วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จะทำอย่างไรดี หากต้องทำประชามติ

เมื่อวานบังเอิญได้ฟังรายการวิทยุของวีระ ธีรภัทร อันที่จริงก็เลิกฟังไปนานแล้ว
แต่เมื่อไหร่ที่ขึ้นรถ เบื่อเพลง ก็จะกดหาสถานีอื่นๆไปเรื่อยๆ พอดีไปเจอรายการนี้เข้า
เป็นช่วงคนโทร.เข้ามาก็เลยหยุดฟังเช็คกระแสสักหน่อย

ระยะหลังๆนี่วีระเปลี่ยนไปเยอะค่ะ มีเหตุมีผลมากขึ้น (เรื่องด่ารัฐบาล) แต่เท่าที่ฟังช่วงสั้นๆ
คนที่โทร.เข้ามายังบ้าบอเหมือนเดิม เรื่องที่ได้ยินคือมีคนโทร.เข้ามาถามว่า
"การแก้รัฐธรรมนูญ มันจะทำให้ข้าวหอมราคาถูกลงไหม" อ๊ะ เรื่องน่าสนใจเลยฟังต่อ
พลางคิดในใจว่าแล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร(วะ) ก็พอดีวีระเขาให้พูดต่อ แหมทีนี้ไอ้คนโทร.มา
ก็ได้โอกาส ใส่ใหญ่เลยว่า รัฐบาลมัวไปวุ่นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ทำไมไม่แก้ปัญหาปากท้อง
ของชาวบ้าน วีระเขาตอบว่า รัฐบาลเขาก็ต้องทำไปพร้อมๆกันอยู่แล้ว ไม่มีรัฐบาลไหนหรอกที่ทำ
เรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นอย่างเดียว ที่นี้ไอ้คนโทร.ก็โวยต่อ ซักไปได้ความว่าบอกว่าเป็นเกษตรกร
ทำนาทำสวนยางอยู่ที่สุรินทร์ ตอนนี้ไม่พอกิน เข้ามาขี่ซาเล้งขายของในกทม.

แล้วก็เริ่มสับสน บ่นว่า ความเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ลำบาก พืชผลการเกษตรตกต่ำ(อ้าว เมื่อกี้เมิงเพิ่ง
บอกว่าทำไงข้าวหอมราคาจะถูกลง)ไปๆมาฟังได้ความว่า รัฐบาลไม่ควรแก้รัฐธรรมนูญ
เพราะมันไม่เกี่ยวกะปากท้องของชาวบ้าน ฮั่นแน่ จับได้แระ กะจะโทร.มาด่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
ที่ตัวไม่เห็นด้วยกะการแก้เท่านั้นเอง

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะคะ ทำอย่างไรที่จะให้คนทั่วๆไป เห็นด้วยกับการแก้(หากจะใช้วิธี
ขอประชามติ) เพราะเท่าที่ฟังดู หากคนที่โทร.มาเป็นชาวบ้านจริงๆก็น่าห่วง พวกนี้ไม่เข้าใจ
ไม่รู้เรื่อง หากมีใครไปเป่าหู ยุงยงแม้นเพียงน้อยนิด ก็อาจจะออกมาVote No หรือ No Vote เอาได้ง่ายๆ
เผลอๆ ไม่ออกมาลงประชามติ ไอ้ที่พยายามจะตีความกันว่าต้องมีมาลงถึง 24ล้านคน
ก็กลายเป็นเรื่องยากทันที

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่เข้าใจ

เมื่อคืนหลับไปด้วยความงุนงงสงสัย หลังอ่านทวิตเตอร์เจอ แอร์สายการบินสารภาพว่าตัวเองคลั่ง
มันเกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้ ความโกรธความเกลียดที่ใครเพาะขึ้นในจิตใจคนร่วมชาติ ที่เป็นไปได้
ถึงเพียงนี้ ไม่เข้าใจจริงๆ

จริงอยู่ที่คนธรรมดาย่อมมีอารมณ์มีความแค้นเคืองได้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ แค้นอะไรกันนักหนา
โกรธเกลียดนักการเมือง มันเป็นเรื่องปกติ แต่เคยถามตัวเองไหมว่าโกรธเกลียดเขาเพราะอะไร
เขาทำอะไรให้เดือดร้อนนักหรือ

คุณทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรีที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย แล้วถูกปฏิวัติไป
เรื่องก็น่าจะจบ แต่ที่ไม่จบเพราะมันมีคนที่ไม่ยอมให้จบ คอยจุดกระแสปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชัง
อยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญมันได้ผลสำหรับคนบางจำพวกด้วยสิ โกรธเกลียดลามปามไปถึงลูกถึงเมียเขา
ไม่คลั่งแล้วจะเรียกว่าอย่างไร

เคยถามตัวเองไหมว่าโกรธเกลียดเขาเพราะอะไร เขาทำอะไรให้เดือดร้อนหรือ
หรือเพียงเพราะเขาบอกว่ามันเลว แล้วเคยหยุดคิดไหม ว่าที่ว่าเลว เลวอย่างไร
มันกระทบอะไรตัว ถ้าหากว่าตัวเองเป็นพวกค้ายา เป็นพวกเสียตำแหน่ง
เป็นพวกถูกกลั่นแกล้ง ก็พอเข้าใจได้ แต่นี่ดูๆไป ก็มีแค่พวกที่ถูกสุมให้เกลียด
โดยไม่ลืมหูลืมตา หาเหตุผลไม่ได้ แล้วความเกลียดมันก็เข้าไปทำร้ายจิตใจตัวเอง
เผลอๆอาจทำร้ายหน้าที่การงาน มันเกิดอะไรขึ้น

ทำไมไมคิดว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น คนส่วนใหญ่เขาถึงได้เลือกพรรคที่เกี่ยวข้อง
กับคุณทักษิณมาเป็นรัฐบาล ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยจำนวนคะแนนเสียง
ที่ได้รับมาในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

เอาเถิด สมมุติว่าคุณทักษิณผิดจริง ตามข้อกล่าวหา(ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ของพวกที่ปฏิวัติล้มอำนาจเขา)
เขาก็แค่ผิดในฐานะนักการเมือง คนที่เชื่อว่าเขาผิดจริงก็แค่สั่งสอนให้รู้สำนึกด้วยการไม่ไปลงคะแนนให้
(ซึ่งพวกนี้ก็ใช้สิทธิ์นั้นอยู่แล้ว) เรื่องง่ายๆแค่นี้เอง แต่ที่ต้องทำต่อไปคือยอมรับให้ได้ว่า คนส่วนใหญ่
ของประเทศนี้เขาไม่ได้คิดอย่างพวกคุณ พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยถึงได้ชนะจนจัดตั้งรัฐบาลได้ทุกครั้ง

หากพวกคุณบอกเกลียดเพราะเขาโกงกินประเทศ มีคนอีกหลายคนเลยที่คุณควรโกรธเกลียด หากเพียงคุณเปิดใจให้กว้าง
แล้วลองคิดดูบ้างว่ามีใครบ้าง แต่แปลกคุณกลับทำมองไม่เห็น ทำเป็นไม่รู้ กลับมาพกความโกรธ เกลียดไว้ที่คนๆเดียว
แล้วยังลามปามไปยังครอบครัวเขา มันน่าสงสัยจริงๆ สงสัยว่าต่อมรับรู้ ชั่วดีของพวกคุณมันถูกทำลายไปแล้วหรือไร

อยากบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่า "ความเกลียด ไม่เคยทำร้ายใคร นอกจากตัวคนเกลียดเอง"

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ก็รู้นะว่ามันไม่จบ

เห็นออกมาถามกันให้เซ็งแซ่ว่า ไอ้คนที่คิดว่าถ้าฆ่าทักษิณแล้วมันจะจบหรือ
ไม่รู้หรือไง ว่าความคุกรุ่นนี้ไม่เกี่ยวกะทักษิณ ต่อให้ตายไปวันนี้พรุ่งนี้ ก็ใช่ว่า
ปัญหาจะจบ เรารู้เขาก็รู้ แต่ทำไม พยายามกันจัง ทำมา 4-5 ครั้งที่รู้ๆ และที่ไม่รู้อีกไม่รู้กี่ครั้ง

โธ่ตอบง่ายๆ ถ้าเรารู้ว่ายิ่งคุณทักษิณตาย แผ่นดินยิ่งระอุ จะเป็นคนสั่งหรือไม่ก็ตาม
คนเขาก็เชื่อไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว ว่าเป็นคนสั่ง แล้วทำไมยังมีความพยายาม
ที่จะทำอยู่อีก คำตอบคือ ก็มัน แค้นอ้ะ

อะไรว้า ไล่ลงจากตำแหน่ง ไล่ออกไปนอกประเทศ ก็ยังไม่ลืมกันเสียที ขยับนิดขยับหน่อย
ก็ตกเป็นข่าว หากมาใกล้ๆประเทศไปหาไม่ลำบาก ก็ยังอุตส่าห์ถ่อไปหา ไปพบกันมืดฟ้ามัวดิน
ไอ้เรารึอยู่ตรงนี้ แค่แวะมาทักทายกันบ้างก็ยังไม่มา เรียกให้มา เกณฑ์ให้มาก็ยังไม่ค่อยจะยอมมา

อย่ากระนั้นเลย ฆ่าแม่งเลยดีกว่า เรื่องจบไม่จบไม่สำคัญแต่มันคงทำให้หายแค้นบ้างละวะ

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รัฐบาลแห่งชาติ

รัฐบาลแห่งชาติ (ชาตินี้ล่ะค่ะ ไม่ใช่ชาติหน้า)

เรียกร้องกันจังว่าอยากให้มีรัฐบาลแห่งชาติ  ความคิดนี้ไม่ใช่เพิ่งมี มีนานนม
สมัยบิ๊กจิ๋ว ก็เฝ้าแต่ร้องเรียกหา มาสมัยเสธ.อร้ายยยย ก็อยากให้มีอีก

งั้นลองมาดูกันทีรึว่า ทำไมต้องการกันนัก เอา เป็นแบบในความคิดของพวกรักชาติก่อน
พวกที่รักชาติขนาดหนัก ย่อมเห็นว่า การที่บ้านเมืองแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทำงานกันลำบาก
เพราะจะหยิบจะจับอะไร ก็ติดขัดไปเสียหมด หากมีรัฐบาลแห่งชาติ แปลว่าไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล
สมัครสมานกลมเกลียวกัน มองประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ไม่คอยคัดค้าน
ขัดแข้งขัดขา เห็นไหมคะดีออก

เอ แล้วจะทำไงดี ให้มีรัฐบาลแห่งชาติ จะให้ลอยลงมาจากฟ้าก็คงไม่ได้
เพราะประชาคมนานาชาติ เขาไม่ยอมรับ และที่สำคัญขัดกับรัฐธรรมนูญ
เพราะรัฐบาลตามรธน.ว่าไว้ว่าต้องมาจากการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีต้องได้รับการโหวตในสภา
ต้องสังกัดพรรคการเมือง และต้องเป็นสส. เพราะฉนั้น ไอ้ประเภทลอยลงมาหรือ
มาจากค่ายทหาร หรือมาจากการปฏิวัติ ล้วนจะไม่เป็นที่ยอมรับทั้งจากประชาชนและนานาชาติ

ทีนี้จะทำไงดี ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้ารัฐบาลแห่งชาติหมายถึงว่าหยุดตีกันสักพัก
มุ่งแต่ประโยชน์ชาติ แทนที่จะไปเรียกร้องฝั่งรัฐบาล ที่ถูก ต้องไปเรียกร้อง
จากฟากฝ่ายค้าน ว่าถ้ารักชาติจริง ให้ร่วมมือร่วมใจ นำพาประเทศออกไปให้พ้นวิกฤต
อย่ามัวแต่จ้องจับผิดตีสำนวนไปวันๆ อะไรที่เป็นประโยชน์ ต้องร่วมมือร่วมใจ ไม่ใช่คอยแต่ค้านตะพึดตะพือ

ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลนี้มาอย่างถูกต้อง ได้รับเสียงจากประชาชนให้มาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ
ดังนั้นการโค่นล้มเพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ มันตลก และไม่สมเหตุสมผล
ดังนั้น การคิดจะมีรัฐบาลแห่งชาติ เพราะอกหัก แพ้เลือกตั้งจึงไม่เป้นวิถีทางแห่งประชาธิปไตย

เรามาเรียกร้องฝ่ายค้านกันดีกว่า ร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลนี้ อีก3ปีครบเทอม
ลงเลือกตั้งใหม่คงกระเตื้องขึ้นมาบ้าง ดีกว่า ตีรวนแบบนี้ จนคนเขาเบื่อ
ไม่เลือกเข้ามากวนในสภาอีก ละก็จบกัน

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ก็เข้าใจนะ

เขียนออกมาตั้ง300กว่าหน้า คงใช้เวลาไม่น้อย คาดว่าคงเริ่มต้นเขียนกันตั้งแต่ตอนได้รับการแต่งตั้ง
ก็ย้อนกลับไปดูสิว่าใครตั้ง ตั้งเมื่อใด ตอนตั้ง คนตั้งเขาก็มีเจตนาที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสักคณะหนึ่ง
ที่ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะเป็นกลาง เจตนาคงไม่มีอะไรมากไปกว่าตั้งให้ขึ้นมาฟอกความผิดของตัวเอง

ไม่ผิดหวังหรอกค่ะ เมื่อเจตนาในตอนตั้งมีไว้เช่นนั้น รายงานก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพียงแต่ว่า มันไม่ตรงกับความจริง
ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า เขียนคลุมๆลอยๆ อ้างว่าจากการไปสัมภาษณ์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครบ้าง ซึ่งขัดกับความจริง
อย่างสิ้นเชิง

300หน้าคงไม่ได้เขียนกันวันสองวัน คงเขียนมาแต่เริ่มแหละค่ะ เขียนโดยไม่คาดคิดว่า สถานการณ์ จะพลิก
คงไม่คิดว่ารัฐบาลจะเปลี่ยน รายงานเลยออกมาเอาใจคนตั้งเต็มที่ กอรปกับเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว
สถานการ์ณเปลี่ยน รัฐบาลเปลี่ยน ควรที่จะเขียนใหม่ ก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะทำ ก็เลยเอาวะ สันดานมักง่าย
ออกรายงานให้คนเขาก่นด่ากันทั่วเมือง คงคิดว่า คำด่าเป็นคำเยินยอ อีกไม่นานคนคงลืม

มิน่าเล่า ก่อนจะออกมาแถลง ถึงได้พูดว่า เมื่อแถลงเสร็จให้รีบแยกย้ายสลายตัว เพราะคนที่รักเสธ.แดง กะคนเสื้อแดง
ต้องไม่พอใจแน่ เป็นไปตามคาดล่ะค่ะ ก็รายงานอย่างกับเอาตีนเขียน ผ่านหัวใจสัตว์อย่างนี้ จะให้ไม่ต้องคนเสื้อแดง
หรอก แม้แต่คนที่รักความยุติธรรมได้ยินเข้าก็ต้องด่าเป็นธรรมดา

ที่เลวร้ายที่สุดของรายงานนี้เห็นจะเป็นเรื่องของเสธ.แดง ไอ้แก่กะโหลกกะลาพวกนี้ คงถือภาษิตว่า"คนตายพูดไม่ได้"
เลยซัดเขาเสียเต็มที่ หาคำตอบอะไรไม่ได้ ก็โทษเสธ.แดงไว้ก่อน เพราะเขาออกมาแก้ตัวแก้ต่าง โต้แย้งการใส่ความไม่ได้

มันน่าละอายนะคะ แก่ๆกันแล้ว กลับไม่นึกถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เผื่อยังไม่รู้ว่ามีใครกันบ้าง ก็นี่เลย เอามาลงเอาไว้ให้รู้จักกัน

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

30 บาทอีกครั้ง

ไม่เข้าใจว่า กลับมาฮือฮาทำไมอีก เรื่อง 30 บาทที่โรงพยาบาลต้องเก็บ

เห็นในข่าวว่ามีหลายโรงพยาบาลออกมาบอกว่าจะไม่เก็บ แล้วมีคนเอามาขยายต่อ

ว่าเป็นการตบหน้ารัฐบาล (ว่าเข้าไปนั่น)


อันที่จริงจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่มีการยกเลิกการเก็บไป

ในสมัยรัฐบาลก่อน นัยว่า มันน้อยไปไม่รู้จะเก็บไปทำไม หรือเพียงเพื่อจะใส่ไคล้รัฐบาลที่คิดนโยบายนี้ขึ้นมา

หรือเพียงเพราะจะทำให้ดูดีกว่า ว่าเห็นไหม ให้ฟรี ไม่ต้องเสียสักบาท


จะอย่างไรก็แล้วแต่เรื่องนี้ มันแสดงให้เห็นว่า คนไทยเป็นคนที่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยแสวงหาความจริง

ชอบแต่เรื่องนินทา ชอบแต่ฟังเขามา แล้วเอามาเล่าต่อ กลายเป็นนิทานประเภท ขนนกปลิว แค่ถ่มน้ำลาย

กลายเป็นนกทั้งตัวบินออกมาจากปากได้


เรื่อง 30บาทนี้ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณ จำได้ว่าเป็นนโยบายที่ใช้หาเสียง

ที่ฮือฮามาก มีหลายคนไม่เชื่อว่าจะทำได้ ด้วยว่าไม่เข้าใจบ้าง คิดไม่ละเอียดบ้าง

เกลียดขี้หน้าคนคิดนโยบายบ้าง โดยไม่เคยฟังคำอธิบายเลยว่าเขาจะทำได้อย่างไร

เอาเงินมาจากไหน พอเห็นว่าเป็นการให้การรักษาอย่างเท่าเทียมกันทั่วประเทศ ก็ตาหูแหก

หลับตานึกถึงเงินก้อนมหึมาที่ต้องใช้ไปกับนโยบายนี้ แล้วก็เริ่มต้นด่า


อันที่จริงหลักใหญ่ในการออกนโยบายนี้ และอีกหลายๆนโยบายของพรรคที่มีคุณทักษิณเป็นผู้นำ

ก็มีเพียงข้อเดียว คือ"ต้องการให้คนไทยทุกคน ได้มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน"

ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ด้านการศึกษา การเข้าถึงแหล่งทุน และที่สำคัญ เรื่องสุขภาพ เบื้องหลังทุกนโยบาย

ก็มีเท่านี้จริงๆค่ะ เป็นเพราะประเทศนี้ มีความเหลื่อมล้ำมาก ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะได้รับสิทธิ์ประโยชน์

อย่างเท่าเทียมกัน พรรคจึงมีแนวคิดที่จะกระจายความเท่าเทียมไปยังคนทุกคนทั่วประเทศ และนี่ก็คง

เป็นเหตุผลใหญ่อีกข้อที่เขาต้องการกำจัดคุณทักษิณออกไปจากแวดวงการเมือง คือ ประเทศนี้เขาไม่ต้องการ

ให้คนเท่าเทียมกัน เขาต้องการให้มีชนชั้น เขาจะได้โหนได้ห้อยแม้จะอยู่ปลายแถวของสายพันธ์

เขาไม่อยากให้คนจนลืมตาอ้าปากได้ ด้วยความคิดว่าหากทุกคนลืมตา(เดี๋ยวก็เห็นทุกอย่างชัดเจนน่ะสิ

อ้าปาก(เดี๋ยวก็มากินส่วนที่เคยสวาปามอยู่กลุ่มเดียวเท่านั้นน่ะสิ)ได้ ก็แค่นั้นแหละที่ค้านกันหัวชนฝา


30บาท เป็นนโยบายที่มีปัญหา เพราะ ยอดเงินกระมัง หลายครั้่งที่พูดกันเรื่องนี้ งงกับตัวเลขนี้

สมัยนายกฯหลังการปฏิวัติ ไอ้รัฐบาลขิงแก่นั่นแหละ ก็มีคนออกมาโวยว่า ยุ่งยาก การเก็บเงิน

แค่ 30บาท ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะค่าใช้จ่ายในการทำทะเบียนประวัติก็เกินอยู่แล้ว งั้นจะไปเก็บ

ทำไม ไอ้คนพูดอย่างนี้น่ะ เป็นแค่คนที่มีอคติ เป็นแค่คนที่คิดว่าจะออกมาโจมตีเขาเท่านั้นเอง

จริงอยู่ 30 บาทมันเอาไปทำอะไรไม่ได้ ไม่พอกับค่าใช้จ่าย แต่มันดีกับประชาชน มันทำให้

รู้สึกว่า เราไม่ใช่คนไข้อนาถา เราจ่ายเงินรักษาตัวเอง ไอ้พวกมาต่อต้านเนี่ย ไม่เข้าใจคำว่า

"ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์"หรอกค่ะ ไม่เข้าใจว่าคนเราสิ่งสำคัญคือศักดิ์ศรี มันคิดแต่ว่ามีแต่พวกมัน

พวกเดียวที่มีศักดิ์ศรี ที่จะให้ใครมาลบหลู่ไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าคนจนจะมีสิทธิ์เข้าถึง ยิ่งทนไม่ได้


นอกจากนี้ 30 บาทยังทำให้คนหยุดคิดก่อนเดินเข้าโรงพยาบาล ไม่ใช่ของฟรีนะเว้ยเฮ้ย

จะได้เดินเข้าออกไปขอยาแก้ปวดหัวเล่นทุกอาทิตย์ เนี่ยก็เป็นเหตุหนึ่งที่เก็บเงิน(ซึ่งเวลาออก

มาโจมตี ก็ไม่กล้าที่จะชี้ประเด็นนี้) และที่สำคัญที่ไอ้พวกมีแต่ปากไม่รู้และไม่เคยคิดจะรู้คือ

ไม่มีใครอยากเป็นขอทาน ทุกคนชอบของฟรี แต่ไม่อยากให้ของฟรีนั้นมาในรูปของทาน

ที่เอามาแจกให้ ไม่มีใครอยากดูเป็นคนยากไร้ เขาอยากยืนบนลำแข้งของตัวเอง เขาอยาก

เข้าถึงสิทธิ์ที่เขาพึงจะได้ ไม่ต้องมาแจก ไม่ต้องให้ไปยืนตากแดดหัวแดงทั้งวันเพื่อรอรับของแจก

เข้าใจกันบ้างไหมคะ


ส่วนเรื่องเงินที่จะรักษาพยาบาลจากโครงการนี้ ไม่ต่อว่าไม่ถามกันแล้วมังคะ คงรู้กันหมดแล้วสิท่าว่าเขาไปเอามาจากไหน

ทีแรกที่ออกมาโวยเพราะยังไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ พอรู้ว่าเงินที่เอามาใช้ก็เป็นเงินงบประมาณปกติ ไม่ได้ต้องเพิ่มวงเงิน

ขึ้นไปสักหน่อย ก็เลยเงียบกันเป็นเป่าสากกันซะงั้น หันมาเล่นเรื่อง ตัวเลข 30บาทแทน อันที่จริง หากเก็บสัก 50บาท ก็คงได้

แต่ว่ามันดูแพงไปนิด (ตั้งครึ่งร้อย) 30เนี่ยแหละกำลังดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป ที่สำคัญมันทำให้คนจำได้ไง้ จำได้ว่าใครคิดใครนำมาใช้

จนได้มาเป็นตัวเลข 377เสียงนั่นยังไง ฮา

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มันคงสับสน

ข่าวว่า หลังการเข้าไปให้การกับDSI ซึ่งใช้เวลานานเหลือเกิน

นายกฯมือเปื้อนเลือด เข้าให้การ 3ชม. และอ่านทบทวนคำให้การอีก4ชม.

