั้งที่เดี๋ยวนี้คูคลองถูกถมไปหมดแล้ว) พอเถียงข้างๆคูๆ
มันเลยไม่ตกคลอง เกิดความจริงตกคลั้กอยู่กลางถนน ประจานไปทั่วโลก

มีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาอีก ที่นับว่าประหลาดสุดๆ ก็จะเรื่องอะไรเสียอีก เรื่องการติดสินบน
เมียอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษของไทย หลักฐานเห็นอยู่ชัดๆ ผู้ใหญ่ของรัฐออกมาการันตีเอง
เลยว่าไม่เกี่ยวกัน ปฏิบัติหน้าที่เป็นคนทำการสืบสวนคนอื่นด้วยวิธีพิเศษต่อไปได้
สมดังชื่อกรมในภาษาอังกฤษ Double Standard Investigation หรือในชื่อไทยว่า
กรมสอบสวนด้วยวิธีพิเศษ (กล่าวคือ ตั้งข้อหาก่อนลอยๆ แล้วค่อยไปหาหลักฐาน
มาปรักปรำ หากไม่สำเร็จ ให้หาเรื่องใหม่มากลบเรื่องเก่าเพื่อให้คนลืม)

ที่ผ่านมานายธาริตทำหน้าที่ได้ดี และยังมั่นใจว่าจะทำหน้าที่ได้ดีต่อไป. นายสุเทพกล่าว
และว่า ไม่กังวลว่าการถูกดิสเครดิตของนายธาริตจะกระทบมาถึงความเชื่อมั่นของรัฐบาล
เพราะบอกว่าแล้วต้องรู้จักแยกแยะ


จ้าประเทศนี้ต้องแยกแยะจริงๆ ขนาดคนที่ต้องบริสุทธิ์และเป็นกลางในการทำงาน
มีเรื่องมัวหมอง เมียดูท่าจะทุจริต กินสินบาทคาดสินบน กลับบอกว่าไม่เกี่ยวกัน

แต่เอ๊ะ เมียซื้อที่ ผัวเซ็นยินยอม กลับทำไม่ได้ ต้องเอาผิดผัวถึงขั้นโทษติดคุก
2ปี (แล้วบอกว่าเป็นคดีอาญา ออกหมายจับไปทั่วโลก แต่เขาไม่เล่นด้วย
เพราะชื่อก็บอกว่าเป็นคดีอาญาแผนกนักการเมือง ถ้าแน่จริงต้องเอามาฟ้อง
ศาลอาญาปกติ ดูซิว่า เซ็นชื่อให้เมียซื้อที่(จากการประมูลที่ไม่ผิด คนซื้อไม่ผิด
คนขายไม่ผิด แต่จะเอาผิดคนเซ็นชื่อรับรองว่าเป็นเมีย)

เรื่องมันจึงแปลก รายหนึ่งซื้อโดยถูกต้อง เพียงแค่สามีเซ็นรับรองมีโทษผิดถึงติดคุก
แต่อีกรายถูกกล่าวหาว่าภรรยากินสินบน เอาล่ะยังไม่ได้มีการพิสูจน์ว่าผิดหรือถูก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าข่าวนี้ทำให้มัวหมอง ทางที่ดีน่าจะให้หยุดงานเอาไว้ก่อน เพื่อ
ทำการพิสูจน์ ไม่ใช่ออกมาถูลู่ถูกังว่า"ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่น" โอ้แม่เจ้า ท่าทางสีข้าง
คงถลอกปอกเปิกเสียละมัง จะว่าไม่กระทบความเชื่อมั่นได้อย่างไร

เพราะข่าวการเรียกรับสินบนเพื่อให้ปลดล็อก รายชื่อที่ถูกอาญัติเงินก็ดังกระหึ่ม
แม้ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ แต่ข่าวที่ออกมาก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของกรมนี้สั่นคลอน
ตะแบงทำกันต่อไป ไม่ว่า แต่กรณีนี้หลักฐานชัดเจนว่ารับเงินเขามาแล้วจริงๆ
ถึงจะดิ้นว่าเป้นค่าบริการบางอย่าง แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นค่าอะไร แล้วใครจะ
ไปมั่นใจว่า กรมนี้ทำงานกันอย่างบริสุทธิืยุติธรรม เฮ้อ

ยิ่งตัวหัวหน้ากรมออกมาให้ข่าวสื่อต่างๆนาๆ และในที่สุดก็พบว่าไม่จริง
เช่นกรณีจับนายสุรชัย เทวรัตน์ ออกมาแถลงข่าวคนเดียวว่าผุ้ต้องหารับสารภาพ
ว่าก่อกรรมทำเข็ญถึง 8 ครั้ง แต่พอนักข่าวไปเจอเตัวเป็นๆ นายสุรชัยกลับ
บอกนักข่าวว่า อย่าพูดถึงเรื่องการยิงM 79 เลย แค่ปืนธรรมดายังยิงไม่เป็น
แล้วอย่างนี้จะให้เชื่อมั่นการทำงานของกรมที่เอาชีวิตคนไปแขวนบนเส้นด้าย
ได้อย่างไร

หน้าด้าน

อาการหน้าด้านหน้าทน เดี๋ยวนี้เป็นกันมาก อาจเพราะเรามีผุ้บริหารที่หน้าด้านสุดๆ
คนเลยนึกว่าถูกต้อง ที่จะกลายเป็นคนหน้าด้าน จึงเห็นคนหน้าด้านทั่วบ้านทั่วเมือง

เริ่มตั้งแต่การที่ออกมาบอกว่า"ผมมาโดยถูกต้องตามระบอบรัฐสภา เพราะคนในสภา
โหวตให้ผมเป็นนายกฯ" ทั้งๆที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้ง

หน้าด้านลอกนโยบายเขามาแล้วไม่ยอมรับ ตีกินเอาเป็นผลงานของตน

หน้าด้านที่กลืนน้ำลายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พูดออกมาว่า"ไม่ว่าจะ1คน
หรือแสนคน ต้องฟังเขา" นี่ออกมาเป็นล้าน นอกจากไม่ฟังยังเอาทหารมาล้อมปราบ
ฆ่าคนตายเกลื่อนเมือง แต่กลับหน้าด้านบอกว่าไม่มีคนตาย (แรกๆว่างั้น)
พอศพมันเกลื่อนกลับบอกว่ายิงกันเอง

หน้าด้านที่บอกว่า"การทำร้ายประชาชน ไม่สมควรนั่งอยู่บนเก้าอี้"
แล้วยังถามอีกว่า"เป็นคนหรือเปล่า?" แต่มันฆ่าแล้วยังลอยหน้าอยู่ในที่
ที่ไม่ควรอยู่

ล่าสุดมีกลุ่มคนที่หน้าด้านอย่างไม่อายฟ้าดิน อ้างความรักชาติ ออกไปทวงแผ่นดิน
(ที่ไม่ใช่ของตัว)คืน

เรื่องเขาพระวิหาร ออกมาโวยวายว่าต้องเอาพื้นที่คืน บ้าหน้าด้าน ใครๆก็รู้
ว่าเราพ่ายแพ้ในระดับศาลโลก ถูกตัดสินว่า พระวิหารเป็นของกัมพูชา มา
ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 นี่ก็ผ่านมาเกือบ50ปีแล้ว ยังหน้าด้านโวยวายจะเอาคืน
ปลุกกระแสความรักชาติบ้าๆบอๆ โดยลืมไปว่าคนเขาไม่ไปร่วมด้วย เพราะ
เขาอาย อายที่จะเป็นคนหน้าด้านที่จะไปทวงสิทธิ์ที่ไม่ใช่ของตัว

ก็ขนาดแค่ออกไปทวงสิทธิ์เลือกตั้งยังถูกยิงหัวแบะ แล้วออกไปทวงสิทธิ์
ที่ไม่ใช้ของตัวเช่นพระวิหาร ใครเขาจะไป แต่รัฐบาลหน้าด้านก็ออกมารับลูก
อย่างดี ถ้อยทีถ้อยอาศัย คงเพราะหน้าด้านระดับเดียวกัน

หน้าด้าน แก้ผ้าโชว์ ก็ทำกันอย่างไม่อับไม่อาย หน้าด้านที่จะแสดงออกว่า
แยกไม่อกระหว่างดีกับชั่ว เห็นผิดเป็นชอบ กงจักรชัดๆดันเห็นเป็นดอกบัว
ชื่นชมคนเลวจนออกนอกหน้า อย่างนี้ไม่เรียกว่าหน้าด้านจะให้เรียกว่าอะไร

คุยกันฉันเพื่อน

ห้องรักฯกลับมาอยู่ในบ้านใหม่ อย่างไรก็ยังเป็นห้องรักฯหึหึ
คือเรารักกันเอง ในหมู่เพื่อนฝูงเล็กๆ จนถึงเล็กที่สุด

แต่ไม่น่าเชื่อไม่ว่าประชาไทจะแตกหน่อไปที่บอร์ดใหม่ที่ไหน
ก็ยังต้องมีห้องรักฯอยู่เสมอ น่าภูมิใจ และไม่ว่าจะอยู่ในบอร์ดใด
ห้องรักก็ยังคงเอกลักษณ์เหมือนเดิม สม่ำเสมอ คือคนตั้งกระทู้น้อย
คนอ่านน้อย ที่สำคัญคนตอบกลับน้อยยิ่งกว่า เหอๆ

บุคคลิกของห้องนี้มันเป็นอย่างนี้เอง วันนี้ไม่มีอะไรมากกว่า เข้ามา
ทักกทายแควนๆ ที่ประจำอยู่ห้องนี้

วันนี้ขอเสนอการทำขนมฝรั่ง แต่อร่อย แบบง่ายๆ คือพานาค้อตต้า
ทำเสร็จภายในไม่กี่นาที ไม่ต้องมีเตาอบ แค่ตู้เย็นก็อร่อยได้

เริ่มแรกต้องเตรียมข้าวของก่อนค่ะ มีอยู่ไม่กี่อย่างคือ
1.นมสดค่ะ จะยี่ห้ออะไรไม่จำกัด ที่เคยซื้อทานประจำนั่นแหละค่ะ
ใช้ไม่มาก แค่ 1ถ้วยเอง 250มล.
2.วิปปิ้งครีม อันนี้ก็ไม่จำกัดยี่ห้อ หากวันใดไปเจอยี่ห้อใดก็ใช้
ยี่ห้อนั้แหละค่ะ จำนวน มากหน่อย 500มล. ที่เขาวางขายกัน
จะมี2ขนาด คือ1ลิตรกะเล็กจิ๋ว(ประเภท 500มล. หายากมั้กมาก)
แต่ไม่เป็นไร เหลือเก็บไว้ได้ เอาไปราดหน้าซุปฟักทองก็ได้
วันหลังจะเสนอวิธีทำซุปฟักทองให้อีกที กลับมาเรื่องวิปปิ้งครีมอีกที
อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะซื้อมาแล้ว ใช้ไม่หมด จะเอาไปใส่กาแฟก็ข้นไป
จึงเสนอให้ทำสองชุด เก็บไว้กินเอง 1ที่ อีกที เอาไปฝากคนอื่น
จะทำให้ได้หน้า กลายไปเป็นคนดี มีคนนิยม อิอิ
3.น้ำตาลทราย ใช้ 1 ถ้วยตวง (ประเภทที่ติว่าจะหวานไปไหม หากอยากลด
ก็ตามสะดวก แต่ตามสูตรเขาว่าให้ใช้ 1ถ้วย แหมก็ของหวาน ถ้าไม่หวานก็กิน
ข้าวเปล่าๆไปแล้วกัน แค่นี้ไม่อ้วนเท่าไหร่หรอกค่ะ)
4. เจลาติน (อันนี้บางท่านว่าจะใช้แบบแผ่น อุ๊ยมันแพง เอาแบบผงนี่แหละค่ะ
หาง่ายสะดวก และไม่แพง ไอ้ที่ถามว่าจะใช้ผงวุ้นแทนได้ไหม ขอบอกว่ายังไม่
เคยลอง แต่น่าจะไม่ดี เพราะอาจทำให้ขนมแข็งเกินไป ไม่นุ่มนวล เสียบุคคลิของขนมไป)
เจลาตินผงนี่ซื้อมา1 ขวด ใช้ไปได้นานแสนนาน ขนมนี้ใช้แค่ 3 ช้อนชา
5.ส้มซันคิสต์ เดี๋ยวนี้ตามซุปเปอร์เขาเรียกว่านาเวล ไม่ทราบว่าเป็นพันธ์เดียวกันไหม
แต่ใช้ได้เหมือนๆกัน เราจะเอาแต่ผิว เพื่อเพิ่มกลิ่น อาจใช้ผิวมะนาวแทนก็ย่อมได้
เผื่อจะหาซื้อได้ง่ายหน่อย ไม่ว่าจะใช้ผิวส้มหรือผิวมะนาว อย่าลืมล้างให้สะอาด
เพราะส้มอาจมีสารเคลือบ มะนาวก็มียาฆ่าแมลง จริงๆแล้วใช้แค่ผิว แค่ประมาณ1ชช.
ขูดเอาแต่ผิวนะคะ น้ำไม่ต้อง ไม่ต้องการรสชาด บอกแล้วเอาแค่กลิ่น
6.สุดท้าย กลิ่นวานิลาค่ะ อีก 1ชช.

ได้ของครบแล้ว ก็ลงมือทำ ข้อสังเกต หากจะทำเลี้ยงแขก ตอนเย็น ต้องทำเอาไว้ก่อน
เพราะต้องใช้เวลาแช่ตู้เย็นตั้ง 5ชม. จะคิดทำแล้วเสิร์ฟเลยไม่ได้นะคะ(ค้างคืนเอาไว้ได้ค่ะ)

เริ่มแรก เอาผงวุ้นใส่ลงไปในนมสด ทิ้งไว้ประมาณ 5นาที (ก็ประมาณว่าพอทุกอย่างเสร็จ
ก็จะใช้ได้พอดี)

เสร็จแล้วก็มาจัดการกับวิปปิ้งครีม เอาใส่ภาชนะ(หากจะทำในไมโครเวฟ ก็ใส่ไว้ในถ้วย
ตวงแก้ว ขนาดใหญ่นั่นแหละค่ะ จะได้ไม่ต้องล้างมากให้ยุ่งยาก) เอาน้ำตาลทรายใส่
ลงไป แล้วเอาเข้าเตาไมโครเวฟ (หากจะทำบนเตาไฟ ก็เอาตั้งไฟ ไม่ต้องถึงกับเดือด)
เราแค่ต้องการให้น้ำตาลมันละลาย จึงเสนอว่าใส่ในไมโครเวฟก็พอ ตั้งเวลาสัก 2นาที
แล้วเอาออกมาคนให้น้ำตาลละลาย

พอน้ำตาลละลายดีแล้ว อ้อเกือบลืม ข้อดีของการทำในไมโครเวฟ คือเวลา 2นาท ที่เอา
เข้าไปในตู้ เราก็จะมีเวลาขูดผิวส้ม ถ้าตั้งบนเตาก็ไม่สามารถทำได้ ต้องคอยคน ไม่งั้น
อาจเกิดความผิดพลาด เดือดล้นหม้อได้ ไม่ดีค่ะ

เอาผิวส้มใส่ลงไป แล้วเอานมที่ละลายผงเจลาตินใส่ลงไป คนให้เข้ากัน
แล้วนำเข้าไปในไมโครเวฟอีกครั้งสัก1-2นาที เพื่อความมั่นใจว่าผงเจลาติน
ละลายหมดแล้ว (บางครั้งทำก็ลืมเหมือนกัน แต่ก้ไม่เป็นไร มันเซ็ตตัวดี)
สุดท้าย เอากลิ่นวานิลลาเติมลงไป คนให้เข้ากันแล้วนำไปกรอง
(การนี้เพื่อเอาผิวส้มออก และยังทำให้ขนมของเราเนื้อเนียนนุ่มลิ้นขึ้นด้วย)

กรองใส่ภาชนะที่จะแช่เลยนะคะ แรกๆก็เอาชามสวยใส่ แต่ยุ่งยากที่ต้องหาพลาสติกแรป
มาปิดไว้ก่อนแช่ (ไม่งั้น ขนมจะแห้งไปค่ะ) พักหลังเลยเอาใส่กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิด
แล้วแช่ไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาสัก 5ชั่วโมง

ตะแล้น เสร็จเรียบร้อย ง่ายหมูดูดีไหมล่ะค่ะ แล้วก็ถึงวิธีรับประทาน อันว่าพานาค้อตต้านี้
ทานเปล่าๆก็อร่อยแล้ว แต่เพื่อความสุนทรีย์ และอรรถรสดีขึ้น หน้าตาเป็นฝรั่งแท้ๆ
ก็ต้องเสิร์ฟกับ ค้อกเทลฟรุตสลัด(ที่ขายเป็นกระป๋องนั่นแหละค่ะ) หากไม่ชอบก็ใช้ลูกพีช
เชื่อมอย่างเดียวได้ แต่เคยลองเอามะม่วงน้ำดอกไม้ นอกฤดู (ของฟรีมีคนให้) ใส่ไปแทน
เข้ากั๊นเข้ากัน เพราะมะม่วงฤดูนี้ ไม่ได้หวานเจื้อยเลื้อย ออกจะเปรี้ยวนิดๆ (ซึ่งเป็นที่ต้องการ
เพราะมันเข้ากันดีกว่ากินกับผลไม่เชื่อมหวานๆค่ะ)

แต่จะอร่อยสุด ท่านว่าให้ราดทับด้วยเหล้ารสส้ม ไม่ว่าจะเป็นแกรนด์มาเนีย หรือควนโตร
ก้ไม่เกี่ยง จะทำให้อร่อยขึ้นไปอีกนะคะ แต่ถึงไม่มีเหล้า ก็อร่อยอยู่แล้ว

จึงจบวิธีทำขนมแสนอร่อย ง่ายแสนง่ายของวันนี้แต่เพียงนี้ก่อน เสียดายไม่มีภาพมาประกอบ
วันหลังจะนำมาเสนอใหม่นะคะ วีคเอนด์นี้ทำทานกันได้เลยค่ะ

สามัคคีเภท

สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นบทกวีที่แต่งโดยนาย ชิต บุรทัต เพื่อมุ่งชี้ความสำคัญ
ของการรวมเป็นหมู่คณะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อป้องกันรักษาบ้านเมืองให้
มีความเป็นปึกแผ่น


ไม่ได้ต้องการเข้าไปร่วมในการต่อล้อต่อเถียงเรื่องแกนนำหรอกนะคะ
อ่านแล้วก็ผ่านไป แต่มันอัดอั้นทนไม่ไหว นึกได้ว่านี่กระมังคือการทำให้แตกสามัคคี

เรื่องแกนนำ ไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัวหรอกค่ะ ไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปพูดจาด้วย
เจอตัวเป็นๆก็หลายที แต่ก็แค่เจอ จึงไม่ใช่ว่าจะมาพิทักษ์ปกป้อง เพราะผลประโยชน์
ทับซ้อนแต่อย่างใด

แต่ขอพูดในฐานะพลเมืองไทย เคยไปร่วมชุมนุมบ้าง แต่ก็เป็นบางครั้ง ไม่เคยไปกิน
ไปนอน ในที่ชุมนุม ไม่เคยถูกไล่ยิง ไม่เคยเห็นกับตาถึงความตาย

แต่เมื่อมีการชุมนุม แล้วเราเห็นด้วยก็ไปร่วม ไม่ได้ติดขัดกับแกนนำ ไปถึงใครพูดไม่ถูกใจ
ก็ไม่ฟัง ชอบคนไหนก็ฟังคนนั้น

แต่การออกมาโจมตีด่าว่าแกนนำก็ให้นึกสงสัยว่าทำไม ไม่มีใครทำอะไร
โดยไม่มีผิดพลาดหรอกค่ะ คำพังเพยเขาก็ว่า"สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง"
ไม่มีใครทำอะไรให้ถูกใจคนทั้งหมดได้

อะไรที่เกิดมันก็เกิดแล้ว คนตายก็ตายแล้ว คนรอดก็ต้องสู้ต่อไป ไม่ใช่มาเหยียบย่ำกัน
ไม่ใช่หรือคะ แกนนำอาจผิดได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า"คนที่ไม่ผิดเลย คือคนที่ไม่ได้ทำอะไร"
การชุมนุม ก็ไม่ได้มีการบังคับกะเกณฑ์ ใครอยากไปก็ไป ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดความ
เลวร้ายอำมหิตเช่นนี้

หลังการเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษา เป็นใครก็ต้องนึกว่ามัน(รัฐบาล)ต้องไป
เพราะในอดีตไม่มีใครอยู่ได้แต่ก็มีเดือนพฤษภาขึ้นมาอีก โหดเหี้ยมอำมหิต
กว่าเดิมด้วยซ้ำ ถามว่ามีใครคิดบ่้างไหมว่ามันจะใจร้ายได้ขนาดนี้
ในอดีตไม่เคยมี แต่มันก็มีแล้ว เหนือความคาดหมาย

บางครั้งความตายอาจดีกว่าการติดคุกด้วยซ้ำ ภาพที่ลูกก็ยังเล็ก การพันธนาการออกสื่อ
ก็เป็นภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน(เพราะใครก็รู้ว่าเป็นนักโทษการเมือง) ทุกครั้งเข้าไปไม่นานก็ออก แต่ครั้งนี้กะให้ตาย ใครเคยคิดบ้าง

ไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์เลวร้าย เคยคิดด้วยซ้ำว่าถ้าไม่พูดว่าให้เลิกชุมนุมก่อน
ให้กลับบ้านก่อน อาจเกิดโศกนาฏกรรมที่หนักกว่านี้ ภาพการเข้ามากราดยิงให้ตายทั้งหมด
อาจเกิดขึ้น

อะไรจะเกิดก็เกิดไปแล้ว การมาตำหนิติว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอกค่ะ นอกจากทำให้เสียกำลังใจ ทุกอย่างต้องถือเป็นบทเรียน หากครั้งหน้าใครคิดว่านำได้ดีกว่าก็ลองดู มันคงไม่จบ
แค่ครั้งนี้หรอกค่ะ คนที่พร้อมจะตามมีมากมาย แต่อย่าไปว่าคนที่เคยนำเลยค่ะ ขอร้อง

น่ั่นสิคะ ใครจะไปคิดว่าโหดร้ายได้ขนาดนี้ เคยได้ยิน คนที่ไม่ใช่เสื้อแดง แต่มีความเป็นธรรมในใจ
เขายังพูดว่ามันอำมหิตจริงๆ แต่ที่อำมหิตยิ่งกว่าคือพวกที่เห็นด้วยกับความอำมหิตนี้

แล้วเราจะใจไม้ไส้ระกำกับแกนนำอีกหรือ ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่กล้าหาญเข้ามอบตัวทั้งๆที่รู้ว่าครั้งนี้
เขาเอาตาย และก็ไม่เคยคิดตำหนิคนที่หนีไป คนเรามีความคิดเห็นที่ต่างกัน การหนีก็เป้นหนทางการต่อสู้
อีกแนวทางหนึ่ง การด่าว่าให้เสียกำลังใจ ไม่ช่วยทำอะไรให้ดีขึ้นหรอกค่ะ
"ความตายและความเสียหายเกิดขึ้นหลังแกนนำประกาศมอบตัวแล้วถึง90% ครับ"

แล้วอยากให้เป็น100% เลยหรือเปล่าคะ เพราะเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าหากประกาศสู้ต่อจนตัวตาย ก็คงสมใจได้ตายกันทั้งหมด
บอกแล้วว่าการณ์ครั้งนี้เหนือความคาดหมาย การข่าวที่ว่าแกนนำหนีไปตั้งแต่เช้า แกนนำจะมอบตัว ก็คงเป็นเพราะเขาได้รับข้อมูล
บางอย่างมาว่าเขาเอาแน่ การเลิกเสียน่าจะดีกว่า แต่เคยรู้บ้างไหมว่า คำสั่งทีออกมาแล้ว มันหยุดไม่ได้ เขาสั่งฆ่าให้หมด
ถึงได้เห็นภาพการฆ่าที่วัดปทุมฯ

ไม่เคยคิดว่าคุณลุงจุก เป็นวัสสการพราหมณ์ ไม่เชื่อว่าจะเป็นคนมายุงยงให้แตกแยก แต่การตำหนิ มันทำให้เกิดการถกเถียง
ทำให้พวกที่ชอบและไม่ชอบออกมาต่อว่ากัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเสื้อแดง แต่อันนี้ต่างหากที่เขาต้องการให้เกิดคือความแตกสามัคคี
ในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่เป็นผล เพราะเสื้อแดงก็เป็นเสื้อแดง ไม่ว่าใครจะเป็นคนนำ เพราะมันแดงอยู่ในสายเลือด

เพียงแต่ไม่อยากให้กลายเป็นจุดอ่อนของพวกเราเท่านั้นเองค่ะ
เกิดสงสัยขึ้นมาว่าปัญหาในประเทศนี้ มันแก้ไม่ได้เพราะเรารักสงบเกินไปหรือเปล่า
เราเงียบเมื่อไม่พอใจ เห็นท่าจะไม่ได้แล้วค่ะ นั่นคือเหตุผลที่เขียนกระทู้นี้

สิ่งที่แกนนำได้รับ หนักหนาสาหัสสากรรจ์ การติดคุกโดยส่วนตัวคิดว่าแย่มากๆค่ะ
แต่ติดคุกแล้วยังถูกตำหนิยิ่งแย่ยิ่งกว่า

ขณะนี้ อะไรก็ไม่ดีไปกว่ากำลังใจ ให้กันและกันไว้ รอเวลาว่าวันหนึ่งเราจะชนะ
และคนที่ตายจะไม่ตายเปล่า (หากรู้ว่าข้างหน้าเป็นกำแพง มาหาทางช่วยกัน
ทะลายหรือปีนข้ามไปดีกว่านะคะ)อย่าวิ่งเอาหัวไปชนกำแพงเลยเจ็บเปล่าๆ
เผลอๆก็หัวแบะด้วย

เอาเถอะค่ะ แกนนำอาจทำไม่ถูก ที่สำคัญไม่ถูกใจอีกหลายคน
เข้าใจว่ามีคนยอมตาย แต่คนที่ไม่ยอมจะไม่บอกเขาหรือคะ
ว่าให้กลับบ้านเสีย

ไม่ได้เข้าข้างแกนนำไปทั้งหมด แต่เมื่อมันเกิดเหตุการณ์แล้ว
การออกมาตำหนิกันมันสมควรหรือ ถึงได้ท้วงติงไป ถ้าไม่เห็นด้วย
กับการกระทำของเขางวดหน้าเวลาเขาเรียกก็ไม่ต้องออกมาก็หมดเรื่อง

แต่ว่าคิดว่าถ้าเป็นแกนนำได้มาอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์แรงๆอย่างนี้
เป็นป้าป้าก็ไม่ขอนำอีกหรอกค่ะ พอกันที

เคยคิดเหมือนกันว่าทำไม่ไม่ต่อรอง ทำไมคุณณัฐวุฒิไม่ส่งพี่น้องให้กลับบ้าน
เหมือนเมษาปีที่แล้ว แต่สภาพศพที่วัดปทุม ก็บอกให้รู้แล้วว่าพวกมันมาฆ่าอย่างเดียว
ไอ้ที่หวังจะต่อรองคงไม่มีทาง ช่วง10เมษา ที่ดูเหมือนคุณณัฐวุฒิห้ามทหารได้ บอกให้หยุดยิงก่อน
หลังจากเกิดการสูญเสีย แล้วทหารหยุด นั่นใครๆก็รู้ว่าไม่ใช่เพราะคุณณัฐวุฒิต่อรองได้
มันบังเอิญที่คนสั่งการตายและบาดเจ็บต่างหาก ทหารเลยต้องล่าถอย

จากเหตุการณ์ที่เกิดเชื่อว่า หากไม่ยอมมอบตัว จะต้องมีคนตายมากมายกว่านี้
การให้แกนนำนั่งเป็นไข่ดาว แบบจำลอง ก็เชื่อได้ว่าไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางหยุด
พวกมันได้รับคำสั่งมาให้ฆ่าให้หมด เพราะไฟมันลามไปจะถึงตัวอยู่แล้ว ไม่ฆ่าให้สิ้นซาก
คงต้องเกิดการตายหมู่ของพวกมัน

มันอำมหิตเกินมนุษย์ (ก็เข้าใจว่ามันก็คน กลัวเป็นเหมือนกัน กลัวสูญเสีย กลัวจน
ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ยุติการเปิดโปงให้จนได้)

"แทนที่จะ "ต่อรอง" ขอเปิดทาง นี่สิคือการรักษาชีวิตที่แท้จริง" เชื่อว่าพวกสัตว์ที่ลุยเข้ามา
ไม่ได้รับคำสั่งให้เจรจาต่อรอง มันยกเลิกการเจรจาไปแล้ว ต้องการฆ่าให้หยุดเท่านั้นเอง
ดีที่ว่ามีนักข่าวมาก ไม่เช่นนั้น การกุดหัวแกนนำคงทำให้เห็นกับตา

ไม่ได้ว่าแกนนำทำถูกไปทั้งหมด ก็บอกแล้วว่าคนเราทำผิดได้ เขาอยู่ที่นั่นมา
70กว่าวันแล้ว มีใครเป็นกุนซือให้หรือเปล่าอันนี้ยังสงสัย ที่เขียนมา เพียงเพื่อ
จะบอกว่าอย่าตำหนิให้เสียกำลังใจ

ครั้งหน้าถ้าไม่มีอาวุธไม่มีกองกำลัง ป้าก็ไม่ร่วมเหมือนกันค่ะ แต่ไอ้อาวุธกะกองกำลังน่ะ
หากันได้หรือยังคะ ถ้าได้เมื่อไหร่ก็เอาเลย พวกมันอาวุธ กำลังพลครบ สั่งให้ยิงก็ยิง
แล้วคิดได้อย่างไรว่า ถ้าต่อรองแล้วเขาจะยอมต่อรองด้วย

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เนื่องในวาระชิงหมาเกิด

ให้กินนอนอ่อนใจไม่สนุก
ให้ความทุกข์รุกราญผลาญจนไหม้
ให้เดินเหินติดขัดอึดอัดใจ
ทำอะไรไม่สำเร็จจนเข็ดฟัน

ทั้งลูกเมียแม่ยายพาตายจาก
ต้องทุกข์ยากอยู่เดียวเปลี่ยวใจฝัน
หันทางซ้ายให้เจอคนด่าพลัน
ถ้าหากหันด้านขวาคนด่าทอ

จะลุกนั่งฟังอะไรได้ยินเสียง
นั่งระเบียงกินลมดมขี้น่อ
อีกคาวเลือดเชือดไว้ได้ถักทอ
กลายเป็นบ่อน้ำคลำทำอาเจียน

ขอผลกรรมทำไว้ในชาตินี้
จงได้มีผลนำกรรมขีดเขียน
ให้ทุกข์ร้อนอ่อนใจให้วิงเวียน
ให้ต้องเจียนวางวายแล้วตายตาม

ฆ่าคนตายเป็นเบือเมื่อวันก่อน
กรรมจงย้อนมาหามาทวงถาม
ให้หมดสุขทุกข์ใจทุกโมงยาม
ถึงพุทธพราหมณ์ไม่อาจช่วยหรืออวยชัย

คนทำชั่วชั่วคงพาไปหาโศก
คนหนักโลกโรคคงรุมสุมอาศัย
มาวันนี้ที่คนก่นด่าไป
ทั้งเมืองไทยแซ่ซร้องร้องเป็นเพลง


หมาจะเกิด ชิงหมาเกิด กรุณาฮัมเป็นเพลงHappy Birthday ด้วยเน่อ

ระหว่างอ่านกลอน อาจฟังเพลงนี้ไปพลางๆ

http://youtu.be/ey294uEqjN0 เครดิตคุณอินฯ

The page you're looking for wasn't found.

เช้าขึ้นมาเปิดคอมพ์ พบว่ายังมีหน้าจอของประชาไทเปิดค้างอยู่อีกหลายหน้า
แต่อย่างว่าล่ะเนอะ เป็นคนเชยโดยกำเนิด ไม่ได้คิดว่าจะต้องเก็บภาพสุดท้ายอะไรไว้
(หรือถึงคิดก็ทำไม่เป็นนิ อิอิ) ลองกดรีเฟรชดู ก็มีคำอย่างชื่อกระทู้ปรากฎขึ้น

The page you're looking for wasn't found.

แว่บแรกก็ต้องเศร้าล่ะค่ะ เพื่อนรู้ใจที่เคยเปิดมาทักทายกันทุกเช้ามาหายไป
มันหายไปแล้วจริง ส่วนหนึ่งของชีวิต (โหต้องครวญเป็นเพลงไหมล่ะเนี่ย)
คาดว่าคงมีหลายคนรู้สึกถึงความว่างเปล่า ว้าเหว่ วิเวกโหว

แต่ชั่วขณะก็ทำใจได้ คุณนุชเธอบอกให้รู้ล่วงหน้าตั้งนานแล้วนี่นา แอบหวังลึกๆ
ว่ามันไม่จริง แต่พอเจอ คำอย่างว่า จึงพบว่าจริงแฮะ เลยนั่งคิดต่อไปว่า

ทำไมหนอประเทศที่บอกว่าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจึงไม่มี
สิทธิ์เสรีภาพ แค่จะแสดงความคิดเห็นต่างก็ยังไม่ได้ เรามีนายกฯที่พยายาม
จะบอกชาวบ้่านว่ามันมาโดยถูกต้องตามรัฐสภา เพราะมีคนโหวตให้มันเป็นนายกฯ
(ทั้งๆที่ประชาชนไม่ได้เลือกสักหน่อย) หรือนี่จะเป็นการทำลายการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยแบง่ายๆ แบบไทยๆ กล่าวคือแสดงให้เห็นว่า ประชาชนในประเทศนี้
ไม่มีสิทธิ์จริงๆที่จะเลือกผู้บริหารประเทศ เพราะถึงจะเลือกมา กูก็จะยึดอำนาจ
ยึดแล้วให้เลือกใหม่ เลือกยังไม่ถูกใจ ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการให้ ใช้ตุลาการวิบัติก็ได้
ไม่ต้องอายใคร ลากนายกฯที่ประชาชนเลือกลงมาด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี

จัดรัฐบาลกันในค่ายทหารก็จะทำ ใครจะทำไม เห็นไหมล่ะการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่ต้องกลัว เราทำได้

ย้อนกลับมาชื่อกระทู้ มึงมีเวปบอร์ดไว้คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดกันหรือ
แอบเผยแพร่ความจริงกันด้วยนี่ ไม่ได้ๆ ยอมได้ไงบีบมัน ปิดมัน มันจะได้หมดช่องทาง
เดี๋ยวรัฐบาล(ย้ำรัฐบาลนะ ไม่ใช่ชาติ ไอ้พวกนี่มันชอบตีความคำว่า"ชาติ"ผิดตลอด)
จะไม่มั่นคง

ความถุกต้องดีงามในสายตาโลกในประเทศนี้คงหาได้ยากเต็มที เพราะเปิดไปคงเจอ
แต่คำว่า The page you're looking for wasn't found.