วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กลอนปีใหม่

ก็เป็นเพียงอีกวันผันมาถึง
เป็นวันซึ่งเปลี่ยนปีมีเสมอ
ผ่านมาแล้วแล้วก็ผ่านต้องพบเจอ
อย่าละเมอว่าใหม่มันไม่จริง

ยังวนเวียนซ้ำซากแม้อยากเปลี่ยน
ยังคงเลี่ยนล้าหลังยังถูกสิง
ผ่านปีใหม่ผ่านไปไม่ประวิง
ด้วยทุกสิ่งคงคงย้ำทำเหมือนเดิม

เมื่อไหร่หนอขอให้ได้ใหม่บ้าง
ให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่ต้องเพิ่ม
เพียงเปลี่ยนไปนิดหน่อยค่อยๆเติม
จะได้เริ่มประชาธิปไตยในเมืองเรา

ให้เสรีมีบ้างอย่างที่ฝัน
ให้มีวันอ้าปากได้คงไม่เหงา
ให้มีสิทธิ์คิดได้ค่อยบรรเทา
ให้ใครเขาเข้าใจในต้องการ

ผ่านไปแล้วผ่านไปไม่สมหวัง
ที่เรายังตั้งใจให้สุขศานติ์
ไม่ขอมากหากจะได้ให้ยืนนาน
โปรดเจือจานความเสรีที่รอคอย

ต้องเพียรขอรอไปเท่าไหร่หนอ
ต้องให้รอรอไปใจยังหงอย
เสรีภาพที่จะคิดไม่เลื่อนลอย
เราไม่ถอยที่จะขอรอต่อไป
IdeaIdeaIdea

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สี่แผ่นดิน

เอาว่าจะเล่าเรื่องละครเวที "สี่แผ่นดิน เดอะ มิวสิคัล" ที่กำลังเปิดการแสดงอยู่ ณ ขณะนี้นะคะ

ไม่ได้ชวนไปดู แต่เพราะเรื่องนี้ เป็นกระแสฮือฮาอยู่ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมาได้สักพัก

เมื่อเริ่มเปิดการแสดง หลังจากที่ต้องเลื่อนไปเพราะสถานการณ์น้ำท่วม และมีมาโพสท์ กระหน่ำชักชวนกันให้ไปดู
ถึงขนาดมีทวิตเตอร์ ของผู้ว่าฯกทม. ออกมาบอกว่าให้ไปดู โดยเฉพาะแฟนคลับนปช. เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง
จนในที่สุด ก็มีการโพสท์ขออภัยว่าทวีตนั้น ไม่ใช่ผู้ว่าฯ ผู้ว่าไม่ได้ไปดู และไม่ได้เชิญชวน โอละพ่อเล็กๆกันไป
ตกลงไปดูจริงหรือไม่ได้ไป ไปแล้วไม่ได้ชวน หรืออะไรก็ตามเถอะ แสดงให้เห็นว่ามีการนำเรื่องละครเพลงนี้
มาจุดกระแสความแตกแยกอีกครั้ง หรือไม่ก็การหาความบันเทิงของผู้บริหารในยามนี้ เป็นสิ่งต้องห้าม
ไม่สมควรทำมั้ง เพราะเห็นกระหน่ำด่ากันเมื่อมีคนเลวโพสต์กล่าวหาว่านายกฯไปดูคอนเสิร์ตยานี
ผู้ว่าฯกทม. เลยกลัวถูกด่า บอกว่าไม่ได้ไปดู เอิ๊กส์
แต่เอาเถอะจะไปดูหรือไม่ได้ไปดูก็แล้วแต่ ป้าได้ไปดูเลยจะนำมาเล่าก็แล้วกัน

หลังจากเห็นกระแสเอามาบอกกล่าวว่าต้องไปดู ดูแล้วจะรัก"ในหลวง"มากยิ่งขึ้น ทำเอาใจเสีย
เพราะบัตรจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว เขาเลื่อนเพราะน้ำท่วมก็เอาไปเปลี่ยนรอบกะเขามาเรียบร้อย
พอมาเจอเสียงลือเสียงเล่าอ้างอย่างนี้เลยชักใจเสีย ไม่ใช่ว่ากลัวว่าไปดูแล้วจะรัก"ในหลวง"มากขึ้นหรอกค่ะ อย่าคิดมาก

แต่ใจเสียเพราะงง จำได้ว่าบทประพันธ์ของมรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเรื่องนี้อ่านมานานแล้ว และอ่านหลายรอบ
ละครเวทีที่ธรรมศาสตร์ ก็เคยแสดงเป็นตัวประกอบแล้วด้วยซ้ำ เคยชอบและประทับใจเรื่องนี้มากๆ
แต่เท่าที่นึกออก ก็เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านชีวิตตั้งแต่เยาว์วัยมาจนแก่ตาย โดยผ่านยุคสมัยมาถึง 4 รัชกาล
ตั้งแต่ร.5ถึงวันสุดท้าย ที่แม่พลอยตายเมื่อได้รับข่าวการสวรรณคตของร.8
ก็เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ แล้วมาเชิญชวนกันไปดูเพื่อจะได้"รักในหลวง"มากขึ้นได้ไง
นี่มันพ.ศ. ไหนแล้วเนี่ย ร.9มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ
หรือคนเขียนบทไปแก้ไขยืดเรื่องเอาเอง เลยชักใจไม่ดี เสียความรู้สึก
เลยต้องไปดู ให้รู้จริง (อ้อ ต้องไปดู เพราะเสียดายตังส์ด้วยนั่นแหละ บัตรก็ออกแพง เขาไม่รับคืนเสียด้วย)

ไปดูมาเรียบร้อย เลยมาเขียนเล่าให้ฟังแล้วกัน ว่าทำไมเขาถึงฮือฮากันนัก ไม่ได้ชวนไปดูหรอกค่ะ
เพราะบัตรคงไม่มีแล้ว รอบเมื่อคืนก็เห็นนั่งกันเต็มทุกที่นั่ง

ละครเวทีประเภทเดอะมิวสิคัลนี้ เท่าที่ดู ถกลเกียรติ จัดมาแล้วหลายเรื่อง
ก็ชอบทุกเรื่องล่ะนะคะ เพราะเป็นคนชอบดูละครเวทีมาแต่ไหนแต่ไร
ชอบโปรดักชั่นงานสร้างเขา ทั้งฉาก เครื่องแต่กาย แสงสีเสียง รวมทั้งนักแสดง
ล้วนมากฝีมือ ดูทุกเรื่องก็ประทับใจทุกเรื่อง

"สี่แผ่นดิน" ครั้งนี้ ก็ไม่ได้ดัดแปลง เนื้อเรื่องแต่ประการใดนะคะ ยังคงเป็นเรื่อง
ของแม่พลอยที่มีผัวชื่อ คุณเปรมแบบเดิมแหละค่ะ
แต่อาจเป็นเพราะยุคนี้เป็นยุคของความขาดแคลน ขาดแคลนความรัก
สังคมเริ่มหวั่นไหว ว่า เรารัก"ในหลวง"น้อยไปหรือเปล่า

จะเป็นการจงใจหรือไม่ไม่ทราบ แต่ละครเรื่องนี้ เปิดฉาก โดยเอาแม่พลอยที่แก่แล้ว ออกมาเล่าเรื่องหน้าฉาก
เกริ่นนำว่าที่ปวงชนชาวไทยอยู่ร่มเย็น เจริญรุ่งเรืองมาเพราะบารมี"ในหลวง" เท่านั้นแหละ น้ำหูน้ำตารื้นกันขึ้นมาทีเดียว
โดยคงลืมไปว่า แม่พลอยแกตายไปตั้งแต่ร.8 "ในหลวง"ที่แม่พลอยแกพูดถึงเนี่ยก็น่าจะนับแค่ร.5-ร.8เท่านั่้น
แต่ก็เอาเถอะ คนดู พอได้ยินคำว่า"ในหลวง" น้ำตาคงไหลพรากๆกันแล้ว

เรื่องดำเนินผ่านยุคผ่านสมัยมาเรื่อยๆ เล่าเรื่องความเจริญรุ่งเรืองในสมัยร.5 มีการกล่าวถึง รถไฟม รถราง และไปรษณีย์
ในเนื้อที่ร้อง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในรัชสมัยนั้น รวมทั้งการเลิกทาส
พอเปลี่ยนมายุคร.6 ประเทศเราก็ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เอาอย่างฝรั่งกันเต็มที่ ใช้ชีวิตหรูหรา
ฟุ่มเฟือย (เพราะมีแบบอย่าง) แล้วต่อมาถึงร.7 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
มีการนำเอาคำประกาศของคณะราษฎรมาอ่านเล็กน้อยด้วยนะคะ ป้าเกือบเผลอ
ลืมตัวปรบมือเมื่อฟังจบเสียแล้วสิ

ระหว่างนั้น การดำเนินเรื่องก็เป็นไป ตามท้องเรื่อง เพิ่งได้ทราบจากบางท่านในทวิตเตอร์ว่าคุณชายคึกฤทธิ์
ท่านเขียนเรื่องนี้ได้แบบเนียนๆ โดยเอาความคิดของคนแต่ละแบบใสไว้ในตัวละคร
เลยต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมามัวไปโฟกัสที่ตัวแม่พลอย โดยลืมดูลูกๆ
ครั้งนี้ต้องใส่ใจหน่อย และพบว่า ลูกของแม่พลอย ต่างเป็นตัวแทนของคนแต่ละคน
ที่คิดเห็นต่างกันในสังคมนี้

เพียงแต่สมัยท่านคึกฤทธิ์เขียนกะยุคนี้มันต่างกัน แม้ความต่างจะยังคงมีอยู่ และเพิ่มความรุนแรงขึ้น
"อ้น" ลูกคุณเปรมคนแรกที่เกิดจากเด็กในบ้าน อู๋ย อันเนี้ย เป็นไพร่แท้จริง เพราะเกิดจากการผสมพันธุ์ต่างชั้น
ตามหลัก เด็กพวกเนี้ยจะเจียมเนื้อเจียมตัว ตามทัศนคติของคุณชาย เอ่อ แล้วก็ต้องจงรักภักดีมากเป็นพิเศษ

"อั้น" ลูกชายคนโตที่เกิดจากแม่พลอยและคุณเปรมส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก กลับมาพร้อมเมียแหม่ม
และมีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงการเมือง ในทัศนคุณชาย ก็อาจจะมาก่อนกาล เลยแพ้ภัยไปในที่สุด

"อ๊อด" ลูกแหง่ของแม่ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากทำตัวเป็นชาวเกาะ
(เกาะแม่กิน) แม้มันช่างเหมือนลูกท่านหลานเธอโดยทั่วๆไปโดยแท้ ครั้นวันหนึ่งคิดได้ว่าต้องทำงาน
ก็ดั๊นไปเลือกงานยากเกินกำลัง ลงใต้ไปทำเหมือง เลยแพ้ภัยตายไปอีกราย

ส่วนลูกสาวคนเล็ก"ประไพ" ก็แต่งงานไปกะเจ๊กจีน พ่อค้าที่ โดนดูถูกดูหมิ่น(ในสมัยนั้น) เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน
ซึ่งจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ยังเป็นความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยน

เรื่องก็น่าจะจบลงในตอนที่แม่พลอยตาย จึงจะสมบูรณ์ตามเรื่องเดิม หมดสี่รัชกาลดังชื่อ"สี่แผ่นดิน"
แค่ถกลเกียรติ ก็เสริมต่อไปอีกหน่อย อันคงเป็นเหตุ ทำให้ซาบซึ้ง น้ำตาไหลกัน

โดยส่วนตัว ละครไม่เลวร้าย เพียงแต่อาจมากไปนิด โดยถกลเกียรติ อาจลืมความจริงข้อหนึ่งไปว่า "มากไปย่อมเฝือ" "ยัดเยียดย่อมน่าเบื่อ"
ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนเรียนรู้มากขึ้น เข้าใจโลกเข้าใจสัจธรรมมากขึ้นแล้วนะคะ เอ หรือทั้งโรง มีป้าคิดเอาเองอยู่คนเดียว

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อาทิย์ อุไรรัตน์

ถูกเรียกขานว่าสุภาพบุรุษประชาธิปไตย เพียงเพราะ เปลี่ยนชื่อนายกฯที่ต้องนำถวาย
ในวินาทีสุดท้าย เลยได้นายกฯอานันท์ เข้ามาเป็นแทน สมบูรณ์ ระหง

ดีหรือไม่ไม่ทราบ แต่ช่วงนั้น คนตบมือตีตีน เชียร์ว่าทำถูก ทำดี กันทั้งนั้น
โชคดี ที่ปัจจุบันการเลือกนายกฯต้องทำในสภา ไม่งั้นได้มีการเล่นพิเรนท์อีกแน่ๆ

เมื่อกลายเป็นสุภาพบุรุษประชาธิปไตย แต่ทำผิดธรรมเนียม ก็ต้องมารู้จักแกกันหน่อย
ยิ่งตอนนี้ สุภาพบุรุษของใครไม่รู้ แกขู่ฟ่อดๆว่าจะปิดถนน หากรัฐไม่แก้ไขปัญหาน้ำท่วม
มหาวิทยาลัยของแก

อาทิตย์ อุไรรัตน์ มีชื่ออยู่ในสื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา บางครั้งก็จงใจให้ข่าว
บางครั้งก็คงไม่อยากให้เป็นข่าว แต่เผอิญคนเขาสนใจ(เช่นเรื่องของลูกสาว)

อาทิตย์ อุไรรัตน์ ภาพที่ปรากฎ ชัดคือ เป็นนักการเมืองที่แม้จะเคยมีพรรคของตนเอง
แต่ลึกๆก็แอบเชียร์ปชป. อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ซ้ำเคยลงแข่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
แมลงสาบด้วย คิดดูแล้วกันว่าเป็นคนหัวใจปชป.หรือไม่

แม้ปัจจุบันจะบอกวางมือจากการเมืองแล้ว แต่ก็มักให้ความเห็นหรือแสดงทัศนวิจารณ์เรื่องการเมืองอยู่บ่อย ๆ
ตามสื่อสารมวลชนโดยเฉพาะทางช่อง ASTVและสื่ออื่นในเครือผู้จัดการ คิดดูแล้วกันว่าคนอย่างนี้
จะเชื่อได้ว่าเป็นคนที่เป็นกลาง ไม่มีอคติต่อรัฐบาลนำโดยท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้อย่างไร

ล่าสุดที่ออกมาขู่ว่า จะปิดถนน แหม วางตัวเป็นนักวิชาการ วางตัวว่าสูงส่ง
มีทัศนคติดีงาม แล้วออกมาขู่ปิดถนนเนี่ย มันไม่ทุเรศไปหน่อยหรือ
จริงอยู่ ปัญหาที่เกิด(น้ำท่วมขัง) ต้องได้รับการเยียวแก้ไข แต่การ
ออกมาขู่ มันดูไม่สวยนะทั่น แล้วมันเผอิญมาตรงกับวาระที่ปชป. ฉายเดี่ยว
กะจะอัดรัฐบาลโดยผ่านคุณประชา พอดิบพอดี

เลยยากที่จะเชื่อว่าทำไปด้วยความเดือดร้อนจริงๆ เพียงแต่รับงานมาทำให้
ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จัดการอะไรไม่ได้เลย ถ้าหากว่ารัฐบาลเพิกเฉยจริง
ก็ไปอย่าง นี่ก็ทำอยู่ไม่มีวันหยุด หากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ป่านนี้ได้ท่วมกัน
ทั่วถึงแล้วแน่ๆ นี่ก็พยายามบริหารจัดการน้ำอยู่ เพราะปัญหามีรอบด้าน อาทิตย์เอง
ก็รู้ ว่าคลองประปาเป็นเรื่องใหญ่ แล้วจะออกมาขู่ทำไม

ภาพความเป็นกลางไม่มี แล้วยิ่งทำเพื่อมหาวิทยาลัยของตน ยิ่งดูไม่สวยใหญ่เลยนะจ๊ะ

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ได้ไม่คุ้มเสีย

จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องฮ็อตฮิตติดชาร์ตอยู่ในขณะนี้


ก็ไอ้เจ้าSMS เจ้ากรรม พาเจ้าของเครื่องติดคุกไปเสีย 20 ปี

เรื่องของเรื่องที่ยังคุยกันไม่รู้จบ ในขณะนี้มีหลายหัวข้อ ซึ่งสร้าง
ความมึนงงสงสัยแก่คนได้รับรู้ข่าวสารกันไม่น้อย

เรื่องเทคนิคที่ ตัดสินก็แปลก เนื่องจากจำเลยไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมา
ยืนยันว่าตนอาจไม่ได้เป็นคนส่ง ศาลจึงไม่ยกประโยชน์ให้

แต่ที่มันติดใจจนต้องตื่นมาเขียนคือ ม.112 มีเนื้อหาสั้นมาก ไม่มีรายละเอียด
อื่นใดมากกว่านี้ จึงขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ" ของศาลในการตัดสินเท่านั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (1) พระมหากษัตริย์ (2) พระราชินี (3) รัชทายาท
หรือ (4) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”


อันนี้แหละค่ะน่าสนใจ ว่าแค่ไหนอย่างไร เมื่อไม่มีกำหนดไว้ชัดเจน คำตัดสินจึงไปขึ้นกับผู้พิพากษา
ซึ่งท่านก็เป็นคน ที่มีอคติ มีความเชื่อต่างๆกันไป บางท่านอ่อนไหวหน่อย
เห็นแล้วสะเทือนใจมากก็จะเห็นว่าผิดมาก
แต่บางท่านบางคนอาจบอกว่าเอาน่าเรื่องเล็กน้อย ให้อภัยได้ มีเรื่องชวนสงสัย
ที่สามารถจะยกประโยชน์ให้จำเลยได้มากมาย แต่ท่านก็ไม่ทำ ตัดสินเสียเต็มเหนี่ยว
เอาไปข้อความละ 5ปี รวมเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 20ปีไม่ลดสักปี

แต่ที่ข้องใจจนนำมาเขียนวันนี้ไม่ใช่เรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องข้อกม. แต่เป็นเรื่องความเข้าใจส่วนตัวล้วนๆ

กล่าวคือ คำว่า SMS ซึ่งมีคำเต็มว่า Short Message Service แปลเป็นไทยว่าการส่งข้อความสั้นๆ
เขากำหนดไว้แค่ครั้งละ140ตัว(เท่ากับทวิตเตอร์นะคะ) หากอยากเพ้อมากกว่านี้ ต้องแบ่งส่งเป็นหลายๆข้อความ

แล้วSMS จะส่งไปถึงเฉพาะเบอร์ที่เราเลือก จริงอยู่อาจส่งได้ทีละหลายๆเบอร์แต่ในเคสนี้ เขาส่งไปให้แค่เบอร์เดียว

ต่างจากทวิตเตอร์ที่พิมพ์ทีเดียวมีคนเห็นมากกมาย แล้วแต่จำนวนคนตามเรา แต่บางทีพิมพ์จี๊ดถูกใจ ก็จะมีคนเอาข้อความเราไปทวีตต่อ

ประเด็นสำคัญคือ เมื่อส่งเป็นSMS คนที่รู้จึงน่าจะมีคนเดียว นอกจากเราจะเอาเครื่องไปโชว์
ดังนั้นคนได้รับ ตามข่าวเป็นเลขานุการนายอภิสิทธิ์ จึงมีคนเดียว

หากข้อความดังกล่าว(ซึ่งก็ไม่เคยมีใครรู้ เพราะเขาไม่เคยบอก) เป็นการกระทำผิด ตามม.112จริง คือดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายจริง ก็น่าจะรู้แค่คนได้รับสารนั้น

หากเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร หวีดว้ายแล้วกดลบทิ้งแทบไม่ทัน ใช่หรือไม่ อย่างดีคุณก็คงแอบเอาไปให้เพื่อนดู สังเกต :ต้องแอบนะคะ
เพราะต่างก็รู้ดีว่ามันผิดกม.

ก็เมื่อเป็นแค่การส่งไปให้คนเพียงคนเดียว เผอิญมันบ้าจี้ เอาไปฟ้องร้อง ศาลท่านก็ดันคิดไม่เหมือนขาวบ้าน
ท่านคงคิดว่ามันผิดร้ายแรง เลยตัดสินเสียเต็มเหนี่ยว ทีนี้ข่าวก็เลยดังไปทั่วโลก ไอ้ที่จะรู้แค่เพียงคนส่งกะคนรับ
เลยกระจายไปเป็นวงกว้าง ไอ้ที่จะเสนอข่าวเฉยๆ ประเทศเราก็ไม่ได้ดังขนาดนั้น เลยต้องมีการท้าวความ
อธิบายที่มาที่ไปลงไปสักเล็กน้อย ทีนี้เลยดังกันสมใจ เข้ากับคำพังเพยที่ว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" ล่ะค่ะ

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วุฒิภาวะ

คนบางคนแม้จะแก่หรือเรียกอย่างสุภาพว่ามีวัยวุฒิ ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะมีวุฒิภาวะ คือแก่แต่เพียงอายุ แต่ความคิดอ่านแต่จิตสำนึกยังบกพร่องอยู่มาก

ด้วยเหตุที่ในขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่หลวง
บ้างก็ว่าในรอบ 50 บ้างก็ว่าอาจถึง 100ปี ที่มีน้ำท่วมใหญ่
เป็นการท่วมที่รุนแรงและกว้างขวาง

เขาว่าวิกฤตน่าจะทำให้เกิดโอกาส โอกาสที่จะได้ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อช่วยกันแก้ไข
ช่วยกันเพื่อจะช่วยให้ภัยครั้งนี้ไม่รุนแรง ไปจนแทบไม่มีอะไรเยียวยาได้

น้ำท่วม มองในแง่ดี อย่างน้อยผืนดินก็ยังอยู่แม้จะต้องเสียเงิน
มากมายในการบูรณะ บ้าน โรงงาน ที่ทำกิน แต่เราก็ยังมีผืนดินอยู่
น้ำไม่สามารถพัดพาเอาไปได้ ดีกว่าเสียหายจนไม่เหลืออะไรสักอย่าง
เราต้องมองไปข้างหน้า ฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

จึงเห็นว่ารัฐบาลที่นำโดยพณฯท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้รอจนน้ำลด
ที่จะเร่งฟื้นฟู บูรณะประเทศ โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุด
เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประเทศเกิดปัญหา
เช่นนี้ซ้ำขึ้นมาอีก

หนึ่งในคณะกรรมการ จากสามชุดที่ว่า ก็มีคนแก่ ที่แก่แล้วแก่เลย
แก่แล้วด้วยวัย แต่สติปัญญายังด้อยอยู่มาก

จะใครเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่หนึ่งเดียวที่คนส่วนใหญ่ เมื่อได้ยินชื่อ
แล้วเป็นต้องตะขิดตะขวงใจ และไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เรื่องที่จะเอาชื่อมาใส่ทำไมหนอ

เพราะหลังจากถูกประกาศชื่อว่าเป็นหนึ่งในคณะทำงาน การให้สัมภาษณ์
ก็โชว์ตัวตนชัดเจน แม้แรกๆจะดูว่าคิดดีพูดดี แต่ก็หลุดออกมาในที่สุดตอนท้าย
คำพูดที่แสดงว่าขาดวุฒิภาวะเป็นอย่างยิ่ง

ถามว่าจะใช้เวลากี่ปีในการฟื้นฟู ผมไม่ทราบ แต่เวลานี้ผมอายุ 72 ปีแล้ว
ผมคงไม่ได้เห็น แต่ถ้าทำเสียแต่วินาทีนี้ ทั้ง 62 ล้านคนรับผิดชอบร่วมกันทำอย่างจริงจัง
ภายใน 5 ปี อาจจะยังพอมีหวัง แต่ถ้ายังทำแยงกันไป ตัดขากันไปอย่างนี้...ยาก
แค่ผมรับการแต่งตั้ง ยังมีทั้งคนโทร.มาเชียร์ โทร.มาตัดพ้อ

ไอ้ประโยคสุดท้ายเนี่ย ไม่พูดก็ได้มั้ง เพราะพูดไปแล้วไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
มันเป็นการตอกย้ำว่าประเทศนี้ผสมผสานรวมกันไม่ได้ มีการแบ่งแยก
เป็นฝักเป็นฝ่ายชัดเจน จริงอยู่มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็แก่ขนาดนี้แล้วน่ะนะ
คิดไม่เป็นหรือว่าไม่ควรพูด ถึงจะมีคนโทร.ไปจริง แล้วมันเกิดประโยชน์อันใด
ที่ต้องตอกย้ำ ไหนว่าจะมาช่วยชาติ แต่ทำตัวอย่างนี้ พูดอย่างนี้ กลับไปนอนรอ
ความตายที่บ้านดีกว่ามั้ง

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีป้องกันน้ำท่วม?

ระยะนี้ จะเห็นว่ามีการเสนอวิธีการป้องกันน้ำท่วม(กันน้ำไม่ให้เข้าบ้าน)
กันออกมามากมาย ซึ่งก็ดีนะคะ ถ้าทำแล้วสบายใจ ไม่เสียเงินมาก
ก็ลองทำดู อย่างน้อย ก็จะสบายใจว่าได้ทำแล้ว

แต่น้ำท่วมครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งไหนๆ ไม่เหมือนน้ำท่วมที่เกิดจากฝน
ตกหนัก แล้วน้ำระบายไม่ทัน(กทม.เป็นบ่อยๆ) ไม่ใช่น้ำท่วมที่เกิดจาก
น้ำทะเลหนุน แม่น้ำเจ้าพระยา ระดับน้ำสูง ถ้าเป็นอย่างนั้น การยาซิลีโคน
การกั้นกระสอบทราย ก็คงเอาอยู่ น้ำที่จะมาครั้งนี้ เป็นมวลน้ำมหาศาล
เขาว่าก้อนใหญ่มหึมา เป็นน้ำลามทุ่ง (แปลว่าทางบก)ไม่ได้มาทาง
แม่น้ำลำคลอง หรือจากฝน จึงยากที่จะกั้นเอาไว้ได้

ไม่ทราบได้ดูข่าวโรงงานกิ๊ฟฟารีนในนวนครกันหรือเปล่าคะ
ผู้บริหารเขาว่าเป็นโรงงานสุดท้ายที่น้ำเข้าท่วม เขาเล่าว่า
ที่โรงงานก่อกำแพงคอนกรีตหนาอย่างดี สูง2เมตร กั้นไว้รอบตัวอาคาร
จึงเป็นโรงสุดท้ายที่อยู่รอด แต่เมื่อน้ำมาจริงๆ เขาว่า เสียงดังมาจากทางด้านหลัง ตึงๆ (แน้ มีเคาะประตูด้วย)
แล้ว กำแพงคอนกรีต2เมตรก็พังลงมา และน้ำก็ทะลักเข้าทุกทิศทุกทาง
จนเจิ่งนองไปสูงสักสองเมตรกว่า เป็นอันจบกันสำหรับแขกที่ไม่ได้
รับเชิญ แต่ก็มาอยู่ดี

เอาเถอะค่ะ ป้องกันไว้ให้ดีที่สุด แต่ต้องไม่ลืมทำใจไว้ด้วย
น้ำครั้งนี้ มากมายมหาศาล ลองเธอจะผ่านมา กั้นอย่างไรก็เอาไม่อยู่
ปล่อยเธอกลับไปหา พ่อ-แม่เธอในทะเลเถอะค่ะ เธออาจจะผ่านบ้าน
ใครไปบ้าง ก็ต้องยอมๆกันไป อย่าไปดึงดัน ห้ามเธอเลย
เธอเป็น หญิงเจ้าอารมณ์ กั้นเธอมากๆ แป๊บเดียวเธอก็รวม
พลังบุกทะลวง สร้างความเสียหายมากกว่าอีกค่ะ

ด้วยความเคารพจริงๆ วิธีกันน้ำแบบที่เสนอๆกันมา คงใช้ได้ดี
สำหรับกรณีน้ำท่วมขัง เพราะระบายไม่ทัน แต่หากเป็นน้ำลามทุ่ง
เช่นครั้งนี้ เห็นทีจะยาก เพราะน้ำที่มาจะมาจะเร็วและแรง และเยอะมากๆ

สู้เอาเงินที่จะป้องกัน ไปซื้อของกิน น้ำดื่ม เตรียมไว้รับสถานการณ์
จะดีกว่านะคะ ไม่ก็เก็บเอาไว้ซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดจะดีกว่า
อย่าหาว่ามองโลกในแง่ร้ายเลย หากแต่ มองโลกในความเป็นจริงมากกว่า

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขอโทษ

เมื่อ"ขอโทษ"โกรธก็หายไปเกือบครึ่ง
ที่เคยตึงเคยข้อง คงต้องหาย
คำขอโทษ ต่อใจโหดโกรธแทบตาย
ก็ยังคลายหายขึ้งพึงทำกัน

เเป็นนายกฯที่อ่อนน้อมยอมขอโทษ
ไม่ต้องโอดว่าไม่ผิดคิดผลักผัน
มีปัญหามาให้แก้อยู่ทุกวัน
แล้วจำนรรจ์คำขอโทษโกรธก็คลาย

คำสั้นๆคำนี้มีอำนาจ
คนขี้ขลาดหวาดระแวงแกล้งทำหาย
ทำดึงดันว่าไม่ผิดไม่คิดอาย
ทำคนตายก็ไม่กล้าเอ่ยวาจา

พระท่านสอนเอาไว้ไม่ผิดพลาด
คนฉลาดต้องรู้จำย้ำหนักหนา
เอ่ยขอโทษ เพื่อให้เขาเอาใจมา
พร้อมอาสาจะช่วยไปด้วยใจ

พูดไม่ยากหากใจไม่กระด้าง
เพราะมันง้างหัวใจไปถึงไหน
เปิดประตู ความช่วยเหลือเพื่อคนไทย
ไม่ฝักใฝ่ไม่ถือหางข้างเขา-เรา

เพียงนายกฯ เอ่ยคำว่าขอโทษ
คนใจโฉดคิดด่าพากันเหงา
ความขึ้งเคลียด เกลียดก็คลายคล้ายบรรเทา
ควรจะเอาใส่ในปากไม่ยากเลย

ผิดหรือไม่ใครก็เห็น เป็นเรื่องแน่
เพียงแต่แค่เอ่ยคำ อย่าทำเฉย
พูดติดปากว่าขอโทษให้คุ้นเคย
มันไม่เชยหรอกหนาป้าวิงวอน

จากข้อคิดคำสอน ของท่านอาจารย์ คะเวสะโก หรือที่รู้จักกันในนามท่านมิสุโอะ
พระญี่ปุ่น ที่พูดไทยคล่อง แต่หนังสือสอนเล่มสั้นๆอ่านง่ายๆ ไว้มากมาย

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่ออคติบังตา

ได้อ่านบทความในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุด เปิดไปเจอคอลัมน์ "โลกทรรศน์" เขียนโดย นายอุกฤษฎ์ ปัทมานันท์
ด้วยคำถามว่า "เสื้อแดงหายไปไหน?" ในบทความได้เขียนออกมาด้วยอคติ อย่างที่สุด เขาตั้งคำถามว่า ในเมื่อเสื้อแดง
อ้างว่า เป็นมวลชนจำนวนมหาศาล จนทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง

เขาสงสัยว่า เมื่อเกิดสภาวะน้ำท่วมใหญ่เช่นในครั้งนี้ เสื้อแดงไปทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่เห็นออกมาแสดงศักยภาพ ช่วยเหลือ
อันแสดงให้เห็นว่า ช่างดำมืดทางความคิดเสียจริง จากภาพข่าวทางทีวีเอเชียอัพเดต(ซึ่งเขาแขวะว่าเป็นกระบอกเสียงของเสื้อแดง)
ไม่รู้ว่าเขาได้เคยเปิดดูบ้างไหม เคยรู้บ้างไหมว่า นปช.เองได้ระดมทั้งเงินทองและเครื่องใช้อุปโภคบริโภค ใส่รถสิบล้อ เดินทางออกไปเป็นคาราวาน
นับสิบคัน เพื่ออกไปให้ความช่วยเหลือ

ไม่นับรวมถึงเสื้อแดงที่กระจายอยู่ตามเครือข่ายโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่า ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค หรือแม้แต่เวปบอร์ดทางการเมือง
ก็ได้ระดมสรรพกำลัง ออกไปช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบภัย เพียงแต่สื่อหลัก ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ ทีวี ไม่เคยสนใจทำข่าว
ไม่เหมือนช่วงที่ รัฐบาลก่อน ที่สั่งฆ่าประชาชน แล้วยังป้ายสีว่า เสื้อแดง เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งในช่วงนั้นเห็นกระจายข่าว
ใส่ร้ายกันอย่างเต็มที่

เขาแขวะต่อว่า เสื้อแดงคงเกิดขึ้นเพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อการเลือกตั้งเท่านั้น เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายก็เลิกราไป
มันจะไม่เป็นการอคติมากไปหน่อยหรือ การที่เขาไม่รู้ไม่เห็นข่าวทางสื่อหลัก ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราชาวเสื้อแดงจะนิ่งเฉย
ต่อมหันตภัยครั้งนี้สักหน่อย มันไม่มืดบอดไปหน่อยหรือ ที่มากล่าวหากันว่า เสื้อแดงนั้นหาได้มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยแต่อย่างไร
เขาคงลืมไปว่า เสื้อแดงเกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดเมื่อไหร่

คนพวกนี้ มีหน้าที่เขียน แต่เมื่อเขียนด้วยอคติ งานเขียนจึงน่ารังเกียจ ที่สำคัญที่สุด ยังไปแขวะคุณทักษิณ ว่าทำไม ไม่ใช้ศักยภาพ
ความเก่ง ความสามมารถ จนเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อหาทางช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากประสบภัยสึนามิ และโรงงานไฟฟ่าพลังปรมาณู
หรือการที่เดินทางไปปาฐกถาการพัฒนาเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาความยากจนให้กับกัมพูชา

นับเป็นข้อที่น่าทุเรศเป็นที่สุด การเขียน โดยที่ทำเหมือนไม่เข้าใจ ทำเหมือนข้อสงสัยธรรมดา ว่าทำไมคุณทักษิณไม่ช่วยเหลือคนไทยบ้าง
โอ้อนาถแท้หนอ เท่าที่ติดตามข่าวคุณทักษิณก็ ไม่ได้นิ่งดูดาย พยายามให้คำชี้แนะ การแก้ปัญหา อยู่มิใช่หรือ แต่พวกคนอย่างคุณไม่ใช่หรือ
ที่รังเกียจรังงอนคุณทักษิณนักหนา คนอย่างพวกคุณไม่ใช่หรือที่ดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อคุณทักษิณถูกปฏิวัติ และถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
จนต้องระเห็จออกไปอยู่ต่างประเทศ คนอย่างพวกคุณไม่ใช่หรือที่ตำหนิติว่าเสมอ เวลาคุณทักษิณจะให้คำแนะนำอะไร

มาถึงเวลานี้ ยังเอามาเขียนแขวะได้อีกว่า คุณทักษิณมัวไปช่วยประเทศอื่น แต่ไม่ช่วยประเทศไทย ขึ้นต้นลงท้าย งานเขียนของคุณก็ไม่ต่างอะไร
จากกระดาษเปื้อหมึก ที่สำคัญเป้นหมึกสีดำที่อุดมไปด้วยอคติ ดวงตามืดมน

จริงอยู่ คุณอาจเถียงว่า คุณเขียนด้วยทัศนคติส่วนตัว เขียนไปตามที่นึก เขียนไปตามที่เห็น ไม่จำเป็นต้องไปถูกจริตกับคนเสื้อแดง
และไม่จำเป็นต้องชื่นชมคุณทักษิณหรือคนเสื้อแดง ก็ตามเถอะ ฉันก็ขอบอกว่า เมื่อฉันอ่านแล้ว ฉันเห็นแต่อติเต็มข้อเขียนของคุณ
และละเลยไม่ได้ที่จะต้องเอาคุณมาสับต่อในเวปบอร์ด เพื่อให้ท่านอื่นๆที่ไม่ได้อ่าน ได้ทราบเรื่อง และเข้ามยำคุณต่อ คงไม่ว่าอะไรนะ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ใกล้เข้าไปแล้ว

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

คงมีคนเขียนถึงกลอนบทนี้กันมามากแล้ว บ้างก็ว่าไม่ใช่ของเก่า
บ้างก็ว่าไม่ใช่คำทำนายของท่านฤาษีลิงดำ จะอย่างไรก็ช่างเถอะ

อย่างน้อยความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ว่ากลอนนี้อย่างน้อย
ก็แต่งก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ จะชนะการเลือกตั้ง ก่อนที่จะทราบว่า
คุณยิ่งลักษณ์ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ของประเทศไทย

เมื่อคุณยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ จึงไปตรงกับคำทำนาย และยิ่งไปสอด
คล้องกับท่อนที่ต่อมา จนคนเอาไปนินทาว่าร้ายว่า หากมีผู้ปกครองเป็นหญิง
จะเกิดปัญหาทางด้านน้ำ อย่างที่เรากำลังประสบอยู่ แต่แน่นอน หลังฝน
ย่อมมีฟ้าใส ใครๆก็รู้ เป้นสัจจธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่มีทางที่เราจะจม
อยู่ใต้น้ำตลอดไป ไม่มีทางที่ฟ้าจะมืดตลอดไป เมื่อสิ่งเลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไป
เรื่องที่จะตามมาต่างหากที่น่าสนใจ

เพราะตามกลอนทำนายต่อว่า "จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา"
เอาเพียงแค่นี้ก็คงปลอบประโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำ อดทนสู้กับอุทกภัยครั้งนี้ได้
เพราะจากนี้อีกไม่นาน ประเทศเราของจะได้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ
อย่างสมบูรณ์แบบเสียที หลังจากหลอกประชาคมโลกมานานนับ60-70ปี
ว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันแปลว่าประชาเป็นใหญ่ แต่บ้านเรา
กลับมีบางคนใหญ่กว่าประชาเสียอีก สามารถล้มล้างเสียงของประชาชน
เข่นฆ่าประชาชนเพียงเพราะไม่เชื่อฟังอีกด้วย

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา

ส่วนท่อนนี้อ่านแล้วก็เกิดความหวังนะคะ ขอเพียงอย่างเดียวคือต้องมีศรัทธา
จะศรัทธาอะไรเสียอีกละคะ นอกจากศรัทธา และเชื่อมั่นในการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตย ศรัทธาว่าเรานี่แหละมีสิทธิ์ที่จะเลือกใครก็ได้ที่เราคิดว่าดี
มีความสามารถที่จะนำพาประเทศชาติผ่านวิกฤต ไปได้ ไม่ต้องร้องขอเทวดา
คนนี่แหละค่ะทำได้ ทำได้ด้วยแรงศรัทธา ร่วมกันสร้างชาติขึ้นมาใหม่ หลังน้ำท่วมใหญ่
ล้างคราบไคลเผด็จการ ล้างสิ่งสกปรกโสมมที่หมักหมมอยู่ทั่วประเทศให้หมดไป
กับน้ำในครั้งนี้

อย่าลืม"หลังฝน ฟ้าจะใส" เพียงแค่เชื่อ ท่านก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ เพื่อจะพบโลกใหม่
โลกที่ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินเสียที

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำเพื่อคนคนเดียว

อนุสนธิ จากข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ที่ออกมาเสนอให้ การทำรัฐประหารเมื่อปี49 เสียเปล่า
ซึ่งหมายความ(ตามความเข้าใจส่วนตัว) ว่า รัฐประหารครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อไม่มีการรัฐประหาร
องค์กรต่างๆที่ตั้งขึ้น หรือกฎระเบียบทั้งหลาย แม้แต่การตัดสิน ย่อมไม่มีอยู่เลย

หากมองจากประชาชนคนธรรมดา ก็ต้องเห็นว่า ไม่มีข้อเสียหาย เพราะหากคิดว่าการทำรัฐประหารผิด
การกระทำใดๆ อันเป็นผลพวงของการกระทำนั้น ย่อมผิด ยกเลิกเสียก็ดีแล้ว

แต่กลับมีคนออกมาดิ้นกันทุรนทุราย ยอมไม่ได้ ทำไม่ได้ ไล่เรียงมาตั้งแต่หัวจรดหาง
แปลกจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็มองไม่ชัดว่าได้ผลประโยชน์อะไรจากการรัฐประหารนี้
แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ คนพวกนี้ เกลียดคุณทักษิณ กลัวว่าหากล้มล้างการทำรัฐประหาร
คุณทักษิณ จะพ้นผิด จะได้เงินที่ถูกยึดคืนไป (อันนี้ งานใหญ่ เพราะเอาของเขามาใช้ไปหมดแล้ว)

สรุปได้ความว่า คนเหล่านี้ ยอมรับแล้วว่า การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 เป็นการทำเพื่อ
ล้มล้างคุณทักษิณ โดยตรง เป็นการทำเพื่อล้มล้างคนคนเดียว ยอมทุกอย่าง ยอมให้ประเทศ
เสียหาย ลากทุกภาคส่วนมาทำลายจนย่อยยับ เพื่อจะทำลายคนคนเดียว โดยไม่นึกถึงประเทศชาติ

5ปีผ่านไป คุณทักษิณก็ยังอยู่ อยู่ในใจของคนส่วนใหญ่ในประเทศที่ เห็นผิดเป็นชอบ
ประเทศที่จนตรอก เพียงแค่จะล้มนายกฯที่ประชาชนรัก เขาทำกันทุกวิถีทาง แม้จะเสียหาย
ในสายตาใครก็ไม่แคร์ คุณจ้องทำลายคนเพียงคนเดียว ทำการรัฐประหาร เพียงเพราะ
อยากล้มคนคนเดียว ลองไปคิดกันดูมันคุ้มกันไหม

มาวันนี้ ประชาชนนี่แหละจะทำเพื่อคนคนเดียว เพื่อยืนหยัดให้โลกได้รู้ว่าว่า ประเทศนี้ พยายามแก้ไขในสิ่งผิด
ประชาชนจะไม่ยอมให้ มีการทำลายคนเพียงคนเดียว โดยลากลงมาพังกันทั้งระบบ

ไอ้-อี ตัวไหน ค้านคณะนิติราษฎร์ ก็ขอให้รู้ไว้เถอะว่า พวกเมิงกำลังสู้อยู่กับใคร
แค่คนคนเดียวยังเอาชนะเขาไม่ได้ แล้วนี่ ประชาชนค่อนประเทศ อยากลองสู้ดูสักตั้งก็ลองดู!

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

วัฒธรรมการดูมวย

"ตี ตี ตี....." โห ครั้งหนึ่งเคยได้เข้าไปในสนามมวย ไปดูมวยการกุศล
จำไม่ได้แล้วว่าใครชกกับใคร ก่อนมวยคู่เอก เขามีมวยไทยให้ดูหลายคู่
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าไปในสนามมวย เสียงอื้ออึง ฟังแล้วสะท้านเข้าไปในอก
คือคำว่า ตี ซึ่งคงหมายถึงให้ตีเข่า ไม่ก็ศอก เขาเชียร์กันสนั่น ดังไปทั้งสนาม
ฟังดูน่าระทึกใจ ตื่นเต้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เขาเชียร์ ฝ่ายไหน อาจจะมีกองเชียร์
ทั้งสอง ต่างก็ร้องให้ฝ่ายที่ตัวเชียร์ รุกโรมคู่ต่อสู้

ส่วนนักมวยอยู่บนเวที ไม่รู้ว่าจะได้ยินเสียงหรือเปล่า แต่ถ้าได้ยิน จะรู้บ้างไหมว่า
เขากำลังร้องเชียร์ใคร คงได้แต่บุกตะลุยเข้าไปตีคู่ต่อสู่กระมัง แต่หาก เป็นมวยไม่มีชั้นเชิง
ดีแต่เดินเข้าไปตี ไม่ดูท่าทีคู่ต่อสู้ เอาแต่บุกเข้าไปตามแรงเชียร์ เผลอๆเดินเข้าไปเอาคางให้เขา
เสยเอาได้ง่ายๆ ผลคืออาจถูกน้อคล้มคว่ำอยู่กลางเวที

คนต่อยมวย ก็คงต้องมีมาดนักมวยบ้าง มีลีลา รู้จังหวะ ไอ้ครั้นจะฟังแต่กองเชียร์คงไม่ได้
การดูมวย แล้วเฝ้าแต่เชียร์ให้นักมวยที่ตนถือหาง บุกเข้าไปน้อคคู่ต่อสู้ มันก็สนุกคนเชียร์ดีนะคะ
แต่คงต้องรู้ว่า การเชียร์ กับการที่ยืนซดกับคู่ต่อสู้มันไม่เหมือนกัน เรายืนดู ไม่ก็นั่งดู
ก็จะเห็นมุมมองที่ต่างออกไปจากคนที่ยืนอยู่บนเวที คนนั่งคนละฝั่งยังมองภาพออกมา
ไม่เหมือนกันเลย ฝั่งหนึ่งเห็นว่าน่าจะลุยเข้าไปทางซ้าย แต่คนที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม
ของเวที ก็จะเห็นว่า ที่จริงมันคือฝั่งขวาต่างหาก แต่ต่างก็ร้องตะโกนบอกทิศทางที่ตัวมองเห็น
หากคนต่อยเอาแต่ฟังกองเชียร์ เห็นท่าว่าจะสับสน ไปไม่ถูกว่าจะซ้ายหรือขวาดี

เอาอย่างนี้ดีไหม ตกลงกันก่อน ว่านักมวยที่เราเชียร์ นั้น เป็นคนที่เราไว้ใจ เชื่อในฝีไม่ลายมือ
เมื่อมั่นใจ เลือกให้ขึ้นไปชกกับคู่ต่อสู้ ก็ต้องมั่นในว่าจะชนะได้ ไม่น้อคก็เอาแค่ชนะคะแนน
เราอยู่ข้างล่าง อยู่รอบๆเวที ก็เชียร์ได้ เชียร์แต่พองาม อย่าตะโกนเชียร์จนนักชกสับสน

อะไรก็ไม่ร้ายเท่า เชียร์อย่างเดียวไม่พอ ยังตะโกนด่าทอ นักชกที่เราเลือกมาให้ขึ้นไปชก
จนเสียงดังขรมถมเถ เพราะชกไม่เหมือนกับใจ ชกไม่ดุเดือด เผลอๆ นักชกได้ยินจะเสียกำลังใจ
พาลเข่าอ่อน เปิดทางให้คู่ต่อสู้น้อคหลับกลางอากาศเอาได้ง่ายๆ

การด่าทอเสียๆหาย เพราะนักชก ชกไม่ดุเดือดเท่าที่ใจนึก อาจไม่ช่วยทำให้การชกดีขึ้น หรือดุเดือดขึ้น
แต่กลับทำให้สัสน งุนงง อยากแนะกลเม็ด เคล็ดลับ เอาไว้ไปพูดกันตอนพักยก แอบกระซิบกันเงียบๆ
ที่มุมจะดีกว่าไหมคะ ฝ่ายเราก็จะได้ยินชัดขึ้น ไม่ต้องไม่ชกสะเปะสะปะ ให้ฝ่ายโน้นจับทางได้

คนเชียร์ เก่งทุกคนแหละค่ะ มองเห็นมุมที่กว้างขวางกว่า แต่ต่อให้เชียร์เก่งอย่างไร ถ้านักชกไม่มีความสามารถ
ไม่รู้จักเอาตัวรอด เชียร์อย่าไงก็แพ้ มิหนำซ้ำ ยังมาโดนคนเชียร์ด่าทอให้เสียกำลังใจอีก ครั้งหน้าก็ขึ้นชกไม่ไหวล่ะค่ะ
เขาเรียกว่าเสียมวย

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไม ไอ้เด็กเอ๋อ ถึงยังไม่เซ็นคำสั่งให้คุณพัชรวาท วงษ์สุวรรณกลับมา

ย้อนไป ในเรื่องการปลดคุณพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ออกจากตำแหน่งผบตร.
เรื่องก็เนื่องมาจากคดีเด็กสาวพกระเบิดปิงปอง แล้วเกิดระเบิดจนเสียชีวิต
ขณะนั้นเด็กเอ๋อยังเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน จึงเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะ
ทำงานเอาหน้า (กะใครก็ไม่รู้ ) เพราะในการเกิดเหตุครั้งนั้นตำรวจเป็น
ผู้ควบคุมสถานการณ์ ซึงไม่ใช่ทหาร จึงมีคนตายแค่ 2ราย (แล้วก็ตายเองเสียด้วย)

แต่เด็กเอ๋อ ทนไม่ได้ อาจเพราะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการด้วย จึงนำเรื่องไปร้องปปช.
ให้ปลดพรชวาท โปรดสังเกต ว่าปปช.จึงมีคำสั่งให้ปลดออกโดยมีความผิด
ซึ่งคุณพชรวาทได้อุทธณณ์คำสั่ง และในที่สุดก็ชนะ ว่าการปลดนั้นไม่ถูกต้อง
แต่จนป่านนี้ ไอ้เด็กเอ๋อ ยังไม่ได้เซ็นในคำสั่งให้กลับมารับราชการดังเดิม
จริงอยู่ คุณพชรวาทเกษียณอายุราชการไปก่อน แต่เรื่องนี้ไม่จบ เพราะ
มันมีผลต่อการรับบำเหน็จบำนาญ

เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว มาดูรายละเอียดกันต่อ เมื่อเด็กเอ๋อเข้ามาเป็นนายกฯ
ปปช.จึงมีคำสั่งปลด(ตอนแรก ย้ายไปประจำสำนักนายกฯก่อน แปลว่าแขวนเอาไว้เฉยๆ
เป็นที่รู้กันว่าข้าราชการไม่ว่าใครหากถูกย้ายไปประจำสำนักนายกฯ แปลว่าตายแล้ว
จากระบบราชการ เปรียบเสมือนนอนรออยู่ในห้องดับจิต รอเวลาที่ญาติจะมาขอรับ
ไปบำเพ็ญกุศล)

แต่ช้าก่อน ท่านทราบกันหรือไม่ว่า ปปช.มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ใดบ้าง ในการรับเรื่อง
มาพิจารณาความผิด อำนาจใหญ่ๆมีอยู่แค่ 4 ข้อคือ

1.ข้าราชการที่ถูกร้องร่ำรวยผิดปกติ (เผอิญเขาไม่ได้ร้องไปในเรื่องนี้)
2.ทุจริตต่อหน้าที่(อันนี้ก็ไม่ได้ร้องไป)
3.ประพฤติมิชอบ (ซึ่งก็ไม่ใช่อีก )
4. ประพฤติผิดต่อหน้าที่ราชการ ....ข้อนี้แหละค่ะที่ร้องไป

เรามาดูกันว่า ท่านพชรวาททำผิดต่อหน้าที่หรือเปล่า โดยตำแหน่ง
ท่านต้องดูแลการชุมนุม พร้อมทั้งพล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว
ซึ่งก็ถูกปลดไปทั้งคู่ เมื่อเป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งสองต้องไปดูแล
จึงหาได้มีความผิดฐาน ทำผิดต่อราชการ

ปปช.ชี้ออกมาว่าให้ปลดออก ซึ่งก็จะเห็นว่า ปปช. ไม่มีอำนาจหน้าที่
ที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าว จึงเกิดการอุทธรณ์คำสั่ง กตร. พิจารณาแล้ว
เห็นจริงตามคำร้อง คำสั่งปลดจึงมิชอบ แต่ยังมีการยื้อต่อโดยการส่งเรื่อง
ไปให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งผลก็ออกมาว่าปปช. ไม่มีสิทธิ์จริง

เรื่องจึงกลับเข้ามาในกตร. เห็นควรให้ทั้งสองท่านกลับมารับราชการดังเดิม
แม้แต่นายเมือก ซึ่งไปประชุมกตร. ก็เห็นชอบ แต่เรื่องต้องให้นายกฯเซ็น
แต่เผอิญเด็กเอ๋อยังไม่เซ็น เพราะ การเซ็น เท่ากับเป็นการยอมรับผิด
ผิดมาตั้งแต่ไปร้องปปช. ปปช.ก็ผิดด้วยฐานรับเรื่องและพิจารณาตัดสิน
เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน เรื่องนี้จึงยืดเยื้อ ยึกยักจนเปลี่ยนรบ.

เล่ามายืดยาว เพื่อเปิดแผลให้เห็นกันจะๆ ชัดๆว่า ในสมัยที่เป็นรบ.
ทำผิดต่อหน้าที่อย่างไรกันบ้าง แล้วมาร้องแรกแหกกระเฌอ ว่า
รบ.ใหม่โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม หากไม่เป็นธรรม เขาก็มี
ช่องทางให้ฟ้องร้องกลับได้อยู่แล้ว ดูคดีอธิบดีกรมการปกครองประกอบด้วย
ก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายค้านจะมาร้องแทน กลับไปแก้ความผิด
ที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาลของตัวเถอะ ไอ้บ้า

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลอนอวยพรวันเกิด

26สิงหาใครมาเกิด
คิดเตลิดเกิดมาคงก่อนหมา
คำโบราณขานกล่าวเขาเล่ามา
ช่างชั่วช้าชิงหมามาเกิดกัน

อันที่จริงเกิดเป็นคนจนวิเศษ
ยังทุเรศ เลวกว่าหมาน่าขบขัน
มี3ร้อยกว่าวันเลือกไม่ทัน
แล้วมาดันชิงหมามาเกิดแทน

อย่างน้อยๆเท่าที่รู้มีอยู่สอง
ดันคล้องจองมาเกิดพร้อมเหมือนเป็นแผน
ด้วยความเลวพอๆกันลั่นดินแดน
คนทั่วแคว้นก่นด่าน่าอับอาย

ในวันเกิดปีนี้ ก็แก่แล้ว
ยังไม่แคล้วตายไป*@=!?
ยังคงอยู่ให้คนแช่ง แม่งไม่ตาย
จึงขอทายว่าคงทุกข์สุขไม่มี

มีคนด่าทุกวันมันไม่สนุก
คงจมทุกข์ท่วมท้นจนหมองศรี
คิดอะไรให้ผิดหวังทั้งตาปี
คิดตายดีก็ไม่สมระทมนาน

อย่าเพิ่งตายไปหนาอย่าเพิ่งลับ
รอคนสับจนหนำ ความทุกข์ผลาญ
ให้วิญญาณ แตกดับจนแหลกราน
ไม่อาจคลานไปแย่งหมามาเกิดเอย

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ป้ามาสารภาพ

หลังจากได้ดู การแถลงนโยบายของรัฐบาลพณฯนายกฯยิ่งลักษณ์จบ ก็ปิดทีวี
เลยไม่ได้ดู ไอ้หัวหน้าฝ่ายค้านต่อ มารู้เอาจากรายการ"จับข่าวเล่าความ"ตอนเย็น

เขาตัดเอาไฮไลต์มาให้ดู นิดๆหน่อยๆ จึงเป็นเรื่องที่มาของหัวข้อกระทู้นี้
ป้ามาสารภาพว่า จริงๆแล้วนึกว่าไอ้มาร์ค"ดีแต่พูด" นั้นไม่จริง เพราะจากคำที่มันพูด
เมื่อวาน แสดงว่ามันไม่ได้ดีแต่พูด แต่ มันได้คิดก่อนพูด มาเป็นอย่างดี
เพียงแต่มัน คิดเลวจึงพูดเลว และทำเลวมาโดยตลอด

มีอย่างที่ไหน ตั้งต้นก็พูดว่า "เพราะนักการเมืองตกเป็นจำเลยของสังคมตลอดมา
และถูกกล่าวหาตลอดมาว่า พูดอะไรก็ได้เพื่อหาคะแนนเสียง แต่เมื่อได้มาเป็นรัฐบาล
แล้วมักจะไม่ลงมือทำ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อนักการเมือง"
โอ้แม่เจ้า
ช่างกล้าด่าตัวเองอย่างไม่อับไม่อาย นับถือจริงๆ คนอะไร ด่าตัวเองกลางรัฐสภาก็ได้

เพราะผลงานที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็เห็นว่าไอ้ที่มันหาเสียงว่า ทำได้ภายใน 99วัน นั้นทำได้
ขนาดไหน แล้วเมื่อแถลงนโยบาย(แบบไม่มีฝ่ายค้าน เพราะเขาบอยคอตต์ และแอบไป
แถลงกันที่กระทรวงการต่างประเทศ) ถึงกฎเด็ก เอ๊ยกฎเหล็ก 9ข้อ ก็ปรากฎชัดว่าทำไม่ได้
โดยเฉพาะข้อ การฉ้อราษฎณ์ บังหลวง เพราะผลงาน ปลากระป๋องเน่า ชุมชนเข้มแข็ง ฯลฯ

แต่กลับหน้าด้าน มาสั่งสอนรัฐบาลใหม่ โดยลืมไปว่า แม้ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์จะใหม่
ในการเป็นนายกฯ แต่พรรคที่ส่งเธอมาเป็นนายกฯนั้นเป็นพรรคที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์
ชาวบ้านประทับใจว่า นโยบายที่ใช้หาเสียง นั้นทำได้จริง และประชาชนได้ประโยชน์
อย่างแท้จริง

ดังจะเห็นได้จากผลการเลือกตั้ง เพราะหากที่มันดาหน้ากันออกมาคุยว่าได้ทำอะไรไปบ้าง
เป็นนโยบายที่ดีเลิศประเสริฐ ยิ่ง คนคงเลือกให้มันกลับมาสานงานต่อ แต่ในความเป็นจริง
กลับไม่มีคนเห็น โธ่โถ เขากลับหันหลังให้ไม่เลือกให้กลับมาทำงานต่อ

ป้าจึงมาสารภาพว่า ป้าคิดผิด ที่คิดว่ามันดีแต่พูด จริงๆแล้ว มัน"คิดเลว พูดเลว และทำเลว"ต่างหาก
จึงเป็นเหตุให้ป้าเสื่อมศรัทธาในพรรคแมลงสาบหนักเข้าไปอีก

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สิทธิและหน้าที่

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก
เขากำหนดไว้ชัดเจน ว่าประชาชน ที่อยู่ในการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย มีสิทธิ์ ที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือ การมีสิทธิ์
ที่จะเลือกตัวแทนของเราให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภา

ก็เมื่อ เรามีสิทธิ์ เราก็ได้ใช้สิทธิ์นั้นกันแล้วไม่ใช่หรือ เราเสื้อแดง
ออกไปใช้สิทธิ์ อันพึงมี ด้วยการเลือกพรรคที่เราคิดว่าเป็นพรรคที่นิยมประชาธิปไตย เป็นพรรคที่แกนนำเสื้อแดงเข้าไปอยู่ในฐานะสมาชิกพรรค

เป็นอันจบสิทธิและหน้าที่ของเราแล้ว ส่วนการเลือก การตั้งคณะรัฐมนตรี
ไม่ใช่หน้าที่ของเรา การที่ผิดหวังนั้นผิดหวังได้ มันเกิดการผิดหวังก็เพราะ
เราไปคาดหวัง เมื่อไม่ได้ดังหวังก็เลยหงุดหงิด

มีรายชื่อรมต.ที่ไม่ชอบใจอยู่หลายชื่อ ชื่อที่หวังก็ไม่ได้ จึงไม่แปลกที่จะเกิด
อาการหงุดหงิด คับข้องใจ แต่บางครั้งต้องกลืนเลือด บางครั้งต้องนิ่ง
เพื่อสยบความวุ่นวายที่เขาพยายามจะให้เกิดขึ้น เมื่อรู้อย่างนี้ แล้วยังจะ
เดินไปเข้าทางเขาอีกหรือคะ

อะไรเป็นอะไรก็รู้ๆกันอยู่ ไม่มีอะไรทำให้เสื้อแดงแตกกันได้เท่ากับการเสี้ยม
ให้เกิดการไม่ไว้วางใจกันเอง ลองหยุดสักนิดแล้วคิดดู เห็นมีความคิด
มากันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว ยุงยงส่งเสริมให้เสื้อแดงมีพรรคการเมือง
ของตัวเอง แล้วทำไมแกนนำจึงไม่ทำ ถ้าแน่ใจว่า เสื้อแดงมีพลังมากพอ
ที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองได้ แกนนำเสื้อแดงยังต้องมาอาศัยชื่อพรรค
เพื่อไทย ลงสมัครรับเลือกตั้ง

จริงอยู่ เสื้อแดงมีเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเสื้อแดงทุกคน เชื่อว่า
แกนนำเสื้อแดงโดดๆจะดำเนินการทำพรรคการเมืองที่มีคุณภาพได้
ขนาดแกนนำยังไม่กล้าตั้งพรรคเองเลย

เมื่อเราได้ทำหน้าที่ ได้ใช้สิทธิ์อันพึงมีพึงได้ไปเรียบร้อยแล้ว หยุดเถอะค่ะ
อย่าคิดน้อยใจอยู่เลย กำแพงสูงตระหง่านตั้งอยู่กลางเมือง ก็เห็นๆอยู่
จะมีแสนหัวหรือล้านหัว วิ่งเข้าชนกำแพง ร้อยทั้งร้อย ล้านทั้งล้าน ก็แตก
สู้ค่อยๆเซาะมันไปเรื่อยๆไม่ดีกว่าหรือคะ

ใจจริงเชื่อว่าถ้าเป็นแดงจริง มีใจเป็นประชาธิปไตย ต้องเข้าใจ และรับได้
ส่วนที่ออกมาเต้นผางๆ ดิ้นพลาดๆ ชักชวนให้คนอื่นเกิดอาการไปด้วยนั้น
ต่างหากที่น่าสงสัยในพฤติกรรม

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องวันที่...ไม่ใช่สาระสำคัญ

เมื่อมีเอกสารการสั่งฆ่าคนเกลื่อนบอร์ดจนเป็นข่าวไปยังสื่อ
เกิดอะไรขึ้น ไอ้คนที่เกี่ยวข้องต่างออกมาอึกๆอักๆ

ไอ้ฆาตกรเด็กบอกไม่รู้เรื่อง ซึ่งเป็นการแสดงตัวตนชัดเจนว่า แม่งเป็นแค่
หุ่นเชิด ไม่เคยรับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ที่จริงถ้ารับชอบ แม้ไม่ได้ทำเอง
ก็ยังไปล้วงเอามาอ้างว่าเป็นความดีของตน แต่พอเป็นเรื่องต้องรับผิด
กลับโบ้ยให้ไปถามคนอื่น ก็เมิงเป็นนายกฯ ผู้บริหารสูงสุดของประเทศ
ไม่ใช่หรือ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ดันบอกไม่รู้เรื่อง แล้วจริงๆเมิงรู้เรื่องอะไรบ้าง
นั่งหัวโด่(เอ๊ยไม่ใช่ วิ่งรอกปาฐกถา) อยู่ตั้ง 2ปี ครึ่ง งานการไม่ทำ
เกิดเรื่องใหญ่กลางเมืองหลวง เมิงตอบได้ไงว่าไม่รู้เรื่อง(เหมือนพ่อเมิงสิท่า ไม่รู้ห่าอะไรเลย)

ส่วนไอ้โฆษกปากมอม แถได้ทุกเรื่อง ตอบได้ทุกคำถาม ทั้งๆที่บางทีไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
ไม่รู้รายละเอียด ยังมาตั้งโต๊ะแถได้เป็นวักเป็นเวร เช่นเรื่องฮ.ตก
มาเรื่องเอกสาร เมื่อจำนนต่อหลักฐาน ก็ทำได้แต่เพียง แถไปจนสีข้างถลอก(ตามเคย)
อ้างว่า ปืนที่อนุญาตให้ใช้ไม่ใช่อาวุธร้ายแรง โธ่เว้ย จะปืนอะไร ให้ใช่ฆ่าประชาชน
มันก็ผิดทั้งนั้นแหละวะ แต่เท่าที่ดูจากสภาพ ศพวีรชน ไม่มีสักรายที่ตายเพราะปืนลูกซอง
เดี๋ยวมันคงมาอ้างอีกว่าเห็นไหมล่ะ เขาให้ใช้ปืนลูกซอง แต่คนตายตายเพราะปืนชนิดอื่น
ฉะนั้นทะเอี้ยไม่ผิดอีกล่ะสิ แต่อย่างไรก็ตามที่เถียงไม่ออกเลยก็คือว่า เอกสารเป็นของจริง
แล้วก็ตามเคย และแล้วก็มาไล่บี้เอาผิดกะคนที่นำเอกสารมาเผยแพร่อีกตามเคย

แต่ที่เอี้ยที่สุด นับเป็นคำแก้ตัวที่โหลยโท่ยที่สุดก็คือไอ้คนที่ไอ้ฆาตกรเด็กโบ้ยให้มาถาม
พอนักข่าวมาถาม ดูซิมารจะแก้ตัวว่าไง ฮาครับท่าน ฮากันขี้แตกขี้แตนเลยทีเดียว
รับว่าเอกสารเป็นของจริง แต่คาดว่าจะมีการแก้ไขวันที่ โอ้ แม่เจ้า ถามจริงๆเมิงไม่รู้
หรอกหรือว่า เรื่องวันที่มันไม่สำคัญ จะสั่งวันไหน เดือนไหน ปีไหนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่เรื่องของเรื่องคือเมิงอนุญาตให้เขาฆ่าคนกลางเมืองหลวง และคนที่เมิงสั่งให้ฆ่าได้
คือประชาชนคนธรรมดาที่ออกมาเรียกร้องให้เมิงและคณะยุบสภาแค่นั้น จะมาอ้าง
ว่าเป็นคนเสื้อดำ เป็นคนทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้ไง เมิงคุยว่า เมิงมีคลิ้ป เห็นชัดเจน
และทะเอี้ยก็มีมาเป็นหมื่น แค่คนชุดดำเพียงไม่กี่คน เมิงกลับยิงไม่ได้แม้แต่คนเดียว
ที่เห็นตำตาคือคนที่ถูกยิงเป็นชาวบ้านที่ไร้อาวุธในมือ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น
คือไม่เห็นมีใครใส่ชุดดำสักคน

การอ้างเรื่องวันที่จึงไม่สามารถเอาตัวรอดได้ อย่างไรก็ต้องโดน หนอยยังมีหน้าจะมาพูดว่า
นี่เป็นการเช็คบิล เออสิวะ เมิงกินแล้วไม่จ่ายได้ไง กะจะเบี้ยวสิท่า ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ
พ่อ-แม่เมิง เขาคงไม่มาจ่ายแทนให้หรอกนะ พวกเมิงนั่นแหละที่ต้องจ่าย เพียงแต่ว่า
จะต้องจ่ายเท่าไหร่แค่นั้นเอง ถ้าแยกฟ้องเป็นรายๆ เห็นถ้าจะโดนหนัก

อ้อ ที่เมิงบอกว่าคำสั่งลงวันที่ 13เม.ย.นั้น และเกิดขึ้นหลังจากชายชุดดำได้ก่อการ
จึงจำเป็นต้องอนุญาตให้ฆ่าได้ เอาเถอะ ถ้าจริงนะ แล้วคำสั่งนี้ เมิงได้ยกเลิกก่อนเดือน
พฤษภาหรือเปล่าล่ะ ถ้ายังนะ แสดงว่าคำสั่งยังคงมีผลใช้อยู่ จึงได้เกิดการตายเริ่มมาตั้งแต่
วันที่13 พค. อีกมากมาย และมีจำนวนคนตายมากกว่าวันที่10เม.ย. อีกด้วย

เห็นได้ว่าคำแก้ตัวของเมิงห่วยแตกจริงๆ กรรมกำลังทำงานแล้ว ปากกล้าว่าจะไม่หนี
ก็ดี เพราะถึงหนีพ้นเงื้อมมือกฎหมาย แต่กฎแห่งกรรมเมิงหนีไม่พ้นแน่

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"แก้ไข ไม่แก้แค้น"

คำพูดที่นายอภิสิทธิ์(อดีตนายกฯ)ฝันหวาน แล้วยังนำมาย้อนถาม
ว่าก็ไหนคุยว่า จะไม่แก้แค้นไง ทำไม ถึงบอกจะมาดำเนินคดีต่อ

คนอย่างอภิสิทธิ์ โง่อย่างไรก็โง่อยู่อย่างนั้น อาจเป็นความโง่ที่มีมา
แต่กำเนิด หรือไม่ก็โง่เพราะไร้การสั่งสอน โง่เพราะอ่อนด้อยในสำนวนไทย

คำว่าแก้แค้น นั้น หมายถึงว่า บุคคลใดถูกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
และด้วยความไม่พอใจ เมื่อมีโอกาส จึงกระทำสิ่งนั้นตอบไป

ในที่นี้ เรื่องของเรื่องคือ ในช่วงสมัยที่แกเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาล
ได้เกิดการชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่
ตามระบอบประชาธิปไตย แกในฐานะรัฐบาลนอกจากไม่ฟังเสียงเรียกร้อง
ยังตั้งศอฉ. ออกพรก. สั่งทหารออกมาลุยเข่นฆ่าประชาชนตาย-เจ็บ
เกลื่อนเมืองหลวง มิหนำซ้ำหลังการเข่นฆ่ายังจับกุมคุมขังคนอีกเป็น
จำนวนมาก ตั้งข้อหาร้ายแรงว่าเขาเหล่านั้นเป็นผู้ก่อการร้าย

ด้วยเรื่องนี้ต่างหากที่แกและคณะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้
เดือดเนื้อร้อนใจ เจ็บแค้น คิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องจัดการพวกแกให้สาสม

แต่การที่รัฐบาลใหม่ได้ออกแคมเปญหาเสียงว่า"จะแก้ไข ไม่แก้แค้น"
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าที่แกและพวกทำผิดอุกฉกรรจ์จะได้รับการยกเว้นโทษ
เพียงแต่เขาต้องการมาแก้ไข ให้กระบวนการยุติธรรม มันเป็นความยุติธรรมจริงๆ
ไม่ใช่ เอียงกะเท่เร่ ไปตามความต้องการทำลายประชาชนของพวกแก

เราจะไม่แก้แค้น โดยการใช้กฎหมายแบบผิดเพี้ยน ตั้งข้อหาอุบาทว์ชาติชั่ว มั่วไปเรื่อยๆ
เราจะไม่แก้แค้นโดยออกพรก. ให้คนที่มีอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือ ออกมาเข่นฆ่า
หมายเอาชิวิตพวกแกต่างหาก เราจะไม่แก้แค้นด้วยวิธีที่ไร้กฎเกณฑ์ อย่างที่พวกแกทำ

แต่ความผิดของพวกแก มันชัดเจนแจ่มแจ้ง ผิดกฎหมายแน่นอน
อย่างนี้ การจะปล่อยปละละเลย ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่จับตัวคนผิดมาลงโทษไม่ได้
มันไม่ใช่การแก้แค้น แต่มันเป็นการแก้ไข เข้าใจไหม แก้ไขที่พวกแกทำผิดไว้
โดยจัดการให้แกต้องรับโทษที่ทำผิดไว้ไง แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

ตอนแรก มีข่าวแพลมมาว่าจะมีการนิรโทษกรรม ซึ่งพวกแกนั่นแหละ
อาจได้รับผลดีไปด้วย แต่พวกแกเองไม่ใช่หรือที่ออกมาเห่าหอนว่าไม่เอา
ไม่ยอม พวกแกนนำเสื้อแดงเขาก็ร้องบอกเหมือนกันแหละ เพราะรู้ว่า
พวกแกต่างหากที่จะได้ประโยชน์จากการทำผิดแล้วลอยนวล
เมื่อไม่เอาก็ดีแล้ว ต่อไปเตรียมรับกรรมจากการแก้ไข ที่ไม่ใช่การแก้แค้นเถอะ

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผีเจาะปาก

สำนวนไทยที่มีมานาน แปลว่า "พูดโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา
พูดเรื่อยเปื่อย พูดในสิ่งที่คนอื่นไม่พูด พูดไม่หยุด"

แล้วใครล่ะคะ ที่พูดเหมือนผีเจาะปากในตอนนี้ โดยทันศนะส่วนตัว
เห็นจะไม่มีใครเหมาะสมเท่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่มาด้วยวิธีพิศดาร ที่ใครๆก็รู้ เพียงแต่พลพรรคแมลงสาบและผู้ชื่นชอบ
ต่างทำเป็นหลงลืม ทำเป็นมองไม่เห็น มองข้ามไปถึงตอนที่โหวตชนะใน
สภา แล้วอ้างว่ามาตามครรลองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่
จะชนะเลือกตั้ง

ระหว่างดำรงตำแหน่ง ก็ไม่เห็นได้ทำประโยชน์ โภคผลแต่ประการใด นอกจากพูด
จนได้รับการยกย่องให้เกียรติว่าเป็นนายกฯดีแต่พูดเพราะแกพูดตลอด ผลงานไม่มีก็ยังพูด
พูดเพ้อเจ้อเวิ่นเว้อ โกหกหลอกลวงประชาชนไปวันๆ จนประชาชนพร้อมใจตัดสินให้ว่าผลงานไม่เข้าตา
จึงไม่ลงคะแนนเลือกให้กลับมาบริหารแผ่นดินอีก แพ้การเลือกตั้งอย่างราบคาบ
จนเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่พูดแต่ดี คือ การออกมาแสดงความยินดีกับพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง

แต่นั่นก็เป็นครั้งเดียวในชีวิต(มั้ง) ที่พูดอะไรดูดีที่สุด แต่หลังจากกลับไปนอนคิด
กลับไปอยู่กับพวกผีทั้งหลาย หลังจากวันนั้น อาการผีเจาะปากก็กลับมาอีก

ถามจริงๆเถอะค่ะ คนเล่นบอร์ดการเมืองส่วนใหญ่ก็คงต้องสนใจการเมือง
แล้วก็คงไม่ได้เพิ่งจะมาสนใจแค่ปีสองปีนี้ใช่ไหมคะ แล้วสังเกตกันบ้างไหมว่า
ไอ้บ้าอดีตนายกฯตนนี้ มันพูดไม่หยุดจริงๆ เริ่มตั้งแต่แส่มาสั่งว่า พรรคเพื่อไทย
ต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ในทันที(คงลืมไปว่า ไอ้ 99วันทำได้ทันที นั้น
ก็เป็นนโยบายที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า)

ยังยังไม่พอ มันทำนอกหน้าที่ไปทุกเรื่อง บอกแม้กระทั่งว่าควรแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี
อย่างไร แบบไหน (ทั้งๆที่ตัวมันก็ตั้งคณะรมต.ได้ห่วยแตก หมาไม่รับประทาน ดูไอ้กษิต
เป็นตัวอย่าง แล้วก็ใช่ว่ากระทรวงอื่นๆจะดี ไม่งั้นก็มีผลงานไปแล้วสิคะ)

งานการสมัยที่อยู่ในตำแหน่งไม่ทำ แต่ปากยื่นปากยาว มาสั่ง รัฐบาลใหม่ว่าต้องทำนั่นทำนี่
ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้(โธ่ไอ้เวร สมัยเมิง ไม่เห็นทำสักอย่าง)

การออกมาพูดในทำนองให้ความคิดว่ารัฐบาลใหม่ควรทำอะไรนั้น มันใช่เรื่องของตัวหรือเปล่า
สงสัยว่ามันช่างพูด หรือสื่อมันเลวผสมกันไปด้วย ถึงได้มีข่าวมันให้สัมภาษณ์ เรื่องการสั่งและสอน
รัฐบาลใหม่อยู่ทุกวี่วัน บอกตรงๆนะคะ ไม่เคยเห็นมีอดีตนายกฯคนไหน พูดมากได้ขนาดนี้
ไม่เคยเห็นสื่อสมัยใด เอาไมค์ไปจ่อปากถามอดีตนายกฯมากขนาดนี้ หรืออาจมี
แต่อดีตนายกฯเหล่านั้น ท่านไม่ตอบเพราะรู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของตนอีกต่อไป!

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรียนพ.ตงท. สมชาย จ้อ...

ตามที่ท่านได้ตอบกระทู้ เรื่องอนุสาวรีย์ อย่างละเอียดในกท.นี้ http://goo.gl/M7ZU7
ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งมาก เข้าใจดีว่า อนุสาวรีย์ ดีอย่างไร

แต่ต้องไม่ลืมว่า จขกท.ดังกล่าว ตั้งหัวข้อกระทู้ว่า การสร้างอนุสาวรีย์สมควรเป็นภารกิจแรกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ซึ่งข้าพเจ้า ไม่เห็นด้วย จึงได้ตอบกระทู้ไปว่าไม่เห็นด้วย ซึ่งการไม่เห็นด้วย มิได้หมายความว่า จะไม่ชอบอนุสาวรีย์
แต่ไม่เห็นด้วยว่า ควรจะเป็นภารกิจแรก เพราะไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างไร

ปัญหามีอีกมากมายที่จำเป็น และรอให้รัฐบาลชุดใหม่แก้ไข เช่นการสอบสวนนำความจริงออกมาตีแผ่
เยียวยาคนบาดเจ็บและเสียชีวิต อีกทั้งคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว
จะสร้างอนุสาวรีย์ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จะเรี่ยไรเงินประชาชนมาสร้างก็ยังได้ หรือจะประกาศให้เป็นวันหยุดประจำชาติไปก็ยิ่งดี

การมัวแต่มาสร้างอนุสาวรีย์ ในทันที และเร่งด่วน ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ อะไร ถ้าความจริงยังไม่ปรากฎ
ต้องไม่ลืมว่า ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ยังเข้าใจว่า เสื้อแดงเป็นคนผิด การบุ่มบ่ามสร้างอนุสาวรีย์ทันที ย่อมจะ
ทำให้ คนส่วนนั้นขุ่นข้องหมองใจ เมื่อสร้างเสร็จ อาจมีการไปทำลาย หรือแม้แต่ไปถุยน้ำลายใส่ ซึ่งจะกลาย
เป็นชนวนแห่งความขัดแย้งหนักขึ้นไปอีก

ฉะนั้น สู้เร่งทำความจริงให้ปรากฎ ให้ คนทั้งหลาย เข้าใจเจตนาของเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
เรียกร้องสิทธิ์ อันเป็นสิ่งที่พึงมีพึงได้ แต่ถูก ทำร้ายทำลาย จนบาดเจ็บล้มตาย เมื่อความจริงปรากฎ เมื่อนั้น
การสร้างอนุสาวรีย์ ก็จะเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการสร้างอนุสาวรีย์ไม่ควรเป็นภารกิจแรกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่สิ่งที่สำคัญเร่งด่วน ที่ต้องทำในทันทีที่เป็นรัฐบาล คือส่งสัญญาณไปยังศาลว่า รัฐบาลต้องการเห็นการปรองดอง
เริ่มด้วยการให้ประกันตัวคนที่ถูกจับคุมขังทั้งหมดในทันที ไม่ต้องการนิรโทษกรรม แต่ต้องการสิทธิ์
ในการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อออกไปสู้คดีอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม

เพียงแค่นี้ก็จะเป็นการเยียวยาเร่งด่วนเพียงพอแล้ว การช่วยเหลือเงินประกันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่รัฐบาลช่วยได้
เราไม่ต้องการให้รัฐบาลไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่เราต้องการให้ปล่อยตัวทุกคนออกมาสู้คดีต่างหาก

หวังเป็นอย่างมากว่า พ.ต.ท.สมชาย จ้อ...จะเข้าใจเจตนาในการตอบว่าไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์วีรชน
ขออภัยที่เข้ามตอบด้วยการตั้งกระทู้ใหม่แทน เพราะเมื่อเช้าหลังจากตอบกระทู้เสร็จก็ออกไปธุระ กลับมากระทู้เกือบจะหล่นไปหน้าอื่นแล้ว
จะเข้าไปตอบต่อในกระทู้นั้นก็กล้วว่าท่านจะไม่ได้ตามไปอ่าน

ด้วยความเคารพจริงๆ

ปฏิญญาปทุมธานี

ด้วยเมื่อวานไปสุมหัวบ้านนายตำรวจ คุยกันเรื่องการเมือง มีมติออกมาจะเรียกว่าปฏิญญาปทุมธานีก็ย่อมได้ ฮา
เห็นควรว่าต้องรีบแก้รธน.ก่อนเป็นอันดับแรก นัยว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เรื่องพวกที่จะออกมาค้านตามท้องถนน
เห็นว่ายังอยู่ในภาวะอ่อนแรง ตั้งตัวไม่ติด ......รีบทำเสียตอนนี้ ก่อนที่มันจะมีเวลาไปรวบรวมคนมาภายหลัง
เรียกว่า ทำตอนที่คนยังนึกไม่ถึง ระยะนี้ฝนตกบ่อย ม้อบกลัวเปียก ฮา

หากรอไป เพื่อว่าให้คนเห็นผลงาน กลับดูไม่ดี เพราะ เวลาที่เนิ่นนานไป
1.เมื่อมีผลงาน ก็อาจมีข้อให้โจมตีได้ ความพลาดพลั้งย่อมเกิดขึ้นได้ ..

2.เวลาที่เนิ่นนาน มันจะคิดออกว่าจะตีจุดอ่อนตรงไหนดี มีเวลาปั่นหัวคนโง่
คงจะจำได้ว่ากว่าจะสร้างม้อบออกมาป่วนคุณทักษิณได้ ใช้เวลานานนับปี
หาใช่ว่าจะเป่านกหวีดปุ๊บ คนจะออกมาปั๊บ มันต้องใช้เวลากล่อมอยู่นานพอสมควร
จนคนเริ่มคล้อยตาม ครั้งนี้เรื่องอะไรจะไปโง่อีก..ทำในตอนที่ศัตรูอ่อนล้าที่สุด
ทีวีตูดใกล้จอดำ คุมสื่อให้ดี อย่าปล่อยให้พวกมันมีช่องทางออกมาล้างสมองคน ทำเดี๋ยวนี้ทำทันที

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มีเรื่องการให้ประกันตัวเสื้อแดงทุกคนทันที เพื่อให้ออกไปสู้คดี
ดังรายละเอียดจากกระทู้นี้http://goo.gl/SSng3

ส่วนเรื่องอื่นๆที่คุยกัน ไม่เห็นสมควรจะต้องมาประกาศให้ทราบ ฮา

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องความรัก

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ความรักย่อมนำมาซึ่งความสุข สุขทั้งผู้รัก และผู้ถูกรัก
แล้วมันควรแล้วหรือที่จะทำให้คนที่เรารักเดือดเนื้อร้อนใจ

มีคนรักย่อมมีคนเกลียด ไม่มีใครมีแต่คนรัก ดังนั้นการแสดงออกซึ่งความรัก
ที่มีต่อคนคนหนึ่ง จึงต้องคำนึงให้มาก คนเราเมื่อเกลียด ก็ต้องคอยจ้องจับผิด
ไม่ต้องเถียง พวกเราก็เป็น ยิ่งเห็นการเชิญชวนให้รัก การเอ่ยอ้างว่ามีคนรัก
มากมายท่วมท้น พวกเราเห็นได้ยินยังเบือนหน้า ยังแอบแสยะยิ้มพร้อมพึมพัมว่า
พวกเมิงรักกันเข้าไปเถอะ แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้

แต่นายกฯในดวงใจ ไม่มีเกราะแก้วพิศดารคุ้มภัย การตั้งชื่องานวันเกิด
ที่เว่อว่าที่เด็กสมัยนี้เขาเรียกว่าเวิ่นเว้อ รังแต่จะทำให้คนที่เรารักเดือดร้อน

ความรักคือต้องทำให้คนที่เรารัก อยู่ดีมีสุข ไม่ใช่ถูกขุดโคตรเหง้าขึ้นมาด่าทอ
การแสดงความรักโดยไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง รังแต่จะนำมาซึ่งความร้อนใจ
แก่ผู้ถูกรัก ท่านไม่ได้รู้เรื่องเลยด้วยมั้ง แต่ก็ถูกจับจ้องด่าทอเสียแล้ว

ชักไม่แน่ใจว่าคนที่จัดงานชื่อน่ารังเกียจนั้นเป็นคนรักทักษิณจริงหรือเปล่า
เพราะหากรักกันจริง การกระทำอย่างที่รู้ว่าอย่างไรก็ต้องถูกหยิบยกมาด่าทอ
ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ทำเหมือนกับเป็นสายล่อฟ้า ให้ต่างก็โจมตี
แค่จัดงานวันเกิดให้ คราวก่อนก็นับว่าแย่แล้ว (เขาแย่) แต่ไม่ต้องใช้ชื่องาน
บ้าบอขนาดนั้น

คนดีไม่ต้องโฆษณามาก คนเขาก็รู้ว่าดี เขาก็รักเอง แต่การมายกกันเอง
รังแต่จะทำให้คนเขาหมั่นไส้ รังเกียจ เราไม่ชอบที่เขาโฆษณากันอยู่ เราว่ามันเกินเลย
เราก็ไม่ควรทำให้คนที่เรารัก กลายเป็นเหมือนไม่ใช่คนปกติไม่ใช่หรือ?

เขาถึงได้ว่า"การทำลายคนนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ยกให้ขึ้นไปสูงๆ
แล้วค่อยๆเขี่ย เดี๋ยวก็ล้มตกลงมาเอง"

รักคุณทักษิณ อย่าทำลายท่านเลยค่ะ ไม่มีใครอยากเห็นเทวดาอีกแล้วมั้ง
รักและถนอมท่านหน่อย อย่าจ้องทำลายด้วยความรักที่ขาดสติเลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แกงค์กวนตีน

คุณจะแขวนแขวนไปไม่ว่าหรอก
แต่ต้องบอกเหตุผลคนสงสัย
แขวนเอาไว้ไม่กล้าบอกว่าทำไม
จึงเข้าใจเอาเองว่าเฮงซวย

แต่ลงทวิตเตอร์เมื่อคืนล่ะค่ะ พอทราบข่าว มันเหนื่อยหน่ายหัวใจจริงๆเชียว
ฟังอ.สุดา รังกุพันธ์ ไปออกรายการที่นี่ MV 5 เธอก็บอกว่า คน 5คนนี้
มีหน้าที่เป็นกรรมการจัดการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ไม่ได้มีศักดิ์และสิทธิ์อันใด
ที่จะ ตัดสินว่าใครผิด ใครถูก เรื่องต่อไปเป็นหน้าที่ของศาล

เมื่อจัดการเลือกตั้ง ก็หมายความว่า ต้องทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นและดำเนิน
ไปด้วยดี เรารู้ ว่าเขาไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง แต่เมื่อมันมีแล้วก็ต้องทำให้จบ
แล้วต้องจบให้สวย การยึกยัก ประกาศไม่ครบ โดยไม่ประกาศให้ชัดๆไปว่า
คนที่กำลังถูกแขวน โดนแขวนเพราะข้อหาอะไร

รังแต่จะทำให้คนที่เขาเลือกมาแล้วหงุดหงิด อันจะทำให้นำไปสู่การอดรนทนไม่ไหว
เกิดอาการอยากแสดงฤทธิ์ให้ดูเหมือนกัน แต่ก็กลัวจะไปเข้าทางมัน
ที่จะจ้องให้ เกิดความวุ่นวาย เพื่อล้มการเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาปราบปราม
ประชาชนอีกรอบ

ข้อนี้ เราก็รู้กันอยู่ และพยายามอดทนอย่างที่สุดแล้ว แต่การแขวนโดนไม่แจ้งสาเหตุ
มันทำให้หงุดหงิดจริงๆ นี่แค่ใจคนเชียร์ แล้วนึกถึงใจคนที่ถูกแขวน คงยิ่งหัวอกหัวใจ
เจียนระเบิด หากว่าผิดด้วยข้อร้องใด ก็ควรเรียกเจ้าตัวไปสอบถาม แต่นี่ก็เงียบ
ปล่อยให้คิดกันเอาเอง ตอนแรกก็นึกกันว่า เพราะเหล่าแกนนำไปติดคุก
เลยขาดสมาชิกภาพจากพรรคเพื่อไทย ทั้งๆที่มีแกนนำอีกหลายท่านไม่เคยติดคุก

ที่ไหนได้เมื่อวานปล่อยมาอีกขยัก อ๊าว กักคุณณัฐวุฒิ และอีกหลายท่าน
แน่นอนไม่มีคำชี้แจงว่าทำไม สมชื่อ แก๊งค์ว่าแก๊งค์กวนตีนแท้ๆเลย
อยากถามจริงๆว่า พวกมันไม่รู้จริงๆหรือว่า คนเขาจะหงุดหงิด แต่คิดเอาเองว่ามันรู้ แต่ก็ตั้งใจจะทำ
เลยคิดสงสัยต่อไไปว่า เมื่อรู้แล้วยังทำ หวังผลอะไรหรือเปล่า?

รายการเดียวกันข้างบน วันก่อนเชิญ รศ.ดร. บุญทัน ดอกไธสงมาออก
ท่านพูดถูกใจเรื่องนี้ว่า "อันที่จริง คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากประชาชน
เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3กค.เพราะประชาชนเลือกเขาให้มาเป็นผู้แทนแล้ว
โดยการเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องรอการรับรองจากกต."

จะทำอะไรก็รีบทำ อย่ามัวยึกยัก ยั่วประชาชนอยู่เลย หากเกิดความเสียหาย
แค่ห้าหัวคงรองรับตีนที่โกรธแค้นไม่ไหว

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อันสืบเนื่องมาจาก Forward Mail

ด้วยขณะนี้มีการส่งเรื่อง "นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด" ไปตามอีเมลล์ต่างๆ
อ่านดูก็เหมือนจะดี แต่ก็มีข้อกังวลเล็กน้อย จึงขอมาตอบข้อคิด โดยไม่ยกเมลล์มาให้อ่านนะคะ
เนื้อหาก็เป็นอย่างชื่อเรื่องแหละค่ะ

โดยขอตอบดังนี้ ขอประทานโทษ ดิฉันไม่เคยเห็นเบ็ดเลยสักที เห็นแต่ข้องที่เอามาจับประชาชนยัดใส่ มากกว่า
ส่วนนโยบายที่ว่านักการเมืองยื่นปลา ก็เห็นมีแต่พรรคประชาวิบัติเท่านั้น ที่อยู่ดีๆก็เอาเงินมาแจก 2,000บาท ซึ่งเป็นการสูญเปล่า
โดยสิ้นเชิง ยังๆยังมีอีก ไอ้นโยบายชุมชนเข้มแข็ง ที่บังคับซื้อเอาเครื่องกรองน้ำ ดวงไฟจากแสงอาทิตย์ ที่ราคาแพงมหาศาล
มาติดตั้งให้ชุมชน ที่ประชาชนเขาหาได้ต้องการไม่

อ้อ นักการเมืองที่ยื่นปลานั้นเห็นชัดเจนว่าเป็นพรรคที่พวกท่านเชียร์กันสุดลิ่ม ทิ่มประตูแน่ๆ และให้บังเอิญเป็นปลากระป๋องเน่า นมก็บูดเสียอีก
คงลืมกันไปสิท่า แต่ประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่ลืม เขาเลยไม่เลือให้กลับมาสานต่อนโยบายงี่เง่า สร้างแต่หนี้อีกไง

เขาไปเทคะแนนให้นักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองที่มีนโยบายที่สัมผัสได้และเคยทำได้จริงกันท่วมท้น และก็ไม่เห็นว่าจะเป็นการยื่นปลา
แต่อย่างใด เพราะนโยบายโอท้อป ก็สร้างงานสร้างเงินให้ชาวบ้าน ลืมตาอ้าปากได้ กองทุนหมู่บ้าน ก็ทำให้คนคิดเองว่าอยากจะได้อะไร
ทำเรื่องขอกู้ยืมมา แล้วก็ได้ในสิ่งที่ตรงใจ

ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แปลว่าประชาชนต้องเป็นใหญ่ ในหลวงก็ทรงเพียงแค่สัญญลักษณ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ
อย่าเอาท่านมาเปรียบกับนักการเมืองเลย มันไม่เหมาะสม อีกอย่างท่านก็ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว หากเป็นพ่อเป็นแม่เรา อายุขนาดนี้
เราก็จะดูแลท่าน ให้อยู่ดีมีสุข ไม่ดึงท่านออกไปสุ้รบปรบมือกับใครหรอก จริงไหม

การเฝ้าแต่ตำหนิติว่านักการเมืองว่าเลว ไม่ดีต่างๆนาๆ ก็ไม่สามารถจะพัฒนาบุคคลากรทางการเมือง
ให้มีคุณภาพดีขึ้นมาได้ ตราบใดที่เรายังปกครองในระบอบประชาธิปไตย เราต้องสนับสนุนคนดีให้มาทำการเมือง
นักการเมืองเลวย่อมมีอยู่เพราะในสังคมคงจะหาแต่คนดีพร้อมไปทั้งหมดไปไม่ได้ ย่อมมีทั้งคนดีและคนเลว
ปะปนกัน หากยังจำกันได้ ในหลวงทรงเคยมีพระบรมราโชวาทว่า "เราต้องสนับสนุนให้คนดีปกครองบ้านเมือง"
ท่านไม่ได้ทรงเห็นว่า เราไม่ควรให้มีการเลือกตั้งแต่อย่างใด การตั้งแง่ว่านักการเมืองเลว และหวังแต่จะพึ่งพระองค์ท่าน
ก็คงไม่ถูกต้องนัก

ขอบคุณ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อยู่ร่วมประเทศกัน มันก็ต้องกระทบกันบ้าง

เอาง่ายๆก่อนเลย เรื่อง ค่าแรงขั้นต่ำ 300บาทต่อวัน เห็นออกมาตีโพยตีพาย
ว่าทำไม่ได้ ทำแล้วกระทบบริษัท ทำแล้วบริษัทอยู่ไม่ได้

ส่วนนักวิชาการฝั่งโน้นก็ออกมาทันที ไม่ว่าจะต้องทำให้ทั่วถึงกันทั้งประเทศ ลามปามไป
โน่นเลยถึงแรงงานต่างด้าว บ้างก็ตำหนิติว่าต่างๆแล้วแต่จะนึกอะไรมาขัดแย้งได้

ทำให้นึกถึงสำนวนไทยที่ว่า"ติเรือทั้งโกลน"ซึ่งแปลว่า"ติสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จหรือยังไม่รู้ว่าอะไรป็นอะไร"
เป็นการตีตนไปก่อนไข้โดยแท้

การออกนโยบายอะไรมาใช้ในสังคม ก็ต้องกระทบกับคนทุกคน บางคนก็ต้องว่าดี ส่วนบางคนก็อาจได้ผลลบบ้าง(เช่นนายจ้าง)
เพราะเราอยู่ในสังคมเดียวกัน คงไม่มีอะไรที่จะดีกับคนทุกคน ในเวลาเดียวกันได้แน่นอน

บริษัมห้างร้านที่ออกมาโวยวายว่าทำไม่ได้ต้องขาดทุน เลิกกิจการแน่นอน
ก็ทำให้คิดว่าเป็นพวกใจเร็วด่วนได้ มีอคติครอบงำโดยแท้ เพราะพูดออกมา
โดยยังไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ ยังไม่พยายามทำความเข้าใจ ติเอาไว้ก่อน
เพียงเพราะได้รับการโปรแกรมมาว่า ต้องไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย กับรัฐบาลนี้
รัฐบาลที่ไม่ใช่พวกของตัว (เพราะดันไปสนับสนุนทางด้านการเงินเอาไว้มั้ง)
เลยคิดว่าเมื่อเป็นเจ้าของเงินก็ต้องเป็นเจ้าของพรรคด้วย

ดังนั้นเมื่อพรรคที่ตัวสนับสนุนเกิดพ่ายแพ้ ทำให้แผนงานที่คิดจะทำต่อไปก็ต้องพังไป
ไอ้เรื่องจะเจ๊งจริงๆนั้นคงยาก เพียงแต่กำไรที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำ
เพราะเอาเปรียบค่าแรงงานไว้คงจะลดน้อยถอยลง แต่หากตั้งใจรับฟัง
หาหนทางแก้ร่วมกันอะไรๆก็จะดีขึ้นเอง ไม่ใช่ออกมาติเสียตั้งแต่เริ่มเช่นนี้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าบริษัทใหญ่โตเหล่านี้ปรับตัวได้(หากคิดจะปรับ)
หากพวกเขาเชื่อในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่อกแว่ก ไม่เชื่อใน
อำนาจนอกระบบ ไม่นานก็ต้องหันมาปรองดองกับรัฐบาลใหม่ ไม่คอยแต่ตั้งแง่
ตำหนิติเตียน แต่หาก พวกเขายังเชื่อในอำนาจนอกระบบ ก็ต้องคิดว่ารัฐบาลนี้อยู่ได้ไม่นาน
เดี๋ยวก็ต้องไป เลยออกมาตำหนิเพื่อให้เกิดผลงานเข้าตาเสียละมากกว่า

จึงสรุปว่า ไม่มีนโยบายใดที่ไม่กระทบใครเลย เพียงแต่ต้องศึกษาดูว่า
มันกระทบเป็นวงกว้างต่อคนส่วนใหญ่หรือไม่ หากแต่เป็นผลดีต่อคนส่วนใหญ่
ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ถึงกับต้องลืมตาอ้าปากได้ แต่มีความสุข
มีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงน้อยนิด ก็น่าจะยอมๆกันบ้าง

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อีกข่าวที่น่าบันทึก

ธปท.เสนอรัฐบาลใหม่หารือกนง.สัปดาห์หน้า

กรุงเทพฯ : นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า
ธปท. อยู่ระหว่างการติดตามดูการจัดตั้งรัฐบาล และการวางแผนนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ตามที่ได้หาเสียงว่า
ทำได้จริงมากน้อยเพียงใด ซึ่งยืนยันว่าสามารถร่วมงานได้กับทุกรัฐบาล และไม่ว่าใครจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การคลังคนใหม่ก็ตาม แต่อยากให้รัฐบาลใหม่นำนโยบายการคลังของรัฐบาลหลายสมัยที่ผ่านมามาศึกษาด้วย อาทิ มาตรการ
การช่วยเหลือค่าครองชีพ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รายจ่ายสวัสดิการที่เป็นภาระพูกพันตามรัฐธรรมนูญ และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ผ่านสถาบันการเงิน เป็นต้น

“ขณะนี้ฝ่ายนโยบายการเงินธนาคารกำลังรวบรวมนโยบายทางการเงินและนโยบายประชานิยมที่หาเสียง เพื่อมาประเมินผลกระทบจาก
นโยบายต่างๆว่าจะส่งผลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในช่วงต่อไปมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงภาระทางการคลังที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งยังต้องมีการพิจารณาปัจจัยที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศด้วย”

อย่างไรก็ตาม การไหลกลับมาของเงินทุนต่างชาติ ซึ่ง ธปท. จะนำปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ เพื่อพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพการเงิน เปิดเผยว่า ความเสี่ยงด้านการเมืองต่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวลดลง
หลังการเลือกตั้งไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา และการที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าและทำให้ค่าเงินบาทเข็งค่าขึ้นไม่ได้มา จากปัจจัย
การเมืองในประเทศเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งมาจากบรรยากาศในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ที่ผ่านมา

“ส่วนนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจส่งผล ให้เกิดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นนั้น คงต้องรอดูว่าที่สุดแล้วรัฐบาลจะเลือกทำนโยบายใดบ้าง
และไม่ทำนโยบายใดบ้าง แต่สิ่งสำคัญก็ควรช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจเป็นหลัก และการทำนโยบายก็คงไม่สามารถดำเนินการทีเดียวทั้งหมด
จะต้องมีกระบวนการหารือกันถึงความเหมาะสมของแต่ละนโยบาย”

อ่านแล้วกวนตีนมาก เขายังไม่ทันรับราชโองการเลย ใช้ภาษาว่าเรียกมาคุย
ซึ่งที่จริงแล้ว ธนาคารประเทศไทย มีหน้าที่ปรับตามนโยบายรัฐไม่ใช่หรือ
สมัยนายอภิสิทธิ์ ออกนโยบายโง่เง่า ผลาญเงินไปโดยไม่ได้ประโยชน์
ไม่ทราบว่ากนง. เคยทักท้วงบ้างไหม

ปัญหาของรัฐบาลใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่างานจะหินแค่ไหน แต่ที่น่าห่วงกว่านั้น
ก็คือพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่เรียกกันว่าระบบราชการนี่แหละ
ทุกครั้งที่ประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล ก็มักจะคล้อยตามข้าราชการ เพราะไม่มีสมองมัวแต่ไปหากินตามน้ำกันหมด
จนสมัยนายชวนเป็นนายกฯ เขาถึงเรียกว่าเป็นปลัดประเทศ เพราะ คอยนั่ง
รอรับรายงานที่ข้าราชการจะเสนอขึ้นมา แล้วก็เซ็นเอกสาร ข้าราชการเลย
ใหญ่คับบ้านคับเมือง คงเพราะนึกว่าประเทศนี้บริหารโดยข้าราชการ มองไม่เห็นหัว
ประชาชน พอสมัยคุณทักษิณ ปรับให้ข้าราชการ กลายเป็นพนักงานบริษัทเอกชน
ต้องแข่งกันทำงาน เอาใจลูกค้า ซึ่งก็คือประชาชน จึงเห็นได้ว่า สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ
ข้าราชการทำงานขยันขันแข็ง แข่งกันทำงาน ผิดกันลิบกับสมัยประชาธิปัตย์

บันทึกไว้ก่อน

อ่านข่าวเจอ ไตรมาส2ขาดดุล3.72แสนล้าน

กรุงเทพฯ : นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 ขาดดุลจำนวน 100,616 ล้านบาท ส่งผลให้ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ดุลการคลังภาครัฐขาดดุล 372,000 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 191,995 ล้านบาท หรือลดลง 47.6% โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 654,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 115,718 ล้านบาท หรือ 21.5% จากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

“ทั้งนี้ เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และภาษีของกรมสรรพากร ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้รายได้รัฐบาลสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 58,262 หรือ 16.7% รวมทั้งรัฐบาลได้จัดสรรและโอนเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร็วกว่ากำหนด โดยได้โอนเงินอุดหนุนทั่วไปของช่วงครึ่งปีหลังภายในไตรมาสที่ 2”

สำหรับในส่วนรายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 754,743 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 24,338 ล้านบาท หรือ 3.3% เนื่องจากการเบิกจ่ายของรัฐบาลจำนวน 574,036 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 81,725 ล้านบาท หรือ16.6% เป็นผลมาจากงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2554 สูงกว่าปีงบประมาณ 2553 ถึง 21.7% ส่งผลให้การเบิกจ่ายในไตรมาสที่ 2 เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ภาครัฐบาลมีรายได้ทั้งสิ้น 1,268,782 ล้านบาท (คิดเป็น 11.7% ของ GDP) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 187,985 ล้านบาท หรือ 17.4% ขณะที่รายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 1,641,642 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 303,429 ล้านบาท หรือ 22.7% เนื่อง จากการเบิกจ่ายของรัฐบาลสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 234,100 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุลจำนวน 372,860 ล้านบาท ขาดดุลเพิ่มขึ้น 44.8%

จำเป็นต้องบันทึกเอาไว้ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าเพียงแค่ 6เดือนแรก รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ผลาญเงิญงบประมาณไปแล้วถึงหนึ่งล้านหกแสนสี่หมื่นหนึ่ง พันหกร้อยสี่สิบสองล้านบาท
ทำให้แม้จะจัดเก็บรายได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (ซึ่งคาดว่าคงมาจากภาษีน้ำมัน แต่คนแถลงข่าวกลับเลี่ยงไปบอกว่ามาจากภาษีสรรพสามิต ซึ่งคนจำนวนไม่น้อย
ไม่รู้ว่ามันคือภาษีน้ำมัน)

ดังนั้น เพื่อความยุติธรรมในการเข้ารับตำแหน่ง จึงจำต้องบันทึกความเสียหายที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ทำไว้
จะได้ไม่มีปัญหา ตีโพยตีพาย โบ้ยให้ว่าเป็นความผิดฟลาดของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์

สลิ่มจ๋า....มาดูนี่

ไอ้ที่เต้นเร่าๆกัน น้ำตาท่วมFB หาว่าคนประเทศนี้มันโง่ เลือกพรรคเพื่อไทยมาขาดกว่า100เสียง
จะได้เลิกงอแงเสียที

นี่ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเองนะจ๊ะ คัดลอกมาจากข้อมูล ของพรรคแมลงสาบเลยนะจ๊ะ

พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2489 เป็นพรรคการเมืองที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้
ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย และยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551
มีจำนวนทั้งสิ้น 2,874,860 คน และมีสาขาพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 195 สาขา นับแต่วันก่อตั้งพรรคจนถึงปัจจุบันมีหัวหน้าพรรคมาแล้วรวม 7 คน
ในจำนวนนี้ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย 4 คนคือ พันตรีควง อภัยวงศ์ ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าพรรคคนแรก ดำรงตำแหน่งนายได้ดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีของไทย 4 คนกรัฐมนตรี 4 สมัย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 สมัย นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี 2 สมัย นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

4คนเองนะจ๊ะ อยู่มา 65ปี ได้เป็นนายกฯแค่ 4คนเอ๊ง แล้วแต่ละคนก็มีที่มาแปลกๆนะจ๊ะ
แค่นันยังไม่พอยังมีที่ไปแปลกๆอีกด้วยล่ะ

คนแรกที่ดำรงค์ตำแหน่งนายกฯก็คือคนนี้ พันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี2490 อ๊ะๆ ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งมาเถอะเธอว์
เขาปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลรับเชิญของคณะรัฐประหาร ฟังดูแปลกๆดีนะจ๊ะ อุตส่าห์คุยว่า ตลอดระยะเวลา 65 ปีที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อย่างต่อเนื่อง

พอปี 2518 มี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นได้ไม่นานนัก เขาบันทึกไว้ว่า
เป็นผู้นำคณะรัฐบาลที่มีอายุรัฐบาลสั้นที่สุด คือ 11 วัน ในคณะรัฐมนตรีคณะที่ 38 ระหว่างวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2519
จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 35 ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ยังเป็นคณะรัฐมนตรี
คณะแรกและคณะเดียวจนถึงปัจจุบันนี้ ที่ต้องลาออกเพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรในการแถลงนโยบาย

ในปีเดียวกันนั้นเอง ก็ชนะเลือกตั้งมาอีกสมัย โดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ชนะน้องชายมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มา

ต่อมาก็ไม่ได้เป็นนายกฯอีกเลย เพราะมัวไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรม หลายสมัย (รวม 8ปี)
และร่วมกับพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อีกสมัย แล้วก็ถูกรสช.ไป

การเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2535 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด จำนวน 79 คน และได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
โดยมีนายชวน หลกีภัย เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ได้เ้ข้า้บริหารประเทศเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง จนถึงกลางปี 2538
เหตุการณ์ทางการเมืองได้เกิดพลิกผันอีกครั้ง และนำไปสู่การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

สำหรับสลิ่มที่ไม่รู้ว่าเกิดเหตุพลิกผันอะไรในปีนั้น เพราะพรรคไม่ยอมบันทึกไว้
ก็ขอบอกว่าไม่มีอะไรมากหรอกเพียงแต่ตาชวนแกโดนเรื่องสปก 4-01เข้าไป อยู่ต่อก็ไม่ได้ เลยชิงยุบสภา
ต่อมาก็แพ้ คุณบรรหาร แพ้ พลเอกชวลิต จนพลเอกชวลิตลาออก นายชวนจึงได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง
โดยอาศัยงูเห่าจากพรรคประชากรไทยของคุณสมัคร

หลังจากนั้นมาพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยชนะเลือกตั้งอีกเลย แม้จะคุยว่าได้เป็นรัฐบาล
โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สลิ่มต้องไม่ลืมนะว่าเป็นเพราะเกิดการยุบพรรค
เกิดงูเห่าในพรรคพลังประชาชน โดยนายเนวิน ชิดชอบ ชักชวนสส.จากพรรคพลังประชาชน ไปร่วมยกมือ
โหวตให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ความจริงข้อนี้ อย่าได้ลืมเป็นอันขาด เดี๋ยวจะหลงไหลได้ปลื้มว่าที่นายอภิสิทธิ์
ได้เป็นนายกฯ เพราะชนะเลือกตั้งเข้ามาหากไม่มีงูเห่า นายอภิสิทธิ์ก็คงไม่มีโอกาส เพราะแพ้พรรคพลังประชาชนไปตั้ง65เสียงเลยน้า

พอมาถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด นายอภิสิทธิ์ก็พาพรรคประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้ การเลือกตั้งอย่างยับเยิน
จนต้องบันทึกไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ แพ้ผู้หญิงที่เพิ่งประกาศตัวเล่นการเมือง ในตำแหน่งผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ คนที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย

จากที่เล่ามา สลิ่มควรตะหนักว่า ไม่ควรเสียใจ ตีโพยตีพายที่แพ้พรรคเพื่อไทยไปหรอก
ควรสำนึกว่าพวกเธอว์ เชียร์พรรคผิดนี่จ๊ะ ดั๊นไปเชียร์พรรคที่ไม่ค่อยจะชนะนี่นา
ถ้าเธอว์หันมาเชียร์พรรคที่ชนะมาอย่างสม่ำเสมอเช่นพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อ เป็นพรรคอะไร
ก็ยังชนะขาดทุกทีไป พวกเธอว์ๆ ก็จะได้ไม่ผิดหวังร้องไห้กระจองอแงอย่างนี้ จำไว้

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่องบัตรเสีย

ไม่น่าเชื่อ การเลือกตั้งครั้งนี้ จะสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาหลายอย่าง
แน่นอนปรากฏการณ์ที่ฟ้าถล่มดินทลาย ก็หนีไม่พ้น การที่ประเทศไทย
ได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก มิหนำซ้ำเป็นนายกฯคนที่16ของโลก

ปรากฎการณ์คนออกไปใช้สิทธิ์มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
เท่าที่เคยมีการเลือกตั้งในประเทศนี้ เขาว่ากันว่า คนตั้งใจอย่างมากที่จะออกไปใช้สิทธิ์
ว่ากันว่า เมื่อวันเลือกตั้งล่วงหน้า มีคนที่ไปไม่ทันเลือกตั้งถึงกับหลั่งน้ำตา
ทั้งๆที่วิ่งมาตั้ง 2-3กิโล แต่ก็ยังไม่ทัน

ทีนี้มาดูเรื่องบัตรเสีย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบัตรเสียมากที่สุดจะเกิดขึ้นในเมืองหลวง
เมืองที่ประชาชนคิดว่าตนเองฉลาดล้ำกว่าใครทั้งปวง แต่งวดนี้ทำบัตรเสีย
มากที่สุด มากกว่าจังหวัดสุรินทร์เสียอีก
แสดงให้เห็นว่า คนต่างจังหวัดตั้งใจกาบัตรมาก โอกาสผิดพลาดน้อย
แต่ในเมืองหลวง มันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ

เรื่องของเรื่องเขาว่ากันว่าที่มันผิดมากมาย ขนาดนี้ เพราะความเขลา
เบาปัญญาของคนกทม.เองแหละค่ะ ก็แหมทำสป็อตโฆษณาออกมาเชิญชวนให้ไปใช้สิทธิ์
ขนดาราดังออกมาทำสกู๊ปเชิญชวน ด้วยสโลแกนที่ว่า "เลือกคนที่รัก กาพรรคที่ชอบ"

ทีนี้ พอเข้าคูหา ได้บัตรมาสองใบ ใบแรก เขาว่าให้เลือกคนที่รัก นี่เลย ชูวิทย์ เบอร์ 5
ว่าแล้วก็บรรจงกากากบาทไปที่ช่องหมายเลย 5 (แต่อนิจจา พรรคชูวิทย์ไม่ได้ส่งผู้สมัครแบบสส.) บัตรก็เลยเสีย
พอมาใบที่สอง ให้กาพรรคที่ชอบ อุ๊ยคนกทม. เขาเป็นคนเรื่องมากค่ะ คิดว่าฉลาดกว่าชาวบ้าน
กรูไม่ชอบสักพรรค อย่ากระนั้นเลย กาช่องโหวตโน ดีกว่า(ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร)
ฮาไหมล่ะท่าน นี่แหละคนที่คิดว่าตัวฉลาดกว่าใครเขา แต่โชว์โง่ได้ดีจริงๆ
ขนาดจะเลือกตั้งทั้งที ยังไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร พรรคไไหนส่งใครลงบ้าง สมน้ำหน้า ฮาจริงๆ

ขอบคุณค่ะ

ขอขอบคุณปวงชนชาวไทยที่ช่วยกัน ตัดสินโทษให้รัฐบาลที่สั่งฆ่าประชาชน
ผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า การสั่งฆ่าคนมีคนต้องรับผิดชอบ

ทั้งๆที่พยายามจะใส่ร้ายป้ายสี เอาตัวรอดด้วยการยกเรื่องเผาบ้านเผาเมือง
มาใส่ร้ายป้ายสี ทั้งๆที่ยังไม่รู้ชัดว่าใครเป็นคนทำ(อันที่จริงคนที่ลงคะแนน
ให้พรรคเพื่อไทย ต่างก็รู้ดีแก่ใจแล้วว่าเป็นใครกันแน่)เลยทำการลงโทษ
สั่งสอนด้วยการออกมาเลือกตั้งกันมากมาย มากกว่าการเลือกตั้งทุกๆครั้งที่ผ่านมา

ด่านต่างๆ การโกงสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่การพิมพ์โลโก้พรรค การออกมารุม
การออกมาชี้นำด้วยสารพัดพวก(แต่เผอิญเป็นพวกที่คนรู้ไส้เสียแล้ว)
แล้วเป็นไงคะพอใจผลการเลือกตั้งกันหรือยัง มั่นใจหรือยังว่าประชาชน
เขารู้เท่าทันแล้ว เขาตั้งใจจะออกไปใช้สิทธิ์ เพื่อจะลงโทษ แม้ทางกม.อาจต้องใช้เวลา
แต่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตอกย้ำว่า ตึกไม่ได้สำคัญไปกว่าชีวิตคน

มีทุกอย่างอยู่ในมือ สื่อ อำนาจ แล้วก็ยังไม่รอดผลกรรมที่ทำไว้
นี่ดีว่าคุณชุมพลออกมาบอกก่อนว่าที่เข้าไปร่วมรัฐบาลสั่งฆ่าประชาชนนั้น
ทำไปด้วยความไม่เต็มใจ ไม่อย่างนั้นก็โดนมากกว่านี้ แต่ผลที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต
เคยชนะแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังโดนหางเลขไปด้วย ได้มาพอเป็นกระสาย
เขาคงสั่งสอนว่า แค่ถูกบังคับให้ร่วมรัฐบาล แต่ไม่ถอนตัวออกมาตอนที่สั่งฆ่าประชาชน
ก็ต้องได้รับผลกรรมเสมือนหนึ่งเป็นผู้กระทำด้วย

ขอบคุณจริงๆค่ะ ที่ช่วยกันตัดสินโทษพรรคฆาตกรในครั้งนี้

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เลือกตั้ง

เหลืออีกแค่ 15 วันจะถึงวันเลือกตั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่จะชี้ชะตาประเทศ
นับเป็นการเลือกตั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประเทศ เพราะจะเป็นการชี้ว่าประเทศไทยจะไปทางไหน

ส่วนที่ผบทบ.ออกทีวีนั้น ก็เห็นว่าเข้าทางพรรคคนดีอย่างพรรคเพื่อไทยมาก
ก็ลองดูสิคะ เขาพูดว่า ให้ออกกันไปมากๆ เลือกให้มมีการเปลี่ยนแปลง อย่างมีสติ มีเหตุผล
ให้คนดีๆมาบริหารบ้านเมือง อย่าให้คนเขาดูถูกว่าพวกมากลากไป อย่าเลือกแบบเดิมๆ
ดูว่าเขาทำผิดกม.หรือเปล่า

ถ้าไม่เลือกพรรคเพื่อไทยเบอร์ 1 จะมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เลือกแมลงสาบ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
อย่าให้เขาดูถูกว่าพวกมากลากไป ก็ใช้ทั้งสื่อรัฐสื่อเอกชน ออกมาชักชวนให้เลือก มันจะได้อย่างไร
ทั่นประยุทธ์ ทั่นก็บอกแล้วว่าให้คิดเอง ดูว่าใครดีใครไม่ดี ผลงานสองปีกว่าก็เห็นๆกันอยู่ว่าดีหรือไม่ดี

ที่สำคัญให้ดูด้วยว่าเขาทำผิดกม. หรือเปล่า อันนี้ชัดเลยว่าทั่นแนะว่าอย่าไปเลือพวกที่ทำผิดกม.
สั่งฆ่าคนกลางเมือง (หรือใครจะเถียงว่าไม่ผิด)

ใครจะไปตำหนิทั่นได้ว่าทั่นชี้นำไม่ให้เลือกพรรคเพื่อไทย อย่างที่สื่อนอกไปตี
เป็นการเข้าใจผิดของสื่อนอกแท้ๆเลย ทั่นออกจะเชียร์พรรคคนดีอย่างพรรคเพื่อไทยชัดๆ
การที่บอกให้ไปเลือกตั้งกันให้มากๆเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่าทั่นเองก็เบื่อรัฐบาลชุดที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก

ส่วนเรื่องอย่าไปเลือกพรรคที่จ้องล้มสถาบัน อันนี้ก็ไม่รู้ว่าทั่นหมายถึงพรรคใด
แต่ไอ้ครั้นจะไปรับเอาว่าเป็นพรรคเพื่อไทยก็ไม่ถูก เราเองไม่เคยมีความคิดอย่างนั้นนนี่นา
เอาเป็นว่าทั่นพูดกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงว่าพรรคใดก็แล้วกัน

อีก 15วันถึงวันชี้ชะตาประเทศไทย ออกไปเลือกในขณะที่ยังมีสิทธิ์นะคะ
อย่าปล่อยให้เขาตั้งเอาตามใจล่ะ

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จดหมายเปิดผนึกถึงทีมงานหาเสียง

อ๋ายไม่ใช่ทีมงานของคุณยิ่งลักษณ์พรรคเพื่อไทยเบอร์ 1 หรอกค่ะ
เพราะรายนี้เขาทำกันได้อย่างดี น่าชื่นชม ทุกย่างก้าวล้วนแสดงความ
เป็นผู้นำ ยากที่ใครจะมาเทียบได้ในขณะนี้

แต่อยากจะเขียนถึงไอ้ทีมงานของพรรคคู่แข่งที่หวังจะมาขอทำงานต่ออีกสมัย
ซึ่งอันที่จริง ดูไปก็ไม่น่าเป็นงานที่ยากเย็นอะไร เพราะอยู่ในตำแหน่งมาสองปีกว่า
หากมีผลงาน ก็เพียงแต่เสนอให้คนรับรู้ แค่นั้นคะแนนก็จะมาเป็นกอบ
เป็นกำ อนิจาผลงานไม่มี ความดีไม่ปรากฎ ก็เลยมัวแต่ไม่สาละวนกับ
การกล่าวร้ายพรรคอื่น เพียงเพราะคิดว่าจะได้เหยียบย่ำเขาขึ้นมาเป็นบันไดโชว์ตัว

โอ้อนาถนัก ตกบันได มิหนำซ้ำถูกประชาชนเหยียบย่ำอีก จนแทบจมธรณี
จึงจำเป็นต้องเขียนถึงทีมงาน เพราะเหลือเวลาอีกแค่17วัน(จะทันไหมเนี่ย)

ต้องขอโทษทีที่ไม่ได้เขียนเร็วกว่านี้ เพราะไม่นึกว่าผลงานที่เฝ้าทำ
มันจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ ครั้นจะปล่อยเลยตามเลย ก็กลัวว่าคุณยิ่งลักษณ์
เธอจะชนะอย่างไร้คู่แข่ง มันเหมือนเอาเปรียบคู่แข่งนา ไม่ดีหรอก
สู้แนะนำเล็กน้อย เพื่อดีงนายแกขึ้นมายืนต่ออีกสักหน่อยจะได้ล้มลงอย่าง
สง่างาม ภาพคุณยิ่งลักษณ์เสยคางนายแกล้มสนั่นลงไปกองกลางเวที
จะดูดีกว่าตอนนี้เป็นไหนๆ ที่นายแกนอนหายใจแผ่วๆบนผืนผ้าใบ แล้ว
คุณยิ่งลักษณ์ วิ่งเหยาะๆไปรอบเวที เรียกเสียงเชียร์สนั่นหวั่นไหว

เอาล่ะฟังให้ดีนะ แล้วเอาไปปรับปรุงเผื่อจะทัน
1. เรื่องที่เอาไอ้ฆาตกรไปยืนซดกับชาวบ้านน่ะต้องเลิกขาดนะ ไอ้ภาพ
ที่หวังว่านายแกจะเป็นคนจริง คนกล้า ท้าชนทุกปัญหาน่ะ มันผิด บิดเบี้ยว
แทนที่จะเป็นภาพนายกฯผู้กล้าตอบ กล้าอธิบายทุกปัญหาของประชาชน
มันไม่เกิดว่ะ มันกลายเป็นภาพอุบาทว์ ผุ้ชายอะไรวะ(ดำรงตำแหน่งสูงสุดของการบริหาร)
ดันไปยืนต่อล้อต่อเถียงอย่างกับตุ๊ดกับแต๋ว หาความสง่างามดูดีไม่ได้เลย
เลิกเสียเถอะนะ ภาพมันไม่เวิร์กน่ะ

1.ภาพถูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงถ่ายรูปอีกอย่าง ต้องงดในทันที เพราะไอ้ฆาตกร
มันคงไม่ชอบ มันรังเกียจชาวบ้าน ก็เห็นๆอยู่ ภาพที่หวังจะให้ออกมาดูสวยงาม
แสดงความรักต่อประชาชนมันก็เลยไม่เกิด เกิดแต่ภาพที่มันพยายามดึงดัน
ขืนตัวฝืนยิ้ม ดูอย่างไรก็ไม่ทำให้ภาพนายแกดูดีขึ้น กลับยิ่งทำให้คนเขาเห็น
ธาตุแท้ ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ รังเกียจคนจน มันฉายออกมาชัดเจน

1.ภาพการกิน โอ้โห อันนี้คงยาก เพราะแค่สิบกว่าวัน คงแก้ลำบาก
เพราะการกินมันต้องเริ่มมาตั้งแต่วัยเด็ก พ่อแม่ ต้องคอยสอน อย่างเอาใจใส่
ไม่ใช่ปล่อยให้กินทุเรศทุลังกาน่าอนาถ ชาติชั่วได้ปานนั้น ทางที่ดี แกอย่า
ปล่อยให้มันเอาอะไรใส่ปากเลยจะดีกว่า จะดูดีที่สุด ไม่งั้นแย่จริงๆนา
เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

1.ข้อสุดท้าย เฉพาะวันนี้นะ เพราะจริงๆมันมีอีกร้อยแปดพันเก้าที่ต้องปรับปรุง
แต่วันนี้เสนอเฉพาะข้อใหญ่ๆที่แก้ได้ทันทีให้ก่อน เผื่อจะทัน ตีตื้นขึ้นมาบ้าง
ข้อนี้สำคัญมาก คือเรื่องการเขียนเฟซบุ๊ก โห อย่าให้เซ่ด ไอ้ที่นึกว่าจะดีกู้หน้าได้
ที่ไหนได้ กลับได้รับแต่ก้อนหิน ที่สำคัญมันมาจากทุกสารทิศเลยล่ะ
แทนที่คนจะอ่านแล้วเข้าใจ กลับทำให้อยากด่าเพิ่ม เพราะมันโชว์สันดาน
ชัดเจนแจ่มใส่ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่ผิดโคตรเหง้าในพรรคมันเลย

ทางที่ดี ถ้าอยากได้ภาพนายกฯที่สง่างาม กล้าหาญ แกควรจัดรายการ
ออกทีวีพูลเลยนะ ออกมาสารภาพเลยว่าจริงๆมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง นับตั้งแต่
เข้ามารับตำแหน่ง การไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร การที่ต้องตั้งรมต.บางคน
ที่ไม่น่าตั้งมาขัดใจชาวบ้าน การสั่งปราบปรามประชาชน การสร้างภาพ
เผาเมือง บอกให้หมดเลยนะ ออกทีวีไปเลย อ้อ แล้วให้โอกาสคนซักถามด้วย

แค่นี้แหละ แกจะดูแมนมากๆเลย เวลายังพอมี อย่ามัวแอบเขียนเรื่องโกหก
อยู่เลย เปิดเผยความจริงมาให้หมดเถอะ เผื่อคนเขาจะสงสาร ไม่ประหาร
เอาแค่เนรเทศ ดีไหมล่ะ รีบๆทำเข้านะ เตือนมาด้วยความหวังดี

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไอ้บ้าเนี่ย มันคงเมาหมัดไปแล้ว

เขียนสารภาพบาปลงเฟซบุ๊คตัวเอง ตอนแล้วตอนเล่า ว่าจะไม่สนใจแล้วเชียว
แต่พอมาเจอฉบับบที่ 3 มันเกิดอารมณ์พุ่งปรี๊ด ไม่เขียนถึงไม่ได้แล้ว

ก่อนอื่นลองมาดูที่มันเขียนก่อนนะคะ เพราะมีคนวางแผนเป็นขั้นตอนที่จะยัดเยียดให้ผมเป็น

"ฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน" จึงไม่ยอมรับในวิธีการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองอย่างสันติ

ซึ่งหากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณ
มีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภาไม่เกี่ยวกับการล้างความผิด
ให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อมาคนเหล่านี้ เผยธาตุแท้ตัวเองให้เห็น ภายหลังผ่านเหตุการณ์ไทยวิปโยคว่า

ให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมไปเลย ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม

2553 เรียกร้องเอาเป็นเอาตายว่าต้องยุบสภาทันที

จนเกิดเหตุสูญเสียขึ้นในที่สุด


ไม่ทราบว่าผีห่าซาตานตนใดเข้าสิง ไอ้ฆาตกรถึงได้เขียนอย่างนี้
การล้างความผิดให้คุณทักษิณ ไม่เคยมีในการเรียกร้องของคนเสื้อแดง
เลยแม้แต่น้อย เขาแค่ออกไปเรียกร้องให้ยุบสภาในทันที เพราะพวกเมิงมาโดยวิธีพิศดาร
ใครๆก็รู้ การสร้างตำนานงูเห่าภาคสอง การตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
เป็นสิ่งที่ประชาชนยอมรับไม่ได้

แล้วมาเกิดเหตุวันที่ 10เม.ย. ที่เมิงเอาสไนปเปอร์ส่องยิงหัวผู้ชุมนุมจนสมองไหล
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวมีให้เห็นชัดเจน แล้วมาบอกว่ามีคนพยายามป้ายสีให้เมิงเป็นฆาตกร
ก็ถ้าเมิงไม่สั่งฆ่า มือเมิงจะเปื้อนเลือดได้อย่างไร เอาเถอะ ถ้าเมิงหน้าด้านเถียง
ว่าเมิงไม่ได้เป็นคนสั่ง แต่ทะเหี้ยมันก็ลากปืนออกมายิงคนจริงๆ มีคนตายจริงๆ
โดยที่เมิงไม่ไได้สั่ง เมิงก็ควรรู้ว่ามีคนต้องการทำให้มือเมิงเปื้อนเลือดจริงๆ

ไม่ลองหันกลับไปดูข้างหลังเมิงหน่อยหรือว่าใครหรือมือไหนที่ผลักดันให้เมิง
กลายเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด ลำพังศักยภาพของคนเสื้อแดงคงยากที่จะทำได้
คงไม่มีใครในโลกนี้ยอมสละชีพเพื่อใส่ความเมิงละม้าง

ตลอดเวลาเจ้าหน้าที่แสดงความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด

มิฉะนั้นคงเกิดเหตุแบบที่เราเห็นอยู่ที่ตะวันออกกลาง


โธ่ไอ้ควาย เหตุการณ์ที่ตะวันออกกลางมันเกิดหลังเหตุการณืที่บ้านเราตั้งเกือบปี
เมิงยังเอาไปโยงกันได้ ไม่เรียกว่าสับสน จะให้เรียกว่าอะไร จนมีการชุมนุมทีหลัง
เขาถึงได้พูดกันว่า คนแถวตะวันออกกลาง เอาอย่างไทย แล้วไอ้กัดดาฟี่ก็เลียนแบบ
การใช้สไนปเปอร์ด้วยไม่รู้หรือไง แล้วมายกเป็นบุญคุณว่าใช้ความอดทนอดกลั้นเพราะกลัวจะ
เหมือนเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง

ขณะที่ผมและผู้นำเหล่าทัพกับบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

อยู่ในอาการช็อค กับการใช้ความรุนแรงกับคนไทยด้วยกันเองได้ถึงขนาดนี้


เมิงก็ต้องช็อคล่ะสิที่ไม่คิดว่าการออกมายิงหัวประชาชนมันจะยากถึงเพียงนี้
พวกเมิงคงคิดว่าแค่ส่องไปคนสองคน แล้วประชาชนจะกลัว หนีกลับกันหมด
ใครจะไปคิดว่าไม่มีใครกลัว ถ้าเมิงมีเวลา (ตอนยังไม่ติดคุก) เมิงช่วยไปหา
คลิ้ป เหตุการณ์ที่คนเขาถ่ายมาจากสถานที่จริง ไม่ใช่คลิ้ปที่ตัดต่อของทะเหี้ย
ที่นำมาเสนอเมิงดูบ้างนะ แล้วเมิงจะได้รู้ว่า คนเขาไม่มีความกลัว ภาพที่คนวิ่งเข้าหากระสุน
ก็มีให้ดู แล้วเมิงจะได้ช็อคหนักขึ้นไปอีก ที่หลวมตัวไปเชื่อไอ้ผีห่าซาตานว่า ฆ่าไม่กี่คน เดี๋ยวก็จบ

ปกติ ฉันก็เกลียดแก จนไม่อยากจะแยแสด้วยแล้ว แต่พอมาได้อ่านการเขียนของแกที่สมศักดิ์ศรีของประชาธิปัตย์จริงๆ
คือ"เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น" ยกหางตัวเองเวลาขี้ได้ไม่เคอะเขิน เปลือยกายล่อนจ้อนเสียขนาดนี้ ยังหวังจะกลับมาบริหารเอ๊ย
ฆ่าประชาชนอีกหรือ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เชิญฟังเพลง"คู่ทาษ"


เห็นข่าวไอ้มาร์ก เชิญชวน คนไทย อย่าเป็นบันได ให้"ทักษิณ"เหยียบ
เลยขอประกาศตัวด้วยเพลงนี้เลยหวะ

จำไว้ กรูและพวกพร้อมจะเป็นทุกอย่างให้คุณทักษิณ และน้องสาว(คุณยิ่งลักษณ์)
ได้เข้ามาทวงความยุติธรรมให้พี่น้องกรู

เนื้อเพลง : คู่ทาษ
ศิลปิน : อ๊อด รณชัย
อัลบั้ม : รณชัย ถมยาปริวัฒน์ รวมเพลง

ขอครวญคำ
ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ
น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ
รักเราสอง สัมพันธ์
แต่รักนั้นอยู่ไกล
เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป
ฝากหัวใจลอยล่อง
ขอปรานี พี่หวัง จงฟังพี่ครวญ
เสียงในใจ ไห้หวล รัญจวนหม่นหมอง
รักเราเอ๋ย แม้ไกล แต่หัวใจประคอง
พี่หวัง ใจปอง
เนื้อนวลทอง ใฝ่รักปองบูชา
ดนตรี 4 Bars..2...
3...4. เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
ดนตรี 4 Bars..2...
3...4. รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน
ดนตรี 4 Bars..2...
3...4. เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน

http://www.youtube.com/watch?v=LTDJv6LjYYA


ด้วยจำเลยเคยดำรงตำแหน่งสูงสุดฝ่ายบริหาร

อยากให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตั้งรัฐบาลแล้วดำเนินคดีกับ
คนที่สั่งให้เอาทหารและยุทโธปกรณ์ ออกมาเข่นฆ่าประชาชน (ก็ไอ้มาร์กกะพวกนั้นแหละ)

อยากรู้ว่าหากศาลตัดสินว่าผิดจริง แล้วจะยกข้ออ้างว่า"เนื่องจากจำเลยเคยดำรงตำแหน่ง
สูงสุดฝ่ายบริหาร เคยทำการกู้มามากมาย การสร้างภาพก็ทำได้ดีเยี่ยม จึงตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
แต่ด้วยเหตุดังกล่าว จึงให้รอลงอาญาเอาไว้เป็นเวลา 4ปี"(อ๊าว ก็เผื่อมันจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกสมัยหน้า
จะได้มีโอกาสกลับมาสั่งการอีกไง้)

อยากได้ยินมุขนี้จังเลย จะได้เห็นกันไปเลยชัดๆว่าสานกระบุงสานตะกร้า ตามที่เขาบอกหรือเปล่า

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สวัสดีค่ะ

ขณะนี้คุณมีหนี้บัตรเครดิต ธนาคาร...... ฟังรายละเอียด กด 10

จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย คุณถูกระงับบัญชีจากทุกธนาคาร ฟังรายละเอียด กด 10

แล้วอื่นๆอีกมากมาย คงเคยได้รับกันนะคะ เสียงโทรศัพท์กวนประสาทเหล่านี้
หากเป็นคนมีสติ หยุดคิดสักนิด อาจจะรีบวางหู ก็กรูไม่เคยมีบัตรเครดิตธนาคารนั้น หรือบางคนอาจไม่เคยมีสักธนาคารเลยนี่หว่า

ส่วนอันที่สองอาจตกใจบ้าง แต่ก็กลับมาคิดได้ บ้าป่าว ธนาคารชาติ ทำหอกอะไร เรื่องบัญชีของชาวบ้าน ก็จะทำให้ไม่หลงกลไอ้พวกหลอกลวงเหล่านี้

แต่สังเกตไหมคะว่าทำไมเสียงโทรศัพท์เหล่านี้ จึงมีมากขึ้นในระยะนี้ คิดเอาง่ายๆ ก็เพราะคนมีปัญหาเรื่องเงินมากในยุคนี้ (ก็แหมผู้บริหาร มันเก่งขนาด)
หรืออาจเป็นเพราะยุคนี้ผู้บริหารมันชอบหลอกลวง ไอ้มิจฉาชีพเลยเห็นเป็นตัวอย่าง ออกหากินโดยการโกหกตอหลดตอแหล อย่างไม่เกรงฟ้า-ดิน

เบื่อไหมคะ หากเบื่อถูกหลอก อย่าไปกดนะคะเบอร์ 10

อยากมีชีวิตที่ดีกว่า อยากมีอนาคตที่สดใส
วันที่ 3 กค. ออกจากบ้านไป เข้าคูหา กาเบอร์ 1 เท่านั้นค่ะ

มานับหนึ่งกันใหม่ดีกว่า

เห็นมันพูดกันจังว่าเลือกเพื่อไทย ต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
แล้วการเริ่มนับหนึ่ง มันเสียหายอย่างไรล่ะ ทุกอย่างก็ต้องมีการเริ่มต้นทั้งสิ้น
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหารุมเร้า การเดินหน้าต่อไป ทั้งๆที่เห็นกันไปทั่วว่า
ทางข้างหน้าไม่ใช่แค่เพียงทางทุรกันดาร หากแต่เป็นหุุบเหวที่แสนน่ากลัว
แล้วยังจะตั้งหน้าตั้งตาให้มันพาเดินต่อจนตกเหวตายไปหมดกันทั้งประเทศหรืออย่างไร

ปัญหาของประเทศมีมาตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อ19 กันยา 2549. ซึ่งหากไม่หน้ามืด
ตามัวจนเกินไป ก็ย่อมต้องเห็นว่าเป็นอย่างนั้น ปัญหาที่เกิดเริ่มมาจากทำรัฐประหารโค่นคุณทักษิณลง
แค่นั้นยังไม่พอยังตามล้างตามเช็ดทุกเม็ดทุกตอน จนระบบระเบียบที่มีมาแต่ในอดีตถูกทำลายจนหมดสิ้น

เพียงแค่คิดจะขจัดคนที่ชนะเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลายคนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศอย่างเอนกอนันต์
โดยทำร้ายทำลายโดยหวังเพียงให้คนทั้งประเทศเชื่อตามและเกลียดชังใช้ทุกวิธี ใช้ทุกกระบวนท่าทุกทบวงกรม
จนเสียหายยับเยินจนประชาชนหมดสิ้นศรัทธาในทุกระบบ. กว่า5ปีแล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จ คนที่เคยรักก็ไม่เคย
แม้แต่คนเดียวจะหลงเชื่อการใส่ร้ายป้ายสีนั้น ยังกลับรักและสงสารมากขึ้น

เห็นได้จากการตอบรับนโยบายของพรรคเพื่อไทย และการกางแขนโอบกอดน้องสาวของคุณทักษิณ
ยิ่งโหมกระพือว่าหากเลือกเพื่อไทย คุณทักษิณจะกลับมาของฝ่ายตรงกันข้าม ยิ่งทำให้เป็นเสมือน
โฆษณาย้ำใหคนเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง การกลับมาของ
คุณทักษิณก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่รุมเร้าอยู่ในประเทศนี้จะได้ถูกขจัดปัดเป่าไปเสียที อย่างนี้แล้วจะไม่ยอมนับหนึ่ง
กันอีกหรือคะ จะยอมหลับหูหลับตาให้มันพาเดินลงเหวไปทำไม หากยอมให้มันพาเดินต่อปัญหาก็ไม่จบสิ้น
ความยุติธรรมก็จะถูกทำลายจนไม่เหลือซาก

มานับหนึ่งกันเถอะค่ะ เลือกเพื่อไทยเบอร์1ทั้งคนทั้งพรรค แล้วเริ่มต้นสร้างความสุขให้คืนกลับมาอีกครั้ง

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ช่วยกัน

เพื่อนโทร.มาเล่าให้ฟัง ว่า เมื่อเช้า ได้ยินคนขนขยะเขาคุยกัน
คนหนึ่งบอกอีกคนหนึ่งว่า "เฮ้ย ถ้ากาเบอร์ 10นะ เมิงได้กินไข่ฟองละ 10บาทแน่"

เออหนอ ประชาธิปไตยกินได้จริงๆ คนที่เหมือนไม่มีความรู้ ไม่มีเศรษฐานะ
คนรากหญ้าที่ไอ้พวกเวรบอกไม่ควรมีสิทธิ์เลือกผู้แทน นัยว่า ยังโง่ ยังไม่รู้เรื่อง
ยังเลือกไม่เป็น แต่จากที่เขาคุยกัน อย่างน้อยก็แสดงว่า เขาเข้าใจ เขารู้ดีว่า
หากเลือกผู้บริหารผิด บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร สภาพ ข้าวยากหมากแพง
ความเป็นอยู่ที่ลำบาก แค่นี้แหละที่เขาเห็น

ไอ้ที่จะไปจบมาจากเมืองนอกเมืองนา ภาษาอังกฤษ ฟุ้งฝอยกระจาย ก็ไม่สามารถช่วยให้เขา
มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ มีปัญญาแค่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่ล้มตายด้วยกองกำลังทหาร
ก็ต้องมาตายเพราะสภาวะยากแค้น

ก็นี่แหละประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่สวยงาม ที่ประชาชนเป็นใหญ่มีสิทธิ์เลือกผู้บริหารเองได้
เขาเรียนรู้ว่าใครกันที่ทำให้เดือดร้อน ใครกันที่ดีแต่พูด แต่ปัญหาประเทศยังรุมเร้า

อย่ากระนั้นเลย เรามาช่วยกันหาเสียงให้พรรคเบอร์10 ตามที่คนขนขยะเขาบอกดีกว่า
"อยากกินไข่ ฟองละ 10บาท ต้องเลือกเบอร์ 10นะพี่น้อง"

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทำเพื่อคนคนเดียว

วาทกรรมแมลงสาบ ที่พยายามบอกประชาชนว่าพรรคเพื่อไทย กระทำการทุกอย่างเพื่อพตท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อมีการพูดถึงการนิรโทษกรรม

อันที่จริง ในฐานะคนรักคุณทักษิณ ก็ยังไม่เห็นว่าคุณทักษิณทำผิดอะไร ถึงขั้นต้องขอนิรโทษกรรม เพราะส่วนใหญ่ การนิรโทษกรรมมักถูกนำไปใช้ ในกรณีที่ทำผิดร้ายแรง มีตัวอย่างให้เห็นในอดีต เช่น เมื่อทำการรัฐประหารทุกครั้ง ก็ต้องมีการนิรโทษกรรมผู้ที่ทำการ ทั้งๆที่มีความผิดร้ายแรงขึ้งขั้นก่อการกบฎ มีโทษถึงประหารชีวิต แต่ก็ได้ออกพรก.นิรโทษกรรมตามมา ไม่เช่นนั้นได้ถูกตัดหัวขั้วแห้งไปไม่รู้กี่ราย(เพราะประเทศนี้ ทหารมีหน้าที่หลักคือทำรัฐประหาร...หรือไม่จริง?)

ดังนั้นการออกมาใส่ร้ายป้ายสีว่า พรรคเพื่อไทยมีความคิดจะนิรโทษกรรม จึงถูกนำไปใช้ เพื่อให้ประชาชน(ที่ยังเกลียดคุณทักษิณ) เห็นว่า พรรคเพื่อไทยต้องการฟอกตัวให้คุณทักษิณ แต่ดังที่บอก คุณทักษิณทำผิดชั่วร้ายอะไรหรือมีความผิดสถานเดียวที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นการเมือง) ตัดสินจำคุก 2ปี ฐานไปเซนชื่อรับรองการประมูลซื้อที่ดินของภรรยา ซึ่งผลสุดท้าย คนซื้อไม่ผิด คนขายก็ไม่ผิด แต่คดียังติดตัวคุณทักษิณ

หากจะให้พูดไป การตัดสินครั้งนี้ มันถูกต้องชอบธรรมหรือไม่คงไม่ต้องพูดถึง เพราะฆ่าคนตายยังได้รับการรอลงอาญา ปล่อยตัวไปเพียงเพราะอ้างว่าผู้กระทำความผิด เป็นคนที่สามารถทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองได้ แล้วคุณทักษิณ ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นสมัยที่ 2 ทำความดีความชอบให้ประเทศมากขนาดไหน ไม่ต้องพูดถึง ไม่อย่างนั้นคนจะยังรัก ยังศรัทธาอยู่จนถึงวันนี้หรือ ความผิดพลาดที่แค่ไปเซ็นชื่อรับรองการเป็นภรรยา มันจะร้ายแรงอะไรหนักหนา ความเสียหายต่อรัฐก็ไม่มี

แต่ก็ตัดสินไปเพียงเพื่อจะขจัดคุณทักษิณออกไปจากแวดวงการเมือง(ซึ่ง ใครๆก็รู้ดูออก) เป็นชนักปักหลังอยู่ตลอดไป เพราะไม่ว่าอย่างไร คุณทักษิณก็จะมีคดีนี้ติดตัวไปจนไม่สามารถกลับเข้ามาทางการเมืองได้อีก เพราะมีกำหนดไว้ว่า หากนักการเมืองใดต้องคดีถูกตัดสินจำคุก(โดยไม่มีการรอลงอาญา) ย่อมหมดสิทธิ์ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เรื่องแค่นี่แหละที่ทำให้ศาลถึงกับต้องตัดสินให้จำคุก ทั้งๆที่สามารถนำความดีความชอบมาผ่อนปรนในการตัดสินได้ แต่ก็ไม่ทำ กะให้จบสิ้นกันไป
หากไม่มีการนิรโทษกรรมทางการเมือง ก็ยากที่จะนำคุณทักษิณกลับมาได้
เท่าที่คิดเอาเอง คำ ว่านิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย ก็คงเพียงยกโทษให้แก่คดีทุกคดีที่เกิดจากการรัฐประหารเสียละมากกว่า หาใช่นิรโทษกรรมผู้เข่นฆ่าประชาชนไม่

ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงเดือดร้อนมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นรัฐบาลในสมัยที่เกิดการเข่นฆ่าประชาชน ทำอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดจากข้อกล่าวหา จึงออกมาตีปี๊บด่า ทั้งๆที่หากมีการนิรโทษกรรมในเหตุการณ์ ปี 52-53จริง คนที่ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ ก็คือปชป. แต่มันคงรู้แกวว่านิรโทษกรรมที่จะเกิดไม่ได้นับรวมไปถึงเหตุการณ์เข่นฆ่า ประชาชน เลยต้องออกมาเต้นแร้งเต้นกา

เมื่อคิดได้ว่า หากจะมีการนิรโทษกรรมจริง ให้จัดให้มีเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวเนื่องจากการรัฐประหารในปี 2549 แค่นี้ก็พอแล้ว และทำไมจะทำไม่ได้ เพราะพวกคนดี ๆ น่ารักนนี่ก็ยังถึงขนาดเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ(ฉบับหัวคูณ)
ในมาตรา309เลยด้วยซ้ำ ว่าการใดที่มันเคยทำ และจะทำต่อไปในอนาคตให้ พ้นผิดหมด เอากันถึงขนาดนี้ ยังจะให้คนเขายอมได้อย่างนั้นหรือ

หากการนิรโทษกรรมที่จะเกิดขึ้น มีจริง เพียงเพื่อนคนคนเดียวคือคุณทักษิณ ชินวัตร แล้วมันจะเป็นอย่าง ก็คนคนเดียวนี่แหละที่แก้ปัญหาชาติได้ ที่ทำให้ไทยเจริญทัดเทียมอนารยประเทศ มีที่ยืนอย่างสง่างามในเวทีโลก

การทำเพื่อคนคนเดียว ที่มีคุณูนุประการกับชาติ มันผิดตรงไหนวะ ..อยากรู้

เมื่อวานก็ไปสวนลุมมา


พรรคเพื่อไทย ปราศรัยใหญ่ ในกทม. จะไม่ไปให้กำลังใจได้อย่างไร

รวบรวมสมัครพรรคพวกได้ 4คน นัดเจอกันที่บ้านเพื่อนแถวลาดพร้าว
เพื่อนขับรถไปจอดที่"จอดแล้วจร"ที่ลาดพร้าวใกล้ๆบ้านนั่นแหละค่ะ
นั่งรถใต้ดินไป ลงที่สวนลุม โอ้โห ดีจริงๆ เพราะโผล่ออกมาปุ๊บ ก็เจอ
ข้างๆเวทีเลย

