ก็ไอ้เจ้าSMS เจ้ากรรม พาเจ้าของเครื่องติดคุกไปเสีย 20 ปี
เรื่องของเรื่องที่ยังคุยกันไม่รู้จบ ในขณะนี้มีหลายหัวข้อ ซึ่งสร้าง
ความมึนงงสงสัยแก่คนได้รับรู้ข่าวสารกันไม่น้อย
เรื่องเทคนิคที่ ตัดสินก็แปลก เนื่องจากจำเลยไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมา
ยืนยันว่าตนอาจไม่ได้เป็นคนส่ง ศาลจึงไม่ยกประโยชน์ให้
แต่ที่มันติดใจจนต้องตื่นมาเขียนคือ ม.112 มีเนื้อหาสั้นมาก ไม่มีรายละเอียด
อื่นใดมากกว่านี้ จึงขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ" ของศาลในการตัดสินเท่านั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (1) พระมหากษัตริย์ (2) พระราชินี (3) รัชทายาท
หรือ (4) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
อันนี้แหละค่ะน่าสนใจ ว่าแค่ไหนอย่างไร เมื่อไม่มีกำหนดไว้ชัดเจน คำตัดสินจึงไปขึ้นกับผู้พิพากษา
ซึ่งท่านก็เป็นคน ที่มีอคติ มีความเชื่อต่างๆกันไป บางท่านอ่อนไหวหน่อย
เห็นแล้วสะเทือนใจมากก็จะเห็นว่าผิดมาก
แต่บางท่านบางคนอาจบอกว่าเอาน่าเรื่องเล็กน้อย ให้อภัยได้ มีเรื่องชวนสงสัย
ที่สามารถจะยกประโยชน์ให้จำเลยได้มากมาย แต่ท่านก็ไม่ทำ ตัดสินเสียเต็มเหนี่ยว
เอาไปข้อความละ 5ปี รวมเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 20ปีไม่ลดสักปี
แต่ที่ข้องใจจนนำมาเขียนวันนี้ไม่ใช่เรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องข้อกม. แต่เป็นเรื่องความเข้าใจส่วนตัวล้วนๆ
กล่าวคือ คำว่า SMS ซึ่งมีคำเต็มว่า Short Message Service แปลเป็นไทยว่าการส่งข้อความสั้นๆ
เขากำหนดไว้แค่ครั้งละ140ตัว(เท่ากับทวิตเตอร์นะคะ) หากอยากเพ้อมากกว่านี้ ต้องแบ่งส่งเป็นหลายๆข้อความ
แล้วSMS จะส่งไปถึงเฉพาะเบอร์ที่เราเลือก จริงอยู่อาจส่งได้ทีละหลายๆเบอร์แต่ในเคสนี้ เขาส่งไปให้แค่เบอร์เดียว
ต่างจากทวิตเตอร์ที่พิมพ์ทีเดียวมีคนเห็นมากกมาย แล้วแต่จำนวนคนตามเรา แต่บางทีพิมพ์จี๊ดถูกใจ ก็จะมีคนเอาข้อความเราไปทวีตต่อ
ประเด็นสำคัญคือ เมื่อส่งเป็นSMS คนที่รู้จึงน่าจะมีคนเดียว นอกจากเราจะเอาเครื่องไปโชว์
ดังนั้นคนได้รับ ตามข่าวเป็นเลขานุการนายอภิสิทธิ์ จึงมีคนเดียว
หากข้อความดังกล่าว(ซึ่งก็ไม่เคยมีใครรู้ เพราะเขาไม่เคยบอก) เป็นการกระทำผิด ตามม.112จริง คือดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายจริง ก็น่าจะรู้แค่คนได้รับสารนั้น
หากเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร หวีดว้ายแล้วกดลบทิ้งแทบไม่ทัน ใช่หรือไม่ อย่างดีคุณก็คงแอบเอาไปให้เพื่อนดู สังเกต :ต้องแอบนะคะ
เพราะต่างก็รู้ดีว่ามันผิดกม.
ก็เมื่อเป็นแค่การส่งไปให้คนเพียงคนเดียว เผอิญมันบ้าจี้ เอาไปฟ้องร้อง ศาลท่านก็ดันคิดไม่เหมือนขาวบ้าน
ท่านคงคิดว่ามันผิดร้ายแรง เลยตัดสินเสียเต็มเหนี่ยว ทีนี้ข่าวก็เลยดังไปทั่วโลก ไอ้ที่จะรู้แค่เพียงคนส่งกะคนรับ
เลยกระจายไปเป็นวงกว้าง ไอ้ที่จะเสนอข่าวเฉยๆ ประเทศเราก็ไม่ได้ดังขนาดนั้น เลยต้องมีการท้าวความ
อธิบายที่มาที่ไปลงไปสักเล็กน้อย ทีนี้เลยดังกันสมใจ เข้ากับคำพังเพยที่ว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" ล่ะค่ะ
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ได้ไม่คุ้มเสีย
จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องฮ็อตฮิตติดชาร์ตอยู่ในขณะนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น