เขาว่าเป็นการทบทวนคำให้การที่นานที่สุด มันคงอ่านไทยไม่ค่อยออก

ไม่ก็กลัวเขาจะแอบหมกเม็ด เขียนอะไรที่ตัวไม่ได้พูดลงไปอีก เลยอ่านนานหน่อย

เสร็จออกมาไม่ได้ให้สัมภาษณ์อะไรกับนักข่าว สงสัยยังงงตึ๊บ


ส่วนฝ่ายไอ้เมือก ในฐานะผอ.ศอฉ. โดนเข้าไป13ชม. ทั้งถามทั้งให้ดูคลิ้ป

ที่แม่งตอบว่าไม่เคยเห็น(ตามที่ทราบและนำมาด่ากันสนุกสนานไปแล้วนั้น)

มันยืนยันว่า ทุกคำสั่งของศอฉ. ในฐานะผอ. มันเป็นคนเซ็นแต่เพียงผู้เดียว

ไอ้นายกฯหัวกรวยไม่รู้เรื่อง เพียงมารับข้อกล่าวหาเอ๊ย ไม่ใช่มารับฟังการบรรยาย

สรุบทุกเช้าเท่านั้นเอง อุ๊ย ว้าย ดูแมนมั้กมาก แอ่นอกรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว


แต่มันคงลืมความจริงไปข้อหนึ่งว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้นำสูงสุดในสายการบริหาร

เมื่อเกืดอะไรขึ้นในขณะดำรงตำแหน่งต้องรับผิดชอบด้วย แม้ไม่ใช่คนเซ็น

ในการให้การเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นการช่วยนายกฯในขณะนั้น จริงหรือเปล่า

หรือเพียงต้องการ 1.ให้ตัวเองดูดีเป็นสุภาพบุรุษ หรือ2. โชว์ความอ่อนด้อยของนายมาร์ค

นายกฯอะไร้ เกิดเหตุร้ายแรงในบ้านเมือง ออกข่าวครึกโครมว่าเข้าไปสุมหัวกัน

ในราบ 11 เพื่อแก้ไขปัญหา แต่ไอ้เมือกออกมารับว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไร เพียงแต่เข้ารับฟังการสรุป

ทุกเช้าเท่านั้นเอง ไม่รู้ไม่เห็น สั่งการอะไรก็ไม่ได้ อ้อ เมือกบอกที่อุตส่าห์ให้เข้ามาฟังการสรุปเนี่ย

เพียงเพราะจะได้มีอะไรไปเสนอหน้า(งานถนัด)ออกทีวีชี้แจงเท่านั้นเอง


เอาเถอะ ไม่ว่าจะเพราะอะไร ภาพที่แทนจะดูดีกลับยิ่งตกต่ำลงไปจนไม่เหลือ

ไม่รู้ว่าซักซ้อมกันมาหรือเปล่าให้นายมาร์คตอบไปในทางเดียวกัน ว่าไม่รู้ไม่เห็น


ที่ว่ามันคงสับสนเพราะ คงจำได้ว่า เมื่อเกิดถูกเรียกไปสอบ ลิ่วล้อปชป. ก็ออกโรงตีปี๊บ

ให้ข่าวว่า ทำเรื่องฟ้องคุณทักษิณ ต่อICC .ในกรณี ฆ่าตัดตอนในการปราบยาเสพติด

ทั้งๆที่เขาไม่ได้มีคำสั่งให้ฆ่าด้วยซ้ำ เพียงแต่เป็นนายกฯที่มีนโยบายปราบปรามอย่างเด็ดขาด

กลับเอาไปฟ้องเขาในฐานะนายกรัฐมนตรี เหอๆ แต่มีคำสั่งฆ่าคนที่บริสุทธิ์ กลับบอกนายกฯ

ไม่เกี่ยว เฮ้ย เมิงจะเอาไงก็เอาสักอย่าง ตกลงเมื่อมีการตายในบ้านเมือง นายกฯต้องเกี่ยวหรือเปล่า

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ต้องเข้าใจกันก่อนนะ

จากการที่เอกสารของศอฉ. หลุดออกมา เรื่องการสั่งยิงด้วยสไนเปอร์นั้น

จะไปโทษ ไอ้พลซุ่มยิง หรือคนสั่งไม่ได้นา


ก็ในเอกสารเขาว่า ในกรณีมีผู้ก่อการร้ายปะปนอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุม ให้ใช้ได้

หากจุดไหนไม่มี ก็ร้องขอมาใช้ยิงได้ เห็นไหมล่ะ เขาไม่ได้บอกสักหน่อย

ว่าให้ยิงผู้ก่อการร้าย


ก็ในเมื่อเขาเชื่อว่ามีผู้ก่อการร้ายปะปน แต่เผอิญมันไม่รู้ไงว่าเป็นคนไหนบ้าง

ตามคำสั่งเขาว่าให้ยิงได้ มันเลยยิงมั่วไปหมด ยิงคนขับแท็กซี่บ้าง คนไปรับหลานบ้าง

คนที่เป็นนักข่าวบ้าง ที่ร้ายสุดคือยิงอาสาพยาบาล


เห็นไหมล่ะ ก็สั่งมาหลวมๆว่าให้ยิงได้ ก็ไอ้นายเหนือขึ้นไปมันไม่ได้เจาะจงนี่นาว่ายิงอะไรได้

อะไรยิงไม่ได้ ก่อนมาประจำการ เขาก็กรอกใส่หัวมาแล้วว่า พวกที่อยู่ในที่ชุมนุม

มีผู้ก่อการร้ายเต็มไปหมด เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ยิงไว้ก่อน ตามแบบฉบับทหาร ที่เขาสอนกันมา

เนิ่นนานแล้วว่า ยิงก่อนแล้วค่อยถาม(อ้าวนี่เรื่องจริงนะเนี่ย เขาสอนมาอย่างนี้จริงๆ)


แต่เอ ที่ยิงคนจนสมองไหลที่หน้าสตรีวิทย์นี่ ยังคิดมุกผู้ก่อการร้ายไม่ได้เลยนี่นา แล้วเอาไงดีล่ะ

ไอ้มุกผู้ก่อการร้ายนี่มาคิดได้ตอนที่ไอ้ร่มเกล้ามันตายโหงไปแล้วนี่นา แต่ทหารมันดันส่องยิงชาวบ้านถือธงก่อนเป็นรายแรก

เอาละโว้ย อุตส่าห์ เข้ามาช่วยแก้ตัวให้แล้วนา แต่แหมมันไม่ไหวว่ะ ความผิดมันทนโท่ ไม่รู้จะช่วยแถยังไง


เอาเป็นว่ารับโทษไปกันทั่วๆแล้วกันนิ ทั้งคนสั่ง(ผอ.ศอฉ.) นายกฯในฐานะหัวหน้าศอฉ.อีกที

คนยิงจะอ้างว่าทำตามคำสั่งโดยหวังจะปัดไปให้เจ้านายรับผิดคนเดียวก็ไม่ได้ล่ะนะ

เพราะผลที่พิสูจน์ได้ว่าพวกแกทำเกินกว่าเหตุ คนตายและคนเจ็บไม่มีใครมีอาวุธในมือ

ตอนถูกยิงเลยสักคน ทีนี้จะแก้ตัวกันอย่างไรดีละเนี่ย ตัวใครตัวมันละกัน ไม่ต้องโบ้ย

โดนกันทุกคนจ้า

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มหาภารตะยุทธ

เพิ่งดูจบไปเมื่อคืนเองค่ะ ซื้อแผ่นผีแหละค่ะ อายเหมือนกันนะคะ

แต่ไม่สนับสนุนให้ใครทำนะคะ มันไม่ดี ไม่ถูกต้อง ที่ถูก เราต้อง

ซื้อแผ่นลิขสิทธิ์ ราคาเป็นพัน (ฟังดูคุ้นๆไหมเนี่ย ชอบสอนให้คนทำความดี

แต่ตัวเองไม่เคยทำตามที่ตัวเองสอนเลยเนี่ย)

หนังแผ่นผี ก็มีข้อเสียนะคะ คือมันไม่ชัด เอาเสียเลย เสียงก็ค่อยๆ ดังๆ ไปตามเรื่อง

ต้องคอยถือรีโมตไว้ในมือ ปรับเสียงขึ้นลงตามสถานการณ์ อิอิ

ที่ซื้อมาดูเพราะเผอิญหนังเกาหลีใหม่ๆยังไม่มา เลยซื้อมาดูแก้ขัด

หนังอินเดียก็คือหนังอินเดียนะคะ พระเอก-นางเอง อ้วนพี สมบูรณ์มาก

เนื้อเรื่องคงพอทราบกันบ้าง ที่เขียนนี่ไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวหรอกค่ะ

แต่ดูมาตั้งนาน จนแผ่นจบ ตอนที่จะเริ่ม มหาสงครามที่ทุ่งคุรุเกษตร

ได้ฟังบทสนากระตุกใจ จนต้องนำมาเขียนถึง

อยากส่งไปให้ทหารหาญ และคนบางคนได้ดูจังเลย

ช่วงที่เผชิญหน้ากัน กำลังเตรียมจะสู้รบ ตัวเอกของเรื่อง

ที่ชื่ออรชุน โดยมีกฤษณะเป็นสารถีรถศึกให้ กระโดดลงไป

แล้ววางคันธนูลงบนพื้น พร้อมพูดว่า "เราไม่รู้ว่าจะสู้รบไปทำไม

ในการสงครามย่อมมีความตายในเบื้องหน้า แต่คนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง

ต่างก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน พูดภาษาเดียวกันทั้งสิ้น"

ก็ประโยคนี้ล่ะค่ะที่ฟังแล้วมันจี้๊ด อยากส่งไปให้ฟังกันในกองทัพ

ถ้าเขาได้ฟังเสียก่อนที่จะถือปืนออกมายิงประชาชน อาจคิดได้บ้าง

แต่อย่างว่าแหละเนอะ ดั๊นมีกฤษณะเป็นคนชี้นำ เป็นคนที่ยุงยงให้สู้รบ

แล้วดั๊นเป็นคนที่เหมือนใครบางคนในประเทศนี้ด้วยแฮะ คือ เชื่อว่า

ตนเป็นพระเจ้า เป็นคนดี ตัดสินได้ว่าใครถูกใครผิด ใครเป็น ธรรมะ-อธรรม

บอกอรชุนว่า เพื่อให้ธรรมะชนะอธรรม ต้องออกไปรบ เออเนาะเป็น

พระเจ้าจริงด้วย

ส่วนอีกตอนที่ประทับใจ คือตอนจบ ที่ภีสมะบุตรคงคา พูดก่อนตาย

เพราะโดนศรปักเต็มตัวจนกลายเป็นเตียงธนู นอนรอความตายอยู่หลายวัน อิอิ

หนังค่ะหนังอย่าคิดมาก จะตายทันทีได้ไง ต้องยื้อไว้ให้ถึงตอนจบสิ

ทั้งๆที่ภีสมะได้รับพร มาว่าหากไม่อยากตายก็จะไม่ตาย จนแก่ผมขาวเลอะเลือน

แล้วก็ยังไม่อยากตาย จนมาถึงตอนใกล้จบ พบว่าความตายของตน

อาจช่วยให้สงครามยุทธครั้งนี้ยุติลงได้(ซี่งก็หาเป็นเช่นนั้นไม่) จึงขอความตาย

ทีเด็ดอยู่ตรงที่ก่อนตายภีสมะสำนึกผิดค่ะ ได้พูดประโยคทองออกมาว่า

"การที่เราเป็นผู้ใหญ่สูงสุด เห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง แต่ไม่ได้พยายาม

ที่จะหยุดมันเสียแต่แรก กลับปล่อยให้ความไม่ถูกต้องดำเนินต่อไป

จนทำให้เกิด มหาภารตะยุทธ ผู้คนล้มตาย เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง"

นี่แหละค่ะ ภาวะผู้นำ เสียดายมาช้าไปหน่อย กว่าจะคิดได้ว่าตนมีอำนาจ

ที่จะหยุดยั้งความแตกแยกได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ จนต้องมานอน พะงาบๆ สารภาพผิด

แค่นี้แหละค่ะที่ประทับใจหนังเรื่องนี้ ที่อยากส่งไปให้ใครบางคนดู ก่อนที่จะสายเกินไป

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ถึงเวลาหรือยัง

คุณว่าถึงเวลาหรือยังที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสำนึกได้ว่า
ไม่ควรเล้ย ไม่ควรเลย ที่โดดเข้าไปรับตำแหน่งนายกฯ อย่างไม่สง่างาม
ในครั้งนั้น เข้ารับตำแหน่งอันทรงเกียรติ ทั้งๆที่ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง
ได้ตำแหน่งมาอย่างพิศดาร ขนาดเป็นที่เล่าขานกันไปทั่ว ถึงวิธี อันสลับซับซ้อน
ใช้กลไก ทุกรูปแบบ ทั้งอำนาจ เงิน ตำแหน่ง เครื่องล่อใจ จนถึงการข่มขู่สารพัด
กว่าจะดันตัวเองขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯ แต่ก็เป็นทุกขลาภของแท้
เป็นลาภอันมิควรได้จริงๆ

ด้วยความอยาก เลยทำให้ คนหนุ่มที่น่าจะมีอนาคตดีงาม กลับมาได้รับสมญาว่า
"ไอ้ฆาตกร" ถูกคนก่นด่า สาปแช่งไปทั่ว เดินทางไปไหนก็มีคนตามไปถือป้ายด่าทอ
หนักหน่อยก็ถูกโห่ร้องตะโกนขับไล่

นี่คงไม่ใช่ภาพที่นายอภิสิทธิ์ใฝ่ฝันถึง เขาคงเพียงอยากจะดูเทห์
ได้นั่งเก้าอี้อันทรงเกียรติ ได้รับการยกย่อง นับหน้าถือตา
แต่ความอยากของนายอภิสิทธิ์ มันเป็นความอยากที่สูงสุดเอื้อม
เลยต้องมีตัวช่วยช่วยโน้มกิ่ง จริงๆก็จะเรียกโน้มก็ดูจะน้อยไป
ต้องเรียกว่า หักกิ่งเอามยื่นให้เลยทีเดียว

แต่ด้วยความที่ด้อยความสามารถจริงๆ แม้ตำแหน่งที่คนอื่นเขาทำทุกวิถีทาง
ผิดถูกไม่สนใจ นำมามอบให้ นายอภิสิทธิ์ กลับไม่สามารถดำรงตำแหน่ง และแสดงศักยภาพ
ของตนให้ปรากฎ ลองคิดดูหากนายอภิสิทธิ์เก่งจริง เวลาตั้งสองปีกว่าที่อยู่ในตำแหน่ง
คงทำให้นายอภิสิทธิ์ สร้างชื่อให้ปรากฎ คนจดจำในทางที่ดีได้ไม่น้อย
แต่น่าเสียดาย ความจริงก็คือความจริง เขาเป็นคนไม่มีความสามารถ
แต่เป็นเพราะแรงผลักดันที่ผิดธรรมชาติ จึงทำให้เขาตกลงไปในกับดัก
ของตัวเอง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งจม เลอะเทอะหนักเข้าไปอีก

ใครจะไปรู้ หากนายอภิสิทธิ์ ไม่อยากเป็นนายกฯ ไม่รับตำแหน่งในวันนั้น
เรื่องที่เขาเคยทำผิด ทำชั่วมาในอดีตคงไม่มีใครทราบ ที่เห็นชัดๆก็เรื่อง
หนีทหาร เชื่อเถอะ ในประเทศนี้น่ะ คนหนีทหาร มีเยอะแยะ ลูกท่านหลานเธอ
ลูกอาเจ้ก อาแปะ ที่มีสตางค์ ไม่อยากให้ลูกไปลำบาก ก็หาวิธีหลีกเลี่ยง
กันทั้งนั้น ก็แหมบางคนตอนเรียนรด. ก็ไม่อยากเรียน พอต้องไปคัดเลือก
ก็ใช้สารพัดวิธีที่จะหลบ ใช้เงิน ใช้เส้นสายกันทั้งสิ้น

แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ไม่ได้กระสันต์อยากมาเป็นนายกฯ
ให้ได้รับการตรวจสอบ ส่วนนายอภิสิทธิื ผู้โลภมาก อยากเป็นนายกฯ
ตามที่เล่าว่าอยากมาแต่เด็ก แต่ก็ไม่รู้จักจัดการชีวิตให้ถูกต้องดีงาม
หากอภิสิทธิ์ ไปรับการเกณฑ์ และใช้วิธีอื่นในการหนีการคัดเลือกมา
ก็จะไม่ดูทุเรศเท่านี้ ถ้านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้เล่นการเมือง ไม่ได้ทยานอยาก
นั่งเก้าอี้ที่ตนไม่ควรนั่ง ผลคือเขาเลยต้องจ่ายด้วยราคาแพงลิบลิ่ว
พ่อแม่ถูกลากมาด่าทอไปด้วย เพราะเมื่อจวนตัว นายอภิสิทธิื ก็จะโทษ
พ่อแม่ ดังเช่นเรื่อง การแจ้งเกิด เมื่อ ถูกซักเรื่องสองสัญชาติในสภา
ก็อภิปรายว่า ไม่ได้เป็นคนไปแจ้งเกิดเอง เรื่องหนีทหาร ทำเอกสารปลอม
ก็คงโทษว่าพ่อไปหามาให้เอาไปยื่น จะปลอมหรือไม่ไม่ทราบ

หากอภิสิทธิ์เป็นนายก.นายข. ประกอบสัมมาอาชีวะอย่างคนปกติ มีหรือ
ที่ใครจะไปขุดคุ้ยออกมาได้ว่า ใช้เอกสารปลอม เขาว่าคนโกหก ลองได้เริ่มครั้งแรก
โอกาสที่จะพูดความจริงครั้งต่อๆไปก็ยาก ต้องโกหกทับเข้าไปเรื่อยๆ
เพราะกลัวว่าไอ้ที่โกหก ครั้งแรกมันจะเผยออกมา

นายอภิสิทธิ์ ป่านนี้จะกินได้นอนหลับอย่างปกติหรือไม่ ที่ทุกวันต้อง
คิดหาเรื่องมาโกหกไปเรื่อยๆ จนชักสับสน ออกอาการบ้า จนคนเขาตั้งข้อสังเกต
เขาจะเสียใจหรือยังว่าไม่น่าเลย ไม่น่ามาเล่นการเมือง ไม่น่ารับตำแหน่ง
จนทำให้ชีวิตดิ่งลงเหว จนยากจะตะกายขึ้นมา นับแต่นี้ไป ชื่ออภิสิทธิ์
คงได้รับการจารึกว่า นายกฯผู้หนีทหาร ใช้เอกสารปลอม และเผลอๆจะต้อง
เป็นนายกฯคนแรก(ตามที่เขาชอบเป็น เป็นคนแรก) ที่ติดคุกฐานสั่งการโดยมิชอบ
ฆ่าคนตายเกลื่อนเมือง

ถึงเวลาหรือยังที่อภิสิทธิ์จะนอนร้องไห้ทั้งคืน คร่ำครวญว่า "ไม่น่าเลย"

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก็เรื่องรถกันกระสุนประจำตำแหน่งน่ะค่ะ ชื่อเขาก็บอกว่าเป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อพ้นตำแหน่งไป ก็จำเป็นต้องส่งคืน จะมาอ้างนั่นอ้างนี่ ว่ายังมีสิทธิ์ใช้ได้ไง

เขาไม่ได้ให้ใช้เพราะต้องการใช้สักหน่อย ไอ้นิสัยติดตัวที่เห็นแก่ได้ แฮ้บของหลวงไว้เป็นของส่วนตัวเนี่ย
เป็นกันตั้งแต่หัวจรดหาง ไอ้ลูกพี่ใหญ่ก็อยู่บ้านหลวง ที่เขาว่าเป็นบ้านประจำตำแหน่งของผบทบ.
พ้นไปตั้งไม่รู้กี่สิบปีแล้ว ก็ยังไม่ยอมออก เห็นเขาว่าคนที่อยู่คนแรกคือจอมพลสฤดิ์ คงต้องรอให้ลาตาย
ก่อนจะย้ายออกกระมัง

ไอ้เรื่องของหลวงเนี่ย มันเป็นวิสัยของผู้เจริญนะคะ คนที่มีจิตใจดี ไม่มักได้
ต้องรู้ว่า ได้มาพร้อมกับตำแหน่ง เมื่อพ้นตำแหน่ง จำต้องส่งคืน ไม่ใช่เก็บไว้ใช้เป็นสมบัติส่วนตัว
นี่ถ้ารถที่อมไว้ไม่เกิดยางแตก ความจะแตกไหมเนี่ย

แล้วที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยันรถที่นายอภิสิทธิใช้เบิกมาอย่างถูกต้อง
โดยกลุ่มงานผู้นำฝ่ายค้าน สภาผู้แทนราษฎร จากศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.)
มันไม่ถูกนะคะ หากรถคันนี้ถูกจัดซื้อมาเพื่อใช้เป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อไม่ได้เป็นนายกฯ แม้จะทำเรื่องขอใช้ ก็ไม่น่าจะถูกต้อง

โชคดีที่ไทยไม่มีบ้านประจำตำแหน่งนายกฯ (เพราะถึงมีก็ไม่มีใครกล้าใช้ เพราะกลัวผี)
ไม่เช่นนั้น ป่านนี้คงต้องปลูกบ้านกันไม่เว้นแต่ละปี เพราะเปลี่ยนนายกฯบ่อย แล้วไอ้คนเก่าก็อ้างว่า
ทำเรื่องขอใช้เป็นการถาวรแล้ว

นิสัยที่เห็นแก่ได้ อมของเล็กๆน้อยๆ เนี่ยมันดูไม่ดีเลยนะคะ รถประจำตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านก็มี
ได้ข่าวว่าเบิกไปใช้แล้วด้วย ส่วนรถประจำตำแหน่งนายกฯก็ไม่คืน มันกระไรอยู่นา
เห็นเถียงว่ารถราคาแค่ หกล้านกว่า ไม่มีปัญญาหาซื้อเองหรือไง อย่างไรก็ลูกพรรคโกงเงินไปตั้งเยอะ
ออกตังค์ซื้อให้ลูกพี่นั่งหน่อยเป็นไร จะได้ไม่ถูกเขาก่นด่ากันเต็มไทม์ไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธรรมาภิบาล

เรื่องปลดDD การบินไทย สหภาพร้องจ๊าก หาว่าผิดธรรมาภิบาล
เคลื่อนไหวกันยกใหญ่

เผอิญมีคนมาส่งข่าวว่าสหภาพการบินไทย ความรู้สึกช้ามากไปมั้ง
เพราะวันที่DD คนนี้เข้ามาก็มาไม่ถูกต้องนา มีคนเขาร้องด้วยซ้ำว่า
ตอนมาแกคุณสมบัติไม่ครบ นะคะ

มาจะเล่าให้ฟัง คือว่าก่อนทีแกจะมาเป็น DDการบินไทยน่ะ
แกทำงานอยู่ที่บาฟส์(บริษัทบริการเชื้องเพลิงการบินกรุงเทพจำกัด (มหาชน)
อันว่าบริษัทนี้เป็นคู่สัญญากับบริษัทการบินไทย(มหาชน)นะคะ และตามข้อห้ามของพรบ.
ได้ปรากฎชัดเจนว่าคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ระบุว่า ไม่เป็นหรือภายในระยะเวลา สามปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง ไม่เคยเป็นกรรมการ
หรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในนิติบุคคลที่ได้รับสัมปทาน
ผู้ร่วมทุน หรือมมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่การเป็นประธานกรรมการหรือ
กรรมการในนิติบุคคลดังกล่าว โดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจนั้น

นายปิยะสวัสดิ์ เคยทำงานที่บาฟส์จริงและลาออกเมื่อวันที่ 7 ตค.49 และได้มารับการคัดเลือกเป็นDDการบินไทย
ก่อนถึงเวลาครบ 3ปี จนมีผู้ร้องให้การแต่งตั้งนายปิยสวัสดิ์เป็นโมฆะ ขนาดรมต.คมนาคม
นายโสภณ ซารัมย์ ยังไม่กล้าเซ็นสัญญาจ้างทั้งที่ผ่านการอนุมัติมากว่า 3เดือน
แล้วเขาทำอย่างไรกันคะ แหมเรื่องนี้ง่ายมากสำหรับพรรคแมลงสาบและพวก ก็ดึงเรื่องไงคะ ดึงเอาไว้
ไม่กล้าแต่งตั้ง เป็นเวลา ถึง3เดือน กับ20วัน(คงจำได้เรื่องการตั้งผบตร.ที่ดองไว้ยาวนานที่สุด)
ซึ่งที่จริงแล้ว คุณสมบัติแก ก็ขาดตั้งแต่วันมาสมัครแล้ว แต่เผอิญเป็นพวกเดียวกัน
ก็ทำเป็นหรี่ตาเสียข้าง หยวนๆกันไป ถูลู่ถูกังแต่งตั้งจนสำเร็จ

แต่เรื่องนี้สหภาพไม่สนใจนะคะ มองไม่เห็นว่ามันขัดต่อหลักธรรมาภิบาล
เหมือนตอนที่ปลดDD เสียนี่ เรื่องนี้ ร้องปปช.ไปแล้วก็เงียบนะคะ ตามสไตล์
ของพวกธรรมาภิบาลสูงส่ง หากเป็นคนอื่น ไม่ใช่พวกตัว ป่านนี้มิลากลงมา
ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งหรือคะ ที่จริงควรเอาผิดย้อนหลังด้วยซ้ำ

ที่เขียนมาเพียงเพื่อจะบอกว่าถึงเวลามาอย่างไร ถึงเวลาไปก็รีบไปเงียบๆเถิดค่ะ
ปรามกองเชียร์ของตนเสียบ้าง อย่าปล่อยให้ออกมาร้องแรกแหกกะเฌอกันดังนัก
เดี๋ยวฝุ่นที่ซุกไว้ใต้พรมมันฟุ้ง จนได้เห็นความผิดกันบ้าง จำไว้ล่ะ

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ไอ้ฆาตกรต่อเนื่อง

เป็นคำพูดที่ได้ยินจากผู้หญิงคนหนึ่งในที่ชุมนุมเมื่อวาน
คนแน่นมากๆ แทบจะไม่ที่ยืนที่เดิน ได้ไปยืนอยู่กับเพื่อน
แล้วก็คุยกัน ถึงใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ

พอหญิงสาวคนนั้นได้ยิน เธอหันมาร่วมสนทนาด้วย
ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน(เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ไปร่วมชุมนุม
เพราะคนเสื้อแดง พอแดงแล้วก็ว่าเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง
เป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย)เธอหันมาบอกสั้นๆว่า
"ก็มันเป็นฆาตกรต่อเนื่อง"
เท่านั้นแหละ เข้าใจเลย เพราะอาการของฆาตกรต่อเนื่อง
คือเสพติดความตาย ลองได้ฆ่าสักคนแล้ว คนต่อๆไปก็ไม่ยากแล้ว
ยิ่งฆ่ามาก ยิ่งจะมีความสุข

ระวังรักษาตัว อย่าเป็นเหยื่อของมันก็แล้วกันค่ะ

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดุลยพินิจ


คำว่า"ดุลยพินิจ" กำลังฮิต โดยเฉพาะเมื่อเกิดความตายของ"อากง"
ที่ไม่ได้รับการอนุมัติปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อสู้คดี ถึง 8ครั้ง แม้ทนาย
จะอ้างในคำร้องต่างๆนาๆ ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ด้วยว่า ศาลท่าน
ใช้ดุลยพินิจว่า กลัวจำเลยหลบหนี

กมธ. (คณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร )โดยคุณ สุนัย จุลพงศธร
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน ได้จัดประชุมพิจารณาศึกษา
กรณีการเสียชีวิตของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง เอ็สเอ็มเอส ในระหว่างถูกคุมขังในราชทัณฑ์
เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏเหตุในลักษณะเช่นนี้อีก โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เข้าร่วมประชุม อาทิ น นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขธิการศาลยุติธรรม นายอานนท์ นำภา ทนายของอากง


จากข่าวคุณสุนัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะไม่วิจารณ์คำพิพากษาของศาล
แต่จะมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่าจะหาทางออกอย่างไร เพราะคนที่
ไม่พอใจในคำสั่งศาลไม่ใช่คู่กรณีของศาล แต่เป็นประชาชนทั่วไป
เพราะหลายคดีประชาชนก็ยังสงสัย เช่น กรณีปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
แต่ถูกปล่อยตัวหรือการที่นายการุณ ใสงาม อดีต ส.ว.บุรีรัมย์ ที่ไม่ยอมมอบตัว
กับตำรวจคดีปิดสนามบินและไม่ยอมออกจากรถ จนตำรวจต้องไปล๊อคตัวออกมาจากรถ
เมื่อสั่งสอบสวนเสร็จก็ปล่อยตัวโดยไม่ต้องประกันตัว ทำให้ประชาชนเข้าใจกันอย่างหลากหลาย
ซึ่งเราก็ต้องมาคุยเพื่อแก้ไขปัญหา


นายสราวุธ กล่าวว่า ศาลก็ไม่สบายใจในสิ่งที่เกิดขึ้น การจะปล่อยตัวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
การประกันตัวในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 ก็ได้รับการประกันตัวหลายคน
เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งที่ผ่านมาคนที่ได้รับ
การปล่อยตัวชั่วคราวมีร้อยละ 93 ที่ไม่ปล่อยร้อยละ 7 กรณีของอากงศาลเชื่อว่าจะมีการหลบหนี
ซึ่งก็เป็นการใช้ดุลยพินิจของศาล ศาลไม่ได้ตัดสินตามสีเสื้อ ตนก็อยากให้มีการปล่อยตัวนักโทษชั่วคราว
แต่ก็เกรงว่าจะหลบหนี อย่างกรณีของอากงหากเป็นโรคร้ายแรงก็ให้นำเอกสารมายืนยัน
แต่ในที่ผ่านมาไม่เคยระบุว่าป่วยขั้นไหน


น่าเสียดายนสพ.เดลินิวส์ลงข่าวแค่ที่ยกมาข้างต้น เท่านั้นเอง ไม่มีการเสนอ
ต่อว่า แล้วทนายพูดว่าอย่างไรงั้นขอ คุยกันเท่าที่ข่าวเสนอแล้วกันค่ะ
เมื่อรองเลขาธิการศาลท่านใช้คำว่า"ดุลพินิจ" ก็ต้องไปค้นหากันหน่อย
ว่ามันแปลว่าอะไร โดยปกติ ถ้าคำนี้ใช้กับศาล ก็จะไปตรงกับคำว่าdiscretionนะคะ
แปลเป็นไทยว่า "การพิจารณาอย่างละเอียด" ส่วนคำในภาษาอังกฤษนั้น
เขาแปลว่า Those in a position of power are most often able
to exercise discretion as to how they will apply or exercise that power.

หึหึ เอาเป็นว่า คำนี้ เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของศาลท่าน ก็ท่านมีอำนาจในการใช้
ท่านจะใช้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับท่าน แต่ต้องไม่ลืมว่า ความยุติธรรมที่แท้จริง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของใคร

เคยมีคนบอกว่า "ความยุติธรรม จะบังเกิด เมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่ายุติธรรม
จึงจะยุติ ข้อกล่าวหา ข้อโต้แย้งได้" ผู้พิพากษาที่ดี ต้องอย่างที่ อ.มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อเข้าไปในคุก เจอคนที่ตนเคยตัดสิน ให้ติดคุก เขาเข้ามาบอกว่า
เขายอมรับการตัดสิน เพราะเขาผิดจริง อย่างนี้จึงเรียกยุติธรรม

แต่เมื่อ ศาลท่านใช้ดุลยพินิจ ก็แปลว่า เป็นความรู้สึกส่วนตัวแท้ๆ
ขนาดรองเลขาธิการศาลท่านยังบอกว่า ดูสิ ขนาด"ลิ้ม" ยังได้ประกันตัวเลย
เอ่อ ช่างยกตัวอย่างเนอะ ก็"ลิ้ม"น่ะ ชาวบ้านชาวช่อง เขาเห็นว่าควร
จับไปขังคุกเสียบ้าง เพราะโดนหลายคดีเหลือเกิน โทษก็หนักๆทั้งสิ้น
รวมเวลาติดคุกที่ถูกตัดสินไป ก็คงประมาณ 100ปีเห็นจะได้ แต่ท่าน
ก็ใช้ดุลยพินิจว่าเขาคงไม่หลบหนี อาจเพราะเห็นว่าบินไปบินมาว่อน
ไปหมด แต่ก็กลับมาทุกครั้ง ใช่ไหมล่ะ ฮาไม่ออก

หากการตัดสินไปขึ้นอยู่กับคนคนเดียว ดุลยพินิจของคนคนเดียว
มันก็เป็นข้อกังขาอย่างนี้แหละ เพราะคดีนี้ เข้าใจศาลท่านนะ
ท่านคงสะเทือนใจมาก เมื่อเห็นข้อความที่เขาว่าอากงส่ง คงเป็นอาการ
ของคนที่ถูกคนด่าพ่อล่อแม่นั่นแหละ มันโกรธ มันแค้น มันต้องจัดการไอ้คนนั้นให้สาสม
โดยลืมนึกถึงความจริงข้ออื่นๆ โดยลืมนึกถึงความถูกต้อง ความเป็นไปได้
การใช้ดุลยพินิจจึงกลายเป็นการใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวล้วนๆ
เมื่อคนเรามีโกรธ มีอคติ ไอ้ที่จะให้ใช้ดุลยพินิจอย่างเที่ยงธรรมก็เห็นจะยาก

ศาลท่านบอกว่าการใช้ดุลยพินิจ ไม่ได้ดูที่สีเสื้อ ใจจริงไม่ค่อยเชื่อนะคะ
แต่ในกรณีอากงนี่คงจะจริง เพราะอากงไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่ในกรณีอื่นๆ
ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ เพราะจากข่าวก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าดุลยพินิจ
ในการตัดสินมันเอนเอียงขนาดไหน เช่นนายการุณเนี่ย หลบหนีอยู่แน่ๆ
เมื่อถูกจับซึ่งหน้า ยังยักเยื้อง ทำให้เดือดร้อนไปหมด อย่างนี้กลับปล่อย
ให้กลับไปเฉยๆซะงั้น แล้วจะบอกว่า ไม่เอนเอียง คงไม่พอ

ที่บ่นมายืดยาวนี่ก็เพราะอยากให้เราปฏิรูปขบวนการยุติธรรมเสียใหม่
อย่าให้ไปขึ้นอยู่กับความคิด อารมณ์ ของคนคนเดียว มันดูไม่ยุติธรรมค่ะ

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลิงไม่กลัว

แค่คนตายหนึ่งคนบ่นไปได้
มันต้องใช้ชดกรรมทำไว้นี่
ช่างจาบจ้วงดวงใจไยปรานี
ตายเสียทีดีแล้วแนวเนียนๆ

แต่พอย้อนนึกดูอดสูนัก
เป็นชนักปักลงตรงคงต้องเขียน
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ใครนั่งเทียน
ถือบังเหียนอัปยศอดสูจัง

ไม่สามารถบอกได้ว่าใครส่ง
เพียงแค่คงเป็นคนนี้จึงจับขัง
เบอร์ไม่ตรงไม่เป็นไรไม่อินัง
และไม่ฟังคำขอพอกันที

ก็อีมี่ อีแม่แปลไม่ออก
เพราะเขาบอกตรงกันมันบัดสี
หาคนช่วยอธิบายให้ฟังที
ว่าอีมี่ซ้ำได้ก็ไม่แคร์

จะเชือดไก่ให้ลิงได้หวั่นไหว
จำใส่ใจไม่ทำซ้ำทำเป็นแถ
แล้วความตายทำใจให้ผันแปร
ที่แน่ๆตอนนี้ลิงไม่กลัว

ลิงทั้งหลายนึกได้ไม่ถูกต้อง
ต่างก็ร้องระงมถ่มไปทั่ว
ไก่ตัวเดียวไม่พอล่อร้อยตัว
คนมันชั่วคงต้องฆ่า อีกห้าร้อย

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

จะหาคนทำ..ต้องดูใครได้ประโยชน์

มาอีกแล้วขบวนการป้ายสี กล่าวหาคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดเมื่อไม่กี่วันก่อน
ตอนแรกก็ยังไม่พูดเรื่องนี้ จนคนเขาลือกันไปทั่วว่ามีพรรคๆหนึ่งอยู่เบื้องหลัง
เขาจับผิดกันวุ่นวาย เรียกกันเกลื่อนว่า"พรรคระเบิดบ้านระเบิดเมือง"

เท่านั้นแหละถึงกับนั่งไม่ติด ไม่คิดว่าคนจะเชื่อไปเช่นนั้น แล้วที่เขาเชื่อกัน
มันก็มีเหตุชวนสงสัย ตั้งแต่คนขี้ขลาดอย่างอภิสิทธิ์ ทำไมแล่นไปถึงที่เกิดเหตูรวดเร็วทันใจ
อย่างกับเป็นคนกดระเบิดเอง จะว่าแค่สร้างภาพก็ไม่น่าเชื่อ เพราะสมัยเป็นรัฐบาล ไม่กล้า
โผล่หัวไปที่ไหนเลย รอรับรายงานอยู่แต่ในห้องแอร์ แต่พอเป็นฝ่ายค้าน ขยันเกินเหตุ เร็วเกินไป

เลยมียุทธการปล่อยภาพออกมาว่านายกฯทักษิณ โอบกอดหัวหน้ากลุ่มพูโล เพื่อป้ายสีว่า
นายกฯทักษิณนั่นแหละเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการระเบิดในครั้งนี้

โธ่ถังกาละมังเอ๋ย ก็คงมีแต่คนที่นิยมแมลงสาบเท่านั้นที่เชื่อ(โชคดีหน่อยที่มีไม่มาก
อ้าวถ้ามีมากพอป่านนี้พรรคปชป.ก็ชนะเลือกตั้งไปแล้วละสิ)

ต้องลองกลับไปดูทฤษฎีที่ว่า "ใครได้ประโยชน์คนนั้นทำ" ถ้าคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังระเบิดจริง
มาดูกันว่าคุณทักษิณจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง

เอาเป็นว่าระเบิดครั้งนี้ทำลายความเชื่อมั่นของคนในประเทศ และนอกประเทศไปมากพอสมควร
ทั้งการปกครอง การท่องเที่ยว ฯลฯ แล้วตอนนี้ใครเป็นรัฐบาล ก็พรรคเพื่อไทย นำโดยนายกฯยิ่งลักษณ์
น้องสาวแท้ๆของตน ระเบิดสั่นสะเทือนรัฐบาลน้องสาว เขาจะไปทำทำไม

ดูๆไปแล้ว คุณทักษิณไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่เกิดระเบิดในครั้งนี้เลย
จะเป็นประโยชน์ก็เห็นจะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ได้เรื่องเอามาถล่มพรรครัฐบาลเท่านั้นเอง
อ้อ อีกพวกก็เป็นพวกค้ายา ค้าของเถื่อนทางภาคใต้ (ซึ่งใครๆก็รู้ว่าใครคุม) แล้วก็ทหาร
ที่ได้ประโยชน์จากการของบเพิ่มเติม

พอมองด้วยทฤษฎีนี้ก็จะเห็นว่า คุณทักษิณไม่ได้ประโยชน์อะไร ไอ้คน ไอ้พรรคที่ได้ประโยชน์
นั่นแหละทำ อย่ามาทำเป็น" เกลื่อนหัวลบกลบหัวแตก" ป้ายสีคนอื่นอยู่เลย

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังที่ถูกแบน

เพิ่งได้อ่านคำแถลงของคนสร้างหนังที่ถูกแบน ได้อ่านกันหรือยังคะ
ถ้ายังนำมาฝาก http://www.shakespearemustdie.com/search?updated-max=2012-04-03T03%3A54%...

ลองอ่านดูเถอะค่ะ แล้วจะได้รู้สึกว่าแบนเสียน่ะดีแล้ว เพราะถึงไม่แบนได้ออกฉาย
ก็จะต้องขาดทุนเพราะไม่มีคนไปดูอยู่ดี

จริงอยู่หนังสร้างจากการตีความของผู้กำกับ แต่หากผู้กำกับสร้างศิลปะด้วยอติ
ก็ยากที่คนอีกฝั่งจะรับได้

ผู้กำกับออกตัวว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความสะเทือนใจที่เห็นภาพ คนถูกฟาดด้วยเก้าอี้เมื่อ2519
แต่กลับมาสะเทือนใจกับตึกที่ถูกเผาในยุคนี้แทน

ช่างไม่รู้เลยหรือว่า ทั้งสองเหตุการณ์และอีกหลายเหตุการณ์ พล็อตเรื่องเดิมๆ
เปลี่ยนแต่ตัวละคร และฉาก คงธีมของเรื่องไว้อย่างเดิม

พร่ำพรรณนาว่าอาจถูกแบน อาจไม่ได้ฉาย ถูกรังแก หนังยังไม่ได้ดู
แต่อ่านจากคำแถลงเอาเถอะค่ะ เขาเปลือยตัวตนให้เห็นชัดเจน

อยากแนะนำว่าถูกแบนห้ามฉาย ควรดิ้นรนเอาไปฉายในช่องควายสีฟ้า
แฟนขับคงตรึม แล้วอย่าลืมจัดแถลงข่าว โอดโอยว่าถูกรังแกนา
แล้วเดินสายไปโอดตามรายการด้วยว่ารัฐบาลนี้กลั่นแกล้ง

หนังจะทำเงินต้องสร้างให้ถูกใจคนดู เมื่อคิดว่าเสื้อแดงนิยมความรุนแรง
ถึงฉายได้คงไม่มีใครดู ไม่รู้หรือว่าปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่เขาสีแดง

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความเกลียด...ทำลายทุกอย่าง

ความเกลียดนี่มันร้ายแรงจริงๆนะคะ เกิดขึ้นในใจใคร คนนั้นจะทุรนทุราย
รุ่มร้อน กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ ลุกเหินเดินนั่งก็ไม่สบาย

เราไม่รู้ว่าต้นเหตุของความเกลียด เกิดจากอะไร แต่พอมันเกิดขึ้น มันจะฝังตัวอยู่ในจิตใจ
ทำให้เกิดอาการ หน้ามืด ตามัว ผิดหูผิดตาไปหมด เอาแต่จ้องจับผิด

เมื่อมีความเกลียด กระไออุบาทว์ของความเกลียด จะพวยพุ่งออกมา
เริ่มจากตาก่อน แล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทีนี้ก็พร้อมที่จะส่งออก
ไปทำร้ายทำลายคนอื่น แต่ช้าก่อน ก่อนที่มันจะออกจากร่างไป
มันได้ทำลายร่างกาย อวัยวะภายในของเจ้าตัวคนที่เกิดอาการเกลียด
ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เชื่อเวลาที่คุณรู้สึกโกรธหรือเกลียดปุ๊บ ลองหยิบ
กระจกขึ้นส่องหน้าคุณดู แล้วจะพบว่ามันน่าเกลียดน่ากลัวกว่าคนที่คุณเกลียด
มากมายนัก

ความเกลียด อาจเป็นส่วนหนึ่งของความกลัว ปนๆกันอยู่ อาจเริ่มจากกลัวก่อน
หรือไม่ก็เกลียดก่อน แต่สองอารมณ์นี่ มักจะเกี่ยวข้องกัน บางครั้งเรากลัว
ตุ๊กแก ค่าที่เคยฟังมาแต่เด็ก ว่าหากตุ๊กแกกระโดดเกาะใคร จะเหนียวหนึบติดอยู่
อย่างนั้นไม่มีทางหลุด ต้องกินน้ำสามโอ่ง กินขี้สามไหอะไรไปโน่น
เราเลยกลัวตุ๊กแก กันจับจิตจับใจ พอกลัวมากๆก็พาลเกลียด ขนาดได้ยิน
แต่เสียงร้อง ยังไม่ทันเห็นตัว ก็เกิดอาการรังเกียจขยะแขยงเสียแล้ว
และก็กลายเป็นเกลียดชังตุ๊กแกไปในที่สุด

ย้อนกลับมาการเมือง อาการทุรนทุรายของคนไม่ชอบนายกฯปู
ที่มักจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่ได้ยินได้เห็นข่าวนายกฯ
ปากก็ว่าเกลี๊ยดเกลียด แต่กลับไม่ละวาง คอยเฝ้าสังเกตสังกา
กันทุกกระเบียดนิ้ว เห็นอะไรเป็นได้จับมาด่าทอ (เผลอๆ พวกนี้
จ้องมองนายกฯของเรามากกว่าพวกเราที่เลือกเข้ามาอีก)

ก็คนมันรัก เห็นอะไรก็น่ารักไปหมด ข้อผิดพลาดก็มักจะไม่ค่อยเห็น
ความรักมันดีตรงนี้แหละค่ะ คือทำให้เราสบายใจ ไม่โกรธไม่เกลียด
อมยิ้มได้ทุกครั้งที่เห็นภาพ ได้ยินข่าว หน้าตาก็ไม่บึ้งตึง ใบหน้า
เกลี่ยไปด้วยรอยยิ้มทุกวัน

โชคดีที่ทีประเทศนี้ เช้าตื่นขึ้นมาออกไปเดินถนน เจอแต่คนหน้ายิ้มแย้มแต้มความสุข
แม้ของจะแพง ฝนจะแล้ง น้ำจะมา เราก็ยังยิ้มได้ โชคดีจริงๆที่จำนวนคนยิ้มมีมากกว่า
ประเทศเลยดูสวยงาม ผิดกับคนกลุ่มน้อยที่ทำสีหน้าปั้นยาก บูดบึ้งอยู่เป็นนิจ

ด้วยความรักที่มีในใจ ทำให้เราอภัยได้ อย่ามัวไปต่อล้อต่อเถียงด่าทอกับพวกชนกลุ่มน้อยเลยค่ะ
อีกไม่นานมันก็จะตายหายสูญไปเอง เพราะถูกความเกลียดเผาผลาญทั้งร่างกายและจิตใจ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

จบมาจากโรงเรียนนายร้อย

ได้อ่านข่าวที่บังสนธิไปให้สัมภาษณ์ รายการข่าวจริงสปริงนิวส์ แล้วมันหงุดหงิดพิลึก
ตัดมาเฉพาะช่วงที่ทำให้อารมณ์เสียนะคะ

ตกลงความจริงที่ พล.อ.เปรมฝากให้พูดคืออะไร พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่ทราบ
ต้องถาม พล.ต.สนั่นว่า พล.อ.เปรมสั่งอะไรมา ที่น่าตกใจวันนี้คือคำถามนี้ถามผมมา 6-7 ปี แล้ว
แต่วันนี้พล.ต.สนั่น ซึ่งจบมาจากโรงเรียนนายร้อยเอาคำถามนี้มาถามตนเพราะอะไร
ที่จริงคนเป็นทหารอย่างเราเจอคำถามนี้ก็ช็อค เซอร์ไพรส์ ว่าคำถามนี้เกิดมาจากอะไร
ใครเป็นคนสั่งให้ท่านมาถาม และสำคัญที่ในภาวะที่เรากำลังจะปรองดองกันนี้ คำถามนี้ควรจะมีหรือไม่

มันแปลว่าอะไรกัน แค่คำถามง่ายๆ ก็ในเมื่อจะปรองดอง ก็ต้องรู้รากของปัญหา ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
รากเหง้าของปัญหาความแตกแยกของประเทศนี้ มาจากการยึดอำนาจเมื่อ19 กันยา 49
ถ้าไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอ จะแก้ปัญหาได้อย่างไร เสธ.หนั่นก็เลยถามดู

บังตอบปัญหานี้ทันทีว่า"ถึงตายก็ตอบไม่ได้" พอได้มีเวลากลับไปคิดทบทวน
จึงได้คิดออกว่าพลาดไปถนัดใจ ถึงกับออกมาสารภาพว่า ช็อค เซอร์ไพรซ์
ที่ได้ยินคำถาม เลยตอบไปอย่างนั้น แต่บังก็ยังเป็นบังที่มีเนื้อสมองน้อย
เพราะขนาดคิดแล้ว ออกมาแก้ตัวใหม่ กลับยิ่งตอกย้ำคำตอบ

การขุดขึ้นมาต่อว่าว่า จบมาจากโรงเรียนนายร้อย ต้องรู้ดีว่าอะไรควรถาม
อะไรไม่ควรถามอย่างนั้นหรือ หรือที่โรงเรียนนายร้อยเขาสอนว่าการทำปฏิวัติเป็นเรื่องปกติ
หรือเพราะนักเรียนนายร้อยทุกคนรู้ดีว่าใครเป็นคนมีอำนาจสั่งปฏิวัติ
ยิ่งตอบก็ยิ่งแย่ กลายเป็น"ลิงแก้แห" "วัวพันหลัก" ไปไหนไม่พ้นสักที

ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะบัง พวกเรารู้คำตอบหมดแล้ว ไอ้ที่เคยค้างคาใจ
ขัดแย้งในตัวเอง ว่าไม่น่าใช่ มันก็กระจ่างชัดแล้วในวันนี้ ยิ่งบังอธิบายมาก ยิ่งแย่นะบัง
ชักเป็นห่วงความปลอดภัยของบังจังเลย

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ขออนุญาตแปะ เพราะอ่านแล้วถูกใจเหลือหลาย

เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 13 ฉบับที่ 3253 ประจำวัน พุธ ที่ 21 มีนาคม 2012
โดย อัคนี คคนัมพร

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ใครที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และกำลังทำหน้าที่แก้ไขปัญหาของประเทศอยู่ในขณะนี้ ถ้าปฏิเสธความมีอยู่และการดำรงอยู่อย่างสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนนั้นจะไม่มีวันทำงานสำเร็จ

พรรคประชาธิปัตย์พยายามพูดเสมอว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ

นั่นคือวาทะดูถูก กระแนะกระแหน

แต่แก่นแท้ของมันคือ พรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณไม่พ้น

ก้าวข้ามไม่พ้น พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นเรื่องควรได้รับความเห็นใจ เพราะเหตุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีธรรมชาติยิ่งใหญ่เกินกว่าพวกคนเหล่านั้นจะข้ามพ้นได้

ธีรยุทธ บุญมี พูดถึงการเมืองไทย และพูดถึงบุคคลสำคัญในการเมืองไทย เขาให้น้ำหนักไปที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และคนที่สามเขาพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แน่นอนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามนี้ย่อมมีนิสัยใจคอและบุคลิกลักษณะแตกต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงผู้นำทางการเมืองไทยคงหลีกไม่พ้นที่จะแลเห็นคนทั้งสามชัดเจน ในขณะที่ผู้นำคนอื่นๆยืนอยู่ในเงาสลัว

พรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างจะมีสายตาแหลมคมกว่าพรรคอื่น พวกเขาเห็นภัยจากคู่ต่อสู้ของเขาคนนี้ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2544 เขาคิดกำจัดด้วยการยื่นให้สอบสวนคดีซุกหุ้น เป็นการตัดไฟต้นลม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณรอดมาได้ และมีโอกาสขยายพืชพันธุ์ประชาธิปไตยลงในระดับรากหญ้า

เพียงระยะเวลา 4 ปี พืชพันธุ์นี้เติบโตงอกงาม และทำท่าเหมือนกับว่าจะลุกลามขึ้นเต็มพื้นที่ประเทศ ไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้พืชพันธุ์ชนิดอื่นได้หยั่งรากอยู่อาศัย

โครงการกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณจึงเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของคนหลายฝ่ายดังที่เราทราบกันดี

แต่การคิดกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณออกจากการเมืองด้วยวิธีการประชาธิปไตย คือใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม-ธรรมดาเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกใช้วิธีพิเศษ

1.คือลอบสังหาร

2.คือการยึดอำนาจโดยใช้กำลังทหาร

คนเหล่านี้เป็นคนมีสมอง มีสติปัญญา และมีประสบการณ์ พวกเขาพากันคิดว่าถ้า พ.ต.ท.ทักษิณตายไปเสียคนหนึ่งประเทศก็จะสงบเรียบร้อย อยู่ในอุ้งมือพวกเขาต่อไป

เขาลืมคำพูดของเหมา เจ๋อ ตุง ที่เคยบอก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่ากับคอมมิวนิสต์นั้นจงอย่าฆ่า เพราะถ้าตายคอมมิวนิสต์จะเป็นวีรบุรุษ คอมมิวนิสต์ชอบเป็นวีรบุรุษ

กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นต่างกันที่เขาไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่เหมือนกันตรงที่การรุมกำจัดเขายิ่งทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษ

การไม่มีตัวตนอยู่ในประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ 5 ปี ยิ่งทำให้ประเทศมีปัญหาพัลวันพัลเก

การปรองดองโดยแสร้งทำเป็นแลไม่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

ยิ่งปฏิเสธเขาก็ยิ่งเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที

ใครมีหน้าที่แก้ปัญหานี้จะคิดอ่านกันอย่างไรก็ขอให้รีบทำเถิด

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทหารยันไม่ว่างทำปฏิวัติ

พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์วันก่อน (โลกวันนี้)
เนื้อข่าวคือมีไอ้เสื้อกากออกมาบอกว่าจะมีปฏิวัติอีกแน่นอน
ผู้สื่อข่าวก็ต้องวิ่งกันวุ่น ไปถามคนต่างๆนาๆ เพื่อฟังความคิดเห็น

แน่นอน ไอ้ฆาตกรเด็กจะทำอะไรไปได้มากไปกว่า ต้องเห็นด้วย
เพราะไอ้เสื้อกาก ออกมาถล่มพรรคคู่แข่ง(แทนตัวเอง)
แต่ยังดีที่ไม่ได้บอกเห็นด้วยกับเรื่องที่จะมีปฏิวัติ (เพราะงวดนี้
ดูท่าว่าถึงเขาปฏิวัติกันจริงๆ ส้มก็คงไม่มาหล่นแถวๆพรรค)
เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์ อุตส่าห์อุ้มยัดลงเก้าอี้ ให้เวลา
เป็นไม้เป็นมืออยู่สองปีกว่า ทำงานหมาไม่รับประทาน
แทนที่จะได้ดอกไม้ กลับกลายเป็นก้อนอิฐ เขวี้ยงใส่พรรคไม่พอ
ยังกระเด็นกระดอนเข้าไปยังกองทัพจนรับมือแทบไม่ทัน

โชคดีมากู้ชื่อได้ตอนออกไปช่วยน้ำท่วม แต่พอมีคนโยนเผือกร้อน
มาให้รับอีก เลยต้องแก้ตัวกันอีกรอบ ล่าสุด รองโฆษกทบ. พ.อ.วินธัย
สุวารี ออกมาบอกว่า ทหารมีภารกิจหลายเรื่อง งานหนักๆทั้งสิ้น
อันเป็นเหตุให้นสพ.ไปพาดหัวว่า "ไม่ว่าง" ไม่มีเวลาพอทำปฏิวัติ

ประเทศเนี้ยมันแปลกตรงนี้แหละ ประกาศปาวๆว่าเป็นประชาธิปไตย
จัดการเลือกตั้ง แต่รับผลการเลือกตั้งไม่ได้ พอพวกตัวไม่ได้เป็น
รัฐบาล ต่างพากันออกมาถล่ม ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ เอาเถอะ เรายินดีรับฟัง
ถ้าการตำหนิติว่ามันเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ติเพื่อก่อ

แต่ที่ไหนได้ เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ก็หยิบยกจับมาเป็นประเด็น
ทำความระคายเคืองเขาไม่ได้ เพราะเขาก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน
แก้ปัญหาบ้านเมืองไปเรื่อย เลยต้องหาตัวช่วย เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ
ทหารไทยก็จริงๆ แทนที่จะยืดอกตอบไปตรงๆว่า ในประเทศที่
ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่มีทหารคนไหนจะทำปฏิวัติได้
ดั๊นตอบว่า มีภารกิจเยอะแยะ ไม่ว่างทำ

แปลว่าอะไร แปลว่า ถ้าฝนแล้ง หมดหน้านา ว่างๆก็จะทำอีกหรือไง
เมื่อไหร่ทหารไทยจะกล้าพูดตรงๆให้ประชาชนอุ่นใจได้สักทีว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระบอบรัฐสภา ทหารไม่มีหน้าที่ที่จะเข้าไปจัดการ
มันยากนักหรือไง(วะ)ที่จะออกมาพูดแบบนั้น

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไม่ใช่ว่า"คุณไม่ได้เลือก"


น่าเบื่อเหลือใจกับอาการ"ขี้แพ้ชวนตี" บ่นกันจั๊งกับรัฐบาลปัจจุบัน
บ้างก็ว่า เป็น"พวกมากลากไป" บ้างก็อุตส่าห์ประดิษฐ์คิดคำใหม่
หาว่าเป็น"เผด็จการรัฐสภา" มาล่าสุดมีไอ้หัวกลวงบอกว่าเป็น
"เผด็จการจากการเลือกตั้ง"

การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย มีผู้เสนอตัว(ตามรัฐธรรมนูญ
ฉบับปัจจุบัน) คุณก็ต้องสังกัดพรรค ดังมีสโลแกนของพรรคยอดนิยม
ว่า "พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค" ดังนั้นหากพรรคใดได้รับความนิยม
แม้โดยส่วนตนอาจไม่โด่งดังนัก แต่ได้สังกัดพรรคที่คนชอบ
โอกาสที่จะเป็นสส.ก็จะมากขึ้น

ผลการเลือกตั้ง ถ้าพรรคใดได้รับเสียงสนับสนุน ประชาชนเลือกเข้ามามาก
ก็จะได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศไปตามนโยบายที่หาเสียงไว้
เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจง่ายๆ เพราะประชาชนเลือกเข้ามา เพราะชอบนโยบาย
หากไม่ทำตามที่หาเสียงไว้สิ จะเป็นเรื่อง

เหมือนพรรคการเมืองบางพรรค ติดป้ายหาเสียงไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ว่า"99 วัน ทำได้จริง" แต่ก็ไม่ชนะเลือกตั้ง กลับไปใช้วิธีสกปรกโสมม
(ที่ใครๆก็รู้ แอบเข้ามาบริหารประเทศตั้ง2ปีกว่า หากไม่นับรวมความชั่ว
ที่สั่งปราบ ฆ่าประชาชนกลางกรุง ไอ้ที่บอก99วันก็ไม่เห็นจะทำอะไรได้สำเร็จ)

มิหนำซ้ำ ตอนแอบไปแถลงนโยบายที่กระทรวงต่างประเทศ
ยังออกคำสัญญาเรื่องกฎเด็ก เอ๊ยกดเหล็ก เอ๊ย กฎเหล็ก
ว่าจะฟันคนที่โกงกิน แต่พอเข้ามาบริหาร ก็มีเรื่องฉาวโฉ่
โกงกินสารพัด ทั้งนมบูด ปลากระป๋องเน่า เสาธงแพง แหล่งกดน้ำพิลึก
ต่างๆนาๆสาธยายไม่หมด ไอ้กฎบ้าๆก็ไม่เห็นจะได้ควักออกมาใช้

ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ขนาดกุมอำนาจรัฐไว้ในมือ ยังแพ้เลือกตั้งหลุดลุ่ย
โดยปกติเมื่อแพ้เลือกตั้งก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน บร๊ะนี่อะไร ยังหลงไหลได้ปลื้ม
กับตำแหน่งรัฐบาลกำมะลอที่ไปฉกชิงเขามา ดั๊นไม่ยอมเป็นฝ่ายค้านแต่โดยดี
กลับไปซุ่มตั้งรัฐบาลเงา แล้วทำหน้าที่ฝ่ายแค้น เต็มรูปแบบ

รู้ทั้งรู้บ้านเมืองกำลังมีปัญหา จำเป็นต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนที่จะช่วยกัน
ประคับประคอง ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้ นี่อะไรกลับจ้องทุกเม็ด กะจะเด็ดทุกมุม
เผลอไม่ได้ ยื่นโน่นยื่นนี่ หาพวกป่วนเขาไปทั่ว เพราะรู้ดีว่า ด้วยเสียงที่ได้มา
น้อยนิด ทำอะไรในสภาก็แพ้เขาเรื่อยไป เลยหาช่องหารูที่จะขัดแข้งขัดขา
หาพวกหาพ้องที่จะช่วยกันสกัดการทำงานของรัฐบาล ซึ่งได้ผลบ้าง
ไม่ได้ผลบ้าง บางหน่วยก็รับลูก ออกมาช่วยปัดแข้งปัดขา แต่ก็ทำได้แค่นั้น
เพราะพวกนั้นก็ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ จะเล่นงานรัฐบาลก็ทำไม่ได้
เลยได้แต่ตอมหึ่งๆดังแมลงหวี่ ที่แม้แต่จะกัด จะต่อยก็ไม่มีปัญญา
ทำได้แค่เพียงให้เกิดความรำคาญ

นอกเหนือจากองค์กรต่างๆนาๆที่ฝ่ายแค้น พยายามจะไปยืมไม่ยืมมือมาจัดการ
ก็ยังไม่สำเร็จ เลยต้องมีพวก"เสมอนอก" ออกมาช่วยประโคม
บ้างก็ว่า อย่ามาใช้เสียงข้างมากในสภาจัดการอะไรไปตามใจนะ
ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่ได้เลือกคุณมา ฉันเป็นเสียงที่
ดังกว่า

โธ่ถังกาละมังแตก การกล่าวอ้างเช่นนั้นก็ถูก มีผิดอยู่นิดเดียว
นิดเดียวจริงๆตรงที่ว่า "พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาอ้างว่า คุณไม่ได้เลือก
พรรคเพื่อไทย" คุณได้สิทธิ์ไปเลือกตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ของพวกนี้
ก็มักไม่ค่อยออกไปเลือกตั้ง แล้วยังมาอ้างว่าเป็นพลังเงียบ
คงไม่รู้ว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เขาเอาเสียงข้างมาก
เลือกพรรคเข้ามาบริหารประเทศ ไอ้ประเภท "พลังเงียบ" น่ะหาได้มีความหมายใดๆไม่

หรือหากคุณได้ออกไปเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องทำใจว่า คุณได้เลือกแล้ว
เพียงแต่พรรคที่คุณเลือก แพ้การเลือกตั้งไง
ทีหลังก็อย่ามาพูดอีกว่า
พรรคที่บริหารงานอยู่นี้ เป็นพรรคที่คุณไม่ได้เลือก กลับไปทำการบ้าน
หาทางช่วยให้พรรคที่คุณเลือกได้กลับมาเป็นรัฐบาลจะดีกว่า
แม้มันอาจจะนานหน่อย แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว แพ้อีก 20-30ปี
ก็อาจพลิกกลับมาชนะได้นา อย่าประมาท ทางที่ดีก็ต้องเลิกเห่าหอน
ใส่ร้ายพรรคที่เขาชนะเลือกตั้งเสียด้วยล่ะ เพราะยิ่งทำ พรรคที่พวกคุณ
เลือก ที่คอยเชียร์ ยิ่งตกต่ำไปเรื่อยๆ เผลอๆ แค่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านก็อาจชวดด้วยซ้ำ

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

มีคนปูแล้วก็ต้องมีคนปิด

ด้วยว่า ไอ้ฆาตกร หรืออีกขื่อคือนายกฯเงา ได้เดินทางไปญี่ปุ่น แล้วแถลงก่อนไปและหลังกลับมาว่าได้ไปทำการปูทางให้นายกฯตัวจริง
ก่อนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ

ซึ่งตามข่าวว่า ได้ไปพบอดีต(ย้ำอดีตนายกฯญี่ปุ่น) และนักธุรกิจ (ซึ่งไม่มีภาพมาโชว์) มีแต่การไปให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
ที่มีคนนั่งร่วมแถลงอยู่แค่ 3คน ส่วนภาพอื่นๆก็มีภาพการพบปะกับคนไม่กี่คน ที่สำคัญไม่มีรายละเอียดว่าเป็นใครบ้าง

โดยเฉพาะภาพข่าวที่ถ่ายคู่กับอดีตนายกฯญี่ปุ่น ก็ไม่มีรายละเอียดในข่าวว่า ได้พูดคุยอะไรกันบ้าง
และการพูดคุยนั้นเป็นการปูทางอย่างใด อนึ่งอดีตนายกฯยี่ปุ่นท่านก็ไม่ได้ทรงอิทธิพล เหมือนอดีตนายกฯไทย
บางคนที่ เป้นนายกฯมาแปดปี อดีตเป็นเบอร์หนึ่งของทหารที่ยังทรงอิทธิพลอยู่ (โดยการยกยอและคิดเอาเอง)

ในเมื่อมีคนไปปูทางแล้ว นายกฯตัวจริงก็ไปเยือนอย่างเป็นทางการ ป้าจึงเห็นควรต้องไปปิดงานให้เรียบร้อย
อันที่จริง เมื่อต้นเดือนป้าก็เดินทางไปปูทางให้นายกฯเงามารอบหนึ่งแล้ว เพื่อให้งานเรียบร้อย ป้าก็จะเดินทาง
ไปปิดงานอีกรอบ ในกลางเดือนหน้า

ในการไปครั้งนี้ ก็จะได้ไปพบพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายด้าน เช่นด้านธุรกิจโรงแรม การค้า อาหารและการท่องเที่ยว
ในครั้งนี้ กะจะไปดูงานหลายเมืองอยู่เหมือนกัน เพื่อให้การไปปิดงานครั้งนี้เป็นไปโดยเรียบร้อย จึงแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

หิริโอตัปปะ



ได้อ่านคอลัมน์ธรรมะของท่านพระพยอม กัลยาโณ ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ วันก่อน
ท่านเขียนถึงเรื่องจริยธรรมนักการเมืองที่กำลังฮือฮา ตรวจสอบกันให้วุ่น กล่าวหา ด่าทอ
กันต่างๆนาๆ ว่าคนนั้นไม่มีจริยธรรม คนนี้ ทำผิดจริยธรรม(เพราะเอาเวลาราชการไปคุยงานที่โรงแรม)
แต่เวลาทำงานวันเสาร์วันอาทิตย์ หรือดึกๆดื่นๆ กลับเงียบ ไม่ออกมาโวยวายบ้างว่า
นายกฯทำงานมากเกินไป ใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปแก้ไขปัญหาของประเทศ ใช้ไม่ได้จริงๆ
ยิ่งทำงานหนัก ภาพ อดีตนายกฯที่ได้รับสมญานามว่านายกฯดีแต่พูดยิ่งแจ่มชัด
เพราะรายนั้น งานหลักเมื่ออยู่ในตำแหน่งคือเกาะโพเดี้ยม เอาแต่พูดๆ และพูด ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลไม่ปรากฎ
พอพ้นตำแหน่ง ไม่มีงานทำหนักเข้าไปอีก เพราะไม่ค่อยมีคนเชิญไปพูด โธ่ถัง คนไม่มีผลงานใครเขาจะให้ไปพูด
จะเอาข้อคิด ความเห็นและผลงานอะไรไปแสดง เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น จะไปบอกคนอื่นได้อย่างไรว่า
ประสบความสำเร็จเพราะทำงานหนัก หัวดีหรืออะไร เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าที่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ
นั้นไม่ได้มาด้วยทางปกติ อ้างตะพึดตะพือว่าชนะเสียงโหวตในสภา (ทั้งๆที่แพ้เลือกตั้ง)
คงไม่ต้องขุดคุ้ยว่าวิธีการเป็นอย่างไร เพราะคนเขาก็รู้กันทั่วแล้วว่าไอ้ที่ได้นั่งเก้าอี้เพราะ
มีคนอุ้มเข้ามา แล้วมันน่าภูมิใจตรงไหน

เมื่ออยู่ในตำแหน่ง แทนที่จะใช้ความสามารถสร้างผลงานให้คนจดจำ กลับทำไม่ได้ ภาพจำ จึงออกมากลายเป็นนายกฯมือเปื้อนเลือด
เอาเถอะ ความผิดอาจสาวไปไม่ถึง แต่ ก็คงหนีไม่พ้นภาพที่ว่าสมัยเป็นนายกฯ มีการล้อมปราบประชาชน จนมีคนบาดเจ็บล้มตาย
มากมายเกินกว่านายกฯทรราษฎร์คนใดๆในประเทศนี้

อารัมภบทไปไกล ว่าจะเขียนเรื่องหิริโอตัปปะ แปลเป็นไทยง่ายๆว่าความละอายต่อบาป
พระพยอมท่านว่า แค่คนมีความกลัวต่อการทำความชั่ว เกรงกลัวต่อการทำบาป
โลกนี้จะน่าอภิรมย์สักเพียงไหน การตัดสินใครว่าดี ว่าชั่ว ก็ดูได้จากข้อนี้แหละ

หากกล้าพูดในสิ่งที่ไม่จริงโดยไม่ละอาย กล้าทำในสิ่งที่ผิด โดยไม่สำนึกว่าผิด
อย่างนี้แหละที่เรียกว่าขาด"หิริโอตัปปะ" เมื่อขาดสิ่งสำคัญนี้เสีย เราก็จะเห็น
คนหลายๆคนที่เราเคยคิดว่าเป็นคนดี กล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าผิด บาป
แต่กลับไม่สำนึก ไม่มีความละอาย อย่างพื้นๆที่สุด คือการพูดไม่จริง พูดไม่หมด
พูดแค่ครึ่งเดียว การไม่ละอายต่อบาป การที่ไม่รู้ว่าการโกหกนี่แหละ เป็นบาป เลยทำให้
หลายคนพูดความเท็จ เพียงเพื่อจะให้ร้ายฝ่ายตรงกันข้าม กล้าที่จะปั้นเรื่องที่ไม่มีมูลมากล่าวหาผู้อื่น

จึงขอสรุปว่า เพียงแค่เรามี "หิริโอตัปปะ" ประเทศจะน่าอยู่ขึ้นมากมาย
แต่เห็นทีจะเป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งๆ เพราะประเทศนี้มีคนหน้าด้านหน้าทนอยู่เยอะเหลือเกิน
ไม่ต้องไปกังวลกับความละอายต่อบาป ขนาดจับได้ว่าโกหกชัดๆ ยังแถไปได้หน้าด้านๆ
คิดดูแล้วกันว่ามีใครบ้าง

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

ซื่อสัตย์

จากผลโพลล์ที่ออกมาเมื่อสุดสัปดาห์ ที่ยกว่าเปรมเป็นบุคคลที่ยกเป็นแบบอย่างของคนซื่อสัตย์ได้
เห็นทีต้องมาศึกษาคำว่าซื่อสัตย์ก่อนซะแล้ว

คำว่าซื่อสัตย์ แปลตามพจนานุกรมได้ว่า ซื่อหมายถึง ตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่คดโกง
ส่วนคำว่าซื่อสัตย์ หมายถึงความประพฤติตรงและจริงใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกงและไม่หลอกลวง

เอาแค่คำแปลพื้นฐาน ง่ายๆเข้าใจได้โดยไม่ต้องแปลซ้ำ ทำไมคนตอบโพลล์ถึงไม่เข้าใจ
ทำไมถึงไปยกย่องว่าเปรมเป็นตัวอย่างของคนซื่อสัตย์ ไม่ทราบว่าเขาเหล่านั้นรู้หรือไม่ว่า
เปรมยึดครองบ้านหลวงมานานตั้งแต่เกษียณ วันนี้เขาอายุ90กว่า ป่านนี้ก็30ปีได้แล้ว

บ้านหลวงแปลว่า บ้านที่สร้างไว้ให้ข้าราชการได้อาศัยอยู่ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง
เป็นบ้านประจำตำแหน่ง ไม่ใช่ประจำตัว เมื่อพ้นจากตำแหน่งก็ต้องย้ายออกจากบ้าน
ไปด้วย เพื่อคนที่มาดำรงตำแหน่งใหม่ได้มีบ้านอยู่

บ้านหลวงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะบางครั้งคนที่รับตำแหน่ง ไม่ได้มีพื้นเพในที่นั้นๆ เช่นผู้ว่าราชการจังหวัด
เป็นคนต่างถิ่นมาทำงาน รับจึงต้องจัดหาที่พักให้อยู่อาสัย เพื่อการทำงานจะได้สะดวก
จึงกลายเป็นบ้านประจำตำแหน่งไป เมื่อพ้นตำแหน่งจึงต้องคืน บิดพลิ้วไม่ได้

เป็นความเข้าใจขั้นพื้นฐานมากๆ แล้วคนที่พ้นจากตำแหน่งไป แต่ยังไม่ยอมย้ายออก จนทางกองทัพ
ต้องไปสร้างที่พักใหม่ให้คนใหม่อยู่ มันถูกต้องหรือ หรือจะอ้างว่า ใครๆเขาก็ทำกัน
(เห็นนายทหารใหญ่หลายรายก็ยึดครองอย่างนี้) ก็น่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกขานบ้านเสียใหม่
อย่าไปเรียกว่าบ้านประจำตำแหน่ง เรียกว่าเป็นโบนัส หากใครได้มากินตำแหน่งนี้ จะได้บ้านฟรีหนึ่งหลัง
แค่นี้ก็หมดปัญหาคาใจชาวบ้าน

แต่ตราบใดที่บ้านสี่เสา ยังเป็นบ้านประจำตำแหน่งของผบ.ทบ. แล้ว ไอ้อดีตผบ.ทบ. มันไม่ย้ายออกมานานนับ30ปี
จะเรียกว่าเป็นคนตรง คนซื่อสัตย์ได้อีกหรือ

ลองคิดดูว่าหากตำแหน่งผบ.ทบ. อยู่กันเฉลี่ยคนละ2ปี ป่านนี้ กองทัพมิต้องสร้างบ้านให้ผบ.ทบ.อยู่
ไปนับ 15หลังแล้วล่ะสิ

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องไปค้นคว้าในเชิงลึกให้ยุ่งยาก เอาแค่ การไม่คืนบ้านหลวง
ก็ยากที่จะทำใจเห็นว่าเป็นคนดีที่ซื่อสัตย์จนเป็นแบบอย่างได้

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำไมไม่เข้าใจ ทำไมไม่คิดว่าคนที่ยึดบ้านหลวงเนี่ยนะเป็นคนซื่อสัตย์
หากการตอบโพลล์ เป็นการสะท้อนความจริงส่วนหนึ่ง ได้มีการไปถามจริง ได้มีการตอบจริง ประเทศนี้มีปัญหาแน่ๆ
มีปัญหาในการแยะแยะ ผิด-ถูก ชั่ว-ดี คงไปตรงกับคำว่าที่ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวล่ะม้าง

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

Mission Impossible

ได้แรงบันดาลใจมาจากการไปดูหนังเรื่องที่ชื่อเดียวกับหัวข้อกระทู้แหละค่ะ
ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้ อาจเป็นเพราะยากไป อาจเป็นเพราะ
ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ไม่ใช่หรือคะ ปัญหาทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศเราในขณะนี้
ดูจะสาหัสสากรรจ์ ดูจะยากยิ่งที่จะแก้ไข

ทุกคนรู้ว่าปัญหาคืออะไร ทุกคนอยากจะแก้ไขให้ลุล่วง แต่ก็ยอมรับกันว่ามันยาก
มันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ แต่หากตั้งใจจริง ร่วมมือกันจริง ปัญหาก็น่าจะได้
รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปได้

ขอเพียงอย่างเดียว คือความมุ่งมั่น และพยายามทำให้ถึงที่สุด ด้วยความร่วมมือจากทุภาคส่วน
ปัญหาที่ว่ายาก ปัญหาที่ว่าใหญ่ ก็อาจสำเร็จได้ไม่ใช่หรือ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพรปีใหม่ให้ชาวไทยทุกคน ใช้ความเพียร
ในการแก้ไขปัญหา เราควรน้อมนำเอามาใส่ไว้ในหัว ว่าถึงจะยาก แต่ถ้าพยายาม ก็จะสำเร็จ

แม้จะเป็นMission Impossible ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ไม่ใช่หรือคะ(แอบหัวเราะคริคริ
ก็จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกไป) แต่ก็ขำจริงๆนะคะ

แต่อย่างไรก็เชื่อว่าพวกเราทำได้ ไม่สำเร็จในวันนี้ ก็ต้องสำเร็จในสักวัน อยู่ที่ว่าคุณจะ
รับงานชิ้นที่ว่าหรือไม่ หากไม่สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดของพวกคุณเองนะคะ ป้าไม่เกี่ยว