ไปถึงสัก 5โมงกว่าๆ เจอคุณมิ่งขวัญกำลังปราศรัยอยู่ มองไปทางเวที
คนแน่นมากๆ คงยากที่จะ เบียดเข้าไปฟังได้ เลยมองๆทางสนามด้านนอก
เขามีจอมอนิเตอร์ พื้นที่ยังเหลือ เลือกที่นั่งได้เหมาะเจาะหลังจอเลยล่ะค่ะ
ตอนยังไม่มืด มองจอไม่ชัด แต่พอมืดก็เห็นชัดเจนดี

ตอนแรกกะว่าจะไปแค่เพิ่มจำนวนนับ แต่พอฟังคุณเฉลิม แล้วต่อด้วยคุณณัฐวุฒิ
แล้วคุณยิ่งลักษณ์ก็มา จะไม่ให้ฟังจนจบได้อย่างไร พอคุณยิ่งลักษณ์มา ปราศรัยจบก็ปิดเวที
เลยได้ดูจนจบ คนมาก ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เดินทางกลับด้วยรถใต้ดินเหมือนเดิม
ในรถเจอคนที่กลับจากฟังการปราศรัยเหมือนกัน แม้ไม่ได้ทัก แต่ก็ยิ้มให้กัน
มาเสียเส้นตรงที่มีเด็กในที่นั่งข้างๆมากับพ่อ-แม่ ส่งเสียง งอแง โวยวายตลอด
ต้องข่มใจ พ่อแม่ก็ไม่ยักดุว่า ปล่อยให้รบกวนคนทั้งขบวน แรกๆก็ดูน่าเอ็นดู
แต่ชักดังขึ้นทุกที จนคนในรถชักจะมองหน้ากัน โชคดี เขาลงไปก่อน เพื่อนที่ไปด้วย
บอกว่าน่าจะหันไปบอกเด็กที่กำลังส่งเสียงและไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนตัวพ่อว่า
"ป้าเชียร์ประธิปัตย์นะหนู" เผื่อพ่อ-แม่ มันจะรีบอุดปากลูกในทันที ฮา

มีเรื่องเล่าแค่นี้ล่ะค่ะ ชื่นใจ ได้ไปฟังการปราศรียหาเสียงเป็นครั้งแรก
สมัยคุณทักษิณ,คุณสมัครก็ไม่เคยไป แต่ครั้งนี้ ไม่ไปไม่ได้ เพราะต้องไปเชียร์
นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเมืองไทย

มีรูปมาโชว์เล็กน้อยค่ะ


วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เขา....ผู้ซึ่งไม่เคยชนะ


จะใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่ไอ้มะม่วงจำบ่ม พอดีนึกขึ้นได้ว่าไอ้นี่มันไม่เคยแม้แต่สักครั้งที่จะทำการใดสำเร็จจนได้ชูมือว่าเป็นผู้ชนะ

มาจะเล่าให้ฟัง นึกขึ้นได้ก็เมื่อไอ้กระบือสกประจำกายเห่าออกมา
เมื่อยี้ห้อยร้อยยี่สิบ ทำตัวเป็นคนที่หยั่งรู้ดินรู้ฟ้า ออกมาฟันธงขาดๆว่า
คุณยิ่งลักษณ์ไม่มีทางที่จะได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดแม้จะ
ชนะเลือกตั้งก็ตาม แล้วไอ้หมีต้องลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
กระบือสกเห่า (เฮ้อชื่อเป็นควายดั๊นเห่าเป็นหมา)ว่า ในพรรคเอี้ยที่อยู่
มานานหอกเสียบปีกว่าๆ ไม่มีธรรมเนียมนี้ โดยลืมไปว่า หัวหน้าพรรคคนก่อน
นายบัญญัติ ก็ได้ทำไว้ให้เป็นบรรทัดฐาน แล้ว โดยการลาออก จาการเป็นหัวหน้าพรรค
เมื่อพ่ายแพ้การเลือกตั้ง (ซึ่งเป็นประเพณีที่ดี เพราะการพ่ายแพ้ในการนำเลือกตั้ง
ย่อมแสดงให้เห็นว่าไร้ความสามารถ สมควรต้องรับผิดชอบ หลีกทางให้คนอื่นที่มีความสามารถ
มีวิสัยทัศน์นำพาพรรคไปให้สู่ชัยชนะต่อไป)

พอนึกถึงตอนนี้ได้ มันก็แว้บเข้ามาว่า เอ แล้วไอ้"มะม่วงจำบ่ม"นี่มันขึ้นมา
เป็นหัวหน้าพรรคได้อย่างไร คงจำกันได้ว่าไอ้พรรคเปรตนี่ พยายามเหลือเกินที่จะกล่าวอ้างว่า
เป็นสถาบันการเมือง อันทรงคุณค่า อยู่มานาน มีวัตรปฏิบัติงดงาม แม้หัวหน้าพรรคก็ยังต้องได้รับการโหวต
ผ่านการแข่งขันมา จึงจะได้เป็นหัวหน้าพรรค พรรคเป็นของกลาง ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
ตระกูลใดตระกูลหนึ่งนะเว้ยเฮ้ย(สงสัยต้องเชิญไปอ่านประวัติของพรรคนี้อีกที เพื่อเข้าใจว่าตั้งมาได้อย่างไร
แล้วใครเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง)

เอ้าย้อนกลับมาใหม่ วันที่ไอ้ชวน(หัวหน้าพรรคกระยาจกตัวจริง) จะลงจากตำแหน่ง
จะวางตัวให้ไอ้หมีเลยก็ดูจะไม่เก๋ เลยเปิดให้มีการแข่งขันชิงตำแหน่ง ซึ่งในครั้งนั้นพรรคก็เกือบแตกไปทีหนึ่งแล้ว
ก็มีผู้แข่งสองราย จำได้ไหมคะ มีไอ้ไม้ผลัดใบอะไรเนี่ยแหละกับผู้เฒ่านามบัญญัติ ลงชิตำแหน่งกัน อะฮ้าผลหรือคะ
ไอ้ละอ่อนก็แพ้ไปตามระเบียบ (ก็ใครเขาจะไไปเอา ผลงานไม่มี ความดีไม่ปรากฎ ดีแต่พูด แล้วมีฟันเกเท่านั้นเอง)

นายบัญญัติ ก็ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค นำศึกเลือกตั้ง ซึ่งก็แพ้ ขอโทษ ครั้งนั้น
ใช้สโลแกนว่า "ทวงคืนประเทศไทย" เพราะคุณทักษิณเป็นนายกฯมาครบวาระ 4ปีเต็ม
ผลการทวงคืนก็ออกมาว่ารัฐบาลนำโดยคุณทักษิณ ได้ 377ที่นั่ง ส่วนผู้มาขอทวงคืน
ได้รับการยืนยันจากประชาชนไปว่าไม่ให้โว้ย ได้ไปเพียง 96เสียงแล้วคุณบัญญัติก็ลาออกจาการเป็นหัวหน้าพรรค
(เพราะมั่นใจเต็มที่ ประกาศก่อนการเลือกตั้งว่า หากนำพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้งจะขอลาออก)เนี่ยเห็นไหมล่ะ ปากไวไปหน่อย เลยต้องออก

แล้วไอ้หมีก็กระโดดขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค คงยังไม่ลืมว่า มันไม่ได้ชนะการแข่งขันชิงหัวหน้าพรรคนะคะ ได้มาเพราะโชคช่วยแท้ๆ เพราะดันมีคนมีสปิริต รักษาสัญญา รักษาคำพูด

พอไอ้หมีมานำพรรคก็แสดงผลงานดีเลิศ ประกาศบอยคอตการเลือกตั้งซะงั้น ทั้งๆที่ประกาศว่า เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ลงเลือกตั้ง
ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยนำพาพรรคชนะการเลือกตั้งเลย พ่ายแพ้แท้ๆ แต่ดันไม่ยอม ดิ้นเร่าๆจะเอาเก้าอี้ ทั้งๆที่แพ้ไปกว่าครึ่งร้อย (65 ที่นั่ง)
ไม่ได้ฉิวเฉียดแต่ประการใดแต่ด้วยความหน้าด้าน หน้าทน ไม่รู้จักอับอาย จึงได้เข้ามาเป็นนายกฯด้วยวิธีพิศดาร เล่าลือกันไปทั่วโลก

ดังนั้นกระทู้วันนี้จึงขอมาสะกิดเตือนให้ทราบว่า ไอ้หมีไม่เคยชนะการคัดเลือกใดๆเลย เมื่อใดที่แพ้ก็ไม่ยอมแพ้
มันจะทำทุกวิถีทางที่จะต้องเอาให้ได้ เหมือนเด็กสมาธิสั้นทั่วๆไป ที่มักไม่สามารถเป็นคนมีเหตุผล ยอมรับอย่างมีตรรกะไม่ได้
ขอเพียงอยากได้ เมื่อไม่ได้ ก็จะดิ้นทุรนทุราย ร้องไห้อยู่กลางห้าง จนพ่อแม่ อับอายผู้คนที่จ้องมอง
เลยต้องตัดบทด้วยการซื้อของที่อยากได้ประเคนให้ เพียงเพื่อให้มันหยุดร้อง

แต่ขอเตือนพ่อแม่ของไอ้หมีว่า งวดนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนนะเว้ยเฮ้ย
เก้าอี้นายกฯครั้งนี้ต้องมาจากฉันทามติของประชาชนโว้ย ไอ้ที่จะยกให้กันง่ายๆ ไม่มีทาง!

ว่าด้วยเรื่องของคนหน้าด้าน


บ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนหน้าด้าน คนเก่าๆท่านถึงได้ว่า "เก่งไม่กลัว กลัวแต่คนหน้าด้าน"
เพราะหากหน้าด้านเสียแล้ว จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีหรอก ไอ้"หิริโอตัปปะ"(ความละอายต่อบาป)

ดังนั้นเราจึงเห็นคนหน้าด้านทำได้ทุกอย่าง ไม่อายฟ้าดินทั้งสิ้น ขนาดทำยังกล้าปากแข็งว่าไม่ได้ทำ
คงไม่ต้องยกตัวอย่างหรอกนะว่า ใครเป็นอย่างนี้บ้าง เอ๋หรือเอาเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องนึกนาน
ก็ดูไอ้รัฐบาลที่เซ็นคำสั่งให้ทหารออกมาปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธจริง รถถังจริง แต่กลับบอกว่าเปล๊า
หนูเปล่าทำ ก็ถ้าเมิงไม่ได้สั่งแล้วมันทำอย่างนี้ภาษากฏหมายเขาเรียกว่า"ทำนอกคำสั่ง" แปลง่ายๆว่าเสือกล่ะพี่น้อง

ส่วนไอ้ทหารก็เอาปืนออกมายิงจริง คนตายจริง เสือกบอว่าไม่ได้ยิง หลักฐานภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วโลก
ยังปากแข็งว่าเปล่า แต่ถึงไม่ได้ยิงจริง ก็เอากำลังพลนับหมื่นออกมาจริงใช่ไหม รัฐบอกไม่ได้สั่ง
เฮ้ย เมิงเคลื่อนกำลังโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็กบฎล่ะสิ (แต่ไม่เป็นไร หน้าด้านด้วยกัน เลยหยวนๆกันไป)

พอด้านต่อไม่ไหว ก็เลยยุบสภา เข้าสู่การเลือกตั้ง โอ้โห ทีนี้คนหน้าด้านโผล่กันมาอีกเพียบ
ไอ้คนที่ต้องด่าให้หนักๆ ก็นี่เลย หัวหน้าคณะรัฐประหาร ใหม่ๆสดๆ เป็นเพราะการรัฐประหาร
ครั้งล่าสุดนี่แหละที่ปัญหามันลุกลาม แก้กันไม่หวาดไม่ไหว เออหนอ ทำลายประชาธิปไตย
ด้วยการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง(ที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนมากมายมหาศาล)ลง

วันดีคืนร้ายออกมาให้สัมภาษณ์ว่ารู้ตัวละนะว่าผิดที่กระทำการอย่างว่า (แต่ความเสียหายก็เกิดแล้ว)
ดันมาตั้งพรรคการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โอ๊ยกรูจะบ้าตาย
นึกอย่างไรล่ะเนี่ย นึกเท่าไหร่ก็ก็นึกไม่ออก นึกได้อย่างเดียวว่า"แม่งหน้าด้านฉิบหาย"
ยัง...แค่นั้นยังไม่พอ รู้ตัวอีกแน่ะว่า ไม่มีทางได้รับเลือกมามากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล
แต่กลับกระทำการหน้าด้าน ไปรวมหัวกันปรึกษาหารือกันกับพรรคเล็กพรรคน้อยว่า
ทำอย่างไรจะได้ร่วมรัฐบาล แล้วจะร่วมกับพรรคไหนดี

ตายๆ เมิงก็รู้การเลือกตั้งคือเลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายที่ดี ที่จะนำพาประเทศไปได้
นโยบายที่จะแก้ปัญหาของประเทศ ถ้าเขาไม่เลือกพรรคเมิงก็แสดงว่าเขาอาจไม่ชอบ
นโยบายของพรรค ไม่ก็ไม่เชื่อว่าพรรคจะบริหารได้ ดังนั้นเขาเลยไม่เลือกไง้
ดันไปสุมหัวกันว่าจะทำไงดี ไอ้พรรคอื่นๆ ก็กระมิดกระเมี้ยน รับบ้างไม่รับบ้าง
ไหนเลยจะด้านได้เท่าไอ้นี่ เพราะตอบผู้สื่อข่าวว่า"ยอมรับว่าที่ผ่านมามีการพูดคุยกันเรื่อง
ตั้งรัฐบาลบ้างแล้วในส่วนของพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก"

ขอยอมรับเลยว่า เมิงหน้าด้านที่สุด ในกระบวนพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก
เพราะกล้าพูดโดยไม่อายว่าจะปล้นอำนาจประชาชนได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะแสดงประชามติ
ออกมาแล้วว่าไว้ใจให้ใครเข้ามาบริหารประเทศ เพราะพูดว่า" ส่วนตัว ไม่ขัดข้องที่ใครจะมาเป็น
นายกรัฐมนตรี หากพรรคไหนรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้ ก็ตั้งรัฐบาลได้"

นั่นแน่ เผยไต๋ออกมาแล้วว่าใครก็ได้ที่รวบรวมเสียงข้างมากในสภา เมิงก็ยังโชว์ความไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง
ประชาธิปไตย แปลว่าประชาชนเป็นใหญ่ เขาเลือมามากกว่าก็แปลว่าเขาอยากให้พรรคนี้ มาทำงาน
เขาไม่ได้เลือกพรรคเล็กพรรคน้อยสักหน่อย แล้วเมิงมารวมตัวกัน สุมหัวกัน ต่อรอง เพื่อจะได้ร่วม
จัดตั้งรัฐบาลมันจะถูกหรือ

เหนือสิ่งอื่นใด หัวหน้าคณะรัฐประหาร ก็ไม่สามารถทำให้ใครเชื่อได้ว่าจะมีความคิดเป็นประชาธิปไตย
แม้จะออกมาสารภาพผิดว่า ทำผิดไป ทางที่ดี หากเมิงสำนึกผิดจริง เมิงต้อง หายหัวไป
แล้วก็ออกไปจากบ้านพักในค่ายทหารด้วย(เงินที่รับไป คงหามาคืนไม่ไหวมั้ง) หลบไปให้ไกลจาก
สังคม ทำได้แค่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น จำไว้ไอ้หน้าด้าน!

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เอาไปใช้หาเสียงไม่ได้

ใหม่
ท. เทือกนั้นตายยาก น่าอนาถไอ้เทพไท
ไอ้ยอดสุขถิ่นไทย เถียงน้ำไหลไปข้างคู
เป็น สส.ต้องปากหมา เพราะมารดาคงมีชู้
หลายครั้งกูทนดู แม่มีชู้ยังได้เป็น
ไอ้มาร์คมันดิ้นพล่าน สุดสงสารประเทศไทย
สวาปาล์มไม่อายใคร เงินที่ได้คงแบ่งกัน
แก้ปัญหาดับไฟใต้ ทำได้เพียงส่งรถถัง
ทหารไปไม่ระวัง ยืนจังงังให้เขายิง
มีปัญหากับเขมร โทษฮุนเซ็นกับทักษิณ
ด่าเขากุ้ยกูได้ยิน โทษทักษิณได้ทุกวัน
รมต. หรือผีเปรต อยู่ต่างประเทศคิ้วกังฉิน
ชื่อกษิตปิดสนามบิน กูได้ยินจำขึ้นใจ
มาคราวนี้กูขอไล่พวกผีเปรต พรรคทุเรศก่อเรื่องราวสร้างหนี้สิน
กูขอด่าพวกมึงว่าไอ้ห่ากิน หน้าส้นตรีน ทั้งผู้เมีย เฮี้ยพอกัน

เมิงวางยาประเทศไว้หรือไง


ตกลงประเทศนี้เป็นของใคร เมื่อมีการยุบสภาแล้วเกิดการเลือกตั้งใหม่
หมายความว่า รัฐบาลเก่าที่ทำหน้าที่บริหารจัดการประเทศ ก็อาจต้อง
เปลี่ยนไป ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลที่เคยเป็นจะได้กลับมาทำงานต่อสักหน่อย
ไม่ได้มีหลักประกันว่าถ้าเป็นอยู่แล้วจะได้เป็นตลอดไป

ดังนั้น พรรคการเมืองทุกพรรค ต้องทำงานของตัวให้ดีที่สุด เพื่อเป็นผลงาน
ให้ประชาชนใช้ประกอบการตัดสินใจ ว่าจะไว้ใจให้ทำงานสานต่อไปหรือไม่

แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาชูสโลแกนว่า"วันแรกทำได้ทันที" แถมพกการแขวะพรรคขู่แข่ง (ตามสันดาน)
ว่าหากเลือกพรรคอื่น ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ส่วนพรรคของตัวนั้น
ว่าจะเข้าไปเติมให้เต็มสิบ พอเถอะ พ่อมหาจำเริญ

แค่สองปีกว่าที่ทำ ประชาชนก็สุดแสนจะเหนื่อยนัก นี่กะจะมาเติมเต็มอะไรกันอีก
เขาเชื่อกันว่าไอ้ที่เต็มน่ะมันคงเป็นกระเป๋าของพวกแกกระมัง
เรียกว่าที่กินกันไป มโหฬารเนี่ย มันยังไม่พอ จะขอเข้ามาเติมเต็มอีกหรืออย่างไร

ยังไม่พอ สโลแกนนี้มันยังทำให้คิดต่อไปอีกด้วยว่า พวกเมิงวางยาอะไรกับประเทศไว้หรือ
ถึงจะทำให้คนอื่นที่ไม่ใช่พรรคเมิง หากเข้ามรับงานต่อ ถึงต้องนับหนึ่งกันใหม่

การทำงาน หัวใจ เขาว่าต้องทำให้ดีที่สุด ต้องนึกไว้เสมอว่า หากพรุ่งนี้ตาย
ใครที่มารับงานต่อ ต้องไม่มีปัญหา ใครก็ได้ เพราะได้วางระบบเอาไว้ดีแล้ว
ไม่ใช่กั๊กเอาไว้แบบนี้ มีอย่างที่ไหน ชูสโลแกนโง่ได้บัดซบอย่างนี้
ใครนะช่างคิดให้ แม่งโง่ดักดานทั้งพรรคจริงๆ

ฟังเพลง เชียร์คุณยิ่งลักษณ์ กันค่ะ


http://www.4shared.com/audio/lHnwmePc/__online.htm

สองมือที่ดูนิ่มนวลอ่อนโยน
สองมือที่ดูช่างบอบบางอย่างนั้น
สองมือที่ดูไม่มีความสำคัญ
คือสองมือที่ทำ ให้โลกหมุนไป

แม้เพียงร่างกายนั้นเกิดเป็นหญิง
แท้จริงหัวใจนั้นแกร่งยิ่งกว่าชาย
ขอเพียงให้เป็นได้ดังที่ตั้งใจ
จะทุกข์ทนเดียวดายไม่มีความสำคัญ

บันดาล โลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ
นำพาให้เป็นไปตามต้องการ
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร
ไปด้วยมือเธอเสกสรร
ดังถ้อยคำประพันธ์
เปรียบเปรยพรรณนา

ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
อันมือไกวเปลไซร้ แต่ไรมา
คือหัตถาครองพิภพจบสากล

บันดาล โลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ
นำพาให้เป็นไปตามต้องการ
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร
ไปด้วยมือเธอเสกสรร
ดังถ้อยคำประพันธ์
เปรียบเปรยพรรณนา

ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
อันมือไกวเปลไซร้ แต่ไรมา
คือหัตถาครองพิภพจบสากล