วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555
ความเกลียด...ทำลายทุกอย่าง
รุ่มร้อน กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ ลุกเหินเดินนั่งก็ไม่สบาย
เราไม่รู้ว่าต้นเหตุของความเกลียด เกิดจากอะไร แต่พอมันเกิดขึ้น มันจะฝังตัวอยู่ในจิตใจ
ทำให้เกิดอาการ หน้ามืด ตามัว ผิดหูผิดตาไปหมด เอาแต่จ้องจับผิด
เมื่อมีความเกลียด กระไออุบาทว์ของความเกลียด จะพวยพุ่งออกมา
เริ่มจากตาก่อน แล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทีนี้ก็พร้อมที่จะส่งออก
ไปทำร้ายทำลายคนอื่น แต่ช้าก่อน ก่อนที่มันจะออกจากร่างไป
มันได้ทำลายร่างกาย อวัยวะภายในของเจ้าตัวคนที่เกิดอาการเกลียด
ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เชื่อเวลาที่คุณรู้สึกโกรธหรือเกลียดปุ๊บ ลองหยิบ
กระจกขึ้นส่องหน้าคุณดู แล้วจะพบว่ามันน่าเกลียดน่ากลัวกว่าคนที่คุณเกลียด
มากมายนัก
ความเกลียด อาจเป็นส่วนหนึ่งของความกลัว ปนๆกันอยู่ อาจเริ่มจากกลัวก่อน
หรือไม่ก็เกลียดก่อน แต่สองอารมณ์นี่ มักจะเกี่ยวข้องกัน บางครั้งเรากลัว
ตุ๊กแก ค่าที่เคยฟังมาแต่เด็ก ว่าหากตุ๊กแกกระโดดเกาะใคร จะเหนียวหนึบติดอยู่
อย่างนั้นไม่มีทางหลุด ต้องกินน้ำสามโอ่ง กินขี้สามไหอะไรไปโน่น
เราเลยกลัวตุ๊กแก กันจับจิตจับใจ พอกลัวมากๆก็พาลเกลียด ขนาดได้ยิน
แต่เสียงร้อง ยังไม่ทันเห็นตัว ก็เกิดอาการรังเกียจขยะแขยงเสียแล้ว
และก็กลายเป็นเกลียดชังตุ๊กแกไปในที่สุด
ย้อนกลับมาการเมือง อาการทุรนทุรายของคนไม่ชอบนายกฯปู
ที่มักจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่ได้ยินได้เห็นข่าวนายกฯ
ปากก็ว่าเกลี๊ยดเกลียด แต่กลับไม่ละวาง คอยเฝ้าสังเกตสังกา
กันทุกกระเบียดนิ้ว เห็นอะไรเป็นได้จับมาด่าทอ (เผลอๆ พวกนี้
จ้องมองนายกฯของเรามากกว่าพวกเราที่เลือกเข้ามาอีก)
ก็คนมันรัก เห็นอะไรก็น่ารักไปหมด ข้อผิดพลาดก็มักจะไม่ค่อยเห็น
ความรักมันดีตรงนี้แหละค่ะ คือทำให้เราสบายใจ ไม่โกรธไม่เกลียด
อมยิ้มได้ทุกครั้งที่เห็นภาพ ได้ยินข่าว หน้าตาก็ไม่บึ้งตึง ใบหน้า
เกลี่ยไปด้วยรอยยิ้มทุกวัน
โชคดีที่ทีประเทศนี้ เช้าตื่นขึ้นมาออกไปเดินถนน เจอแต่คนหน้ายิ้มแย้มแต้มความสุข
แม้ของจะแพง ฝนจะแล้ง น้ำจะมา เราก็ยังยิ้มได้ โชคดีจริงๆที่จำนวนคนยิ้มมีมากกว่า
ประเทศเลยดูสวยงาม ผิดกับคนกลุ่มน้อยที่ทำสีหน้าปั้นยาก บูดบึ้งอยู่เป็นนิจ
ด้วยความรักