วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นิทานเรื่องผะอบของนางโมรา

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่เมืองแห่งหนึ่งในป่าใหญ่
ในป่าแห่งนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่
ทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด เหี้ยห่า และสารพัดสัตว์
แต่ชาวบ้านชาวเมืองก็ดำรงชีวิตอยู่กันด้วยดี
แม้จะลำบากยากแค้นบ้างแต่ก็ภูมิใจที่ได้เกิดมา
ในหมู่บ้านนี้

ในทุกๆบ้านของหมู่บ้านนี้จะมีผะอบวางไว้ในที่สูง
เอาไว้กราบไหว้ บูชา ด้วยความเคารพสูงสุด
และเจ้าผะอบนี้เอง จึงกลายเป็นเหมือนมรดกตก
ทอดของคนในหมู่บ้านนี้มาช้านาน เรียกว่าปู่ย่าตายาย
ต้องส่งต่อให้ลูกหลาน เพื่อให้ลูกหลานส่งต่อไปอีก
รุ่นแล้วรุ่นเล่า

เมื่อมีเด็กเกิดมาใหม่ในหมู่บ้าน ก็จะได้รับการอบรมกล่อมเกลา
สั่งสอนให้รู้ว่า ผะอบนี้ดีอย่างไร สมควรกราบไหว้อย่างไร
มาโดยตลอด มาระยะหลัง เด็กๆในหมู่บ้าน ก็เริ่มสงสัย
ว่าผะอบมันดีอย่างไรนักหนา จึงอยากจะเอาออกมาเปิดดู
แต่ก็ถูกพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ห้ามไว้อย่างแข็งขัน ว่าผะอบนี้
เป็นของสูง อย่าเที่ยวได้เอามาพูดเล่น หรือเกิดความสงสัย
ในความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันขาด

เมื่อรุ่นพ่อรุ่นแม่ ชาวบ้านก็เชื่อถือเป็นอันดี มีปาฏิหารย์
อันเกิดจากผะอบมากมาย ไว้ให้ยกเป็นตัวอย่าง เล่าให้
กันฟังได้ว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ ของผะอบนี่แหละ ที่ทำให้
ชาวบ้านรอดปลอดภัยมาได้ทุกครั้ง

แต่พอตกมาถึงรุ่นหลาน เด็กรุ่นหลังนี่มันก็ไม่ค่อยเชื่อ
นิทานปรำปราเท่าไหร่ มันคิดว่าเรื่องที่เล่ามานั้นเป็น
เพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้นเอง แต่ก็ยังเกรงใจพ่อแม่
ปู่ย่า ตายาย ครั้นปู่ย่า ตายาย ทยอยกันล้มตายไป
ตามธรรมชาติ แม้จะกราบไหว้ผะอบแล้วเท่าไหร่ ก็ไม่
สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ การกราบไหว้บูชาก็เริ่มเสื่อมความนิยม
ไปบ้างตามกาลเวลา จนมีหัวหน้าหมู่บ้านคนหนึ่งเกิดความคิด
ว่าเราน่าจะฟื้นฟูการเคารพนบไหว้ผะอบให้เกรียงไกรอีกครั้ง
เพราะเห็นว่าเราก็กราบไหว้มานานแล้ว ถือเป็นโอกาสดีที่
จะฉลองอีกครั้ง จึงจัดให้มีงานใหญ่เฉลิมฉลองกัน ทำให้
คนในหมู่บ้านกลับมานิยมการกราบไหว้ผะอบอีกครั้ง

ต่างก็นำผะอบของตนของมาทำความสะอาด จัดหาที่ตั้ง
ให้ใหม่ให้ดูสง่างามสมกับเป็นผะอบที่มีทุกบ้าน
จนกระทั่งวันหนึ่ง นักเลงหัวไม้ประจำหมู่บ้าน
กลุ่มหนึ่งก็เอ่ยอ้างว่าผะอบของตัวศักดิ์สิทธิ์กว่า
มีอิทธิฤทธิ์มากกว่า ดีกว่าด้วยประการทั้งปวง
ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างก็บอกว่า ผะอบก็คือผะอบ
ข้างในมีอะไรไม่ไม่รู้ ไม่เคยมีใครเปิดออกดู
เลยสักครั้ง แล้วจะมาอวดอ้างว่าผะอบของตัวดี
กว่าของชาวบ้านได้ไง

ทีนี้ก็เกิดการทุ่มเถียงกันว่าผะอบของใครจะมีฤทธิ์
มีเดชมากกว่ากัน เถียงกันไปมา จากการเถียง
ด้วยวาจาก็ยังหาที่ยุติไม่ได้ จนในที่สุด เกิดการ
ใช้กำลังกัน ต่อสู้แย่งชิงผะอบของแต่ละฝ่าย เพื่อ
ที่จะเอามาเปิดดูว่าในผะอบของแต่ละคนมันมีอะไรต่าง
กันอย่างไร ทำไม ของบางคนจึงดูศักดิ์สิทธิ์กว่า
ใช้เป็นเครื่องรางของขลังได้ดีกว่า เผลอๆใช้เป็นไม้
ตีหมาก็ยังได้

เมื่อทุ่มเถียงกันจนอารมณ์พลุ่งถึงขีดสุด ก็ลงไม้ลงมือกัน
เกิดการตะลุมบอนกันเพื่องแย่งชิงผะอบ ของแต่ละฝ่าย
จนในที่สุด ผะอบก็ร่วงตกมือจากมือ กระแทกพื้นอย่าง
แรงจนแตกออก ผู้คนถึงได้หยุดต่อสู้กัน ต่างพากันก้ม
ไปดูว่าในผะอบมีอะไร แล้วต่างก็ตะลึงกับความจริงที่ว่า
อันที่จริงในผะอบนั้นหาได้มีอะไรไม่ มีแต่ความว่างเปล่า

ที่หลงกราบไหว้บูชา นับถือกันก็เป็แต่เพียงเปลือก
คือผะอบเท่านั้น ต่อสู้แย่งชิงกันจนเกือบตายหมดหมู่บ้าน
เพื่อผะอบที่ไม่มีอะไรเลย นับแต่วันนั้นชาวบ้านจึงต่าง
กลับไปเอาผะอบที่บ้านของตนมาทุบทำลาย แล้วเลิกกราบไหว้
ตั้งใจทำมาหากินสร้างตัว โดยไม่ต้องมาบูชาผะอบว่างเปล่าอีกต่อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..........เติมกันเอาเองนะคะ
(นอนหลับผันไป เลยตื่นมาเล่านิทานเรื่องนี้ค่ะ)

ไม่มีความคิดเห็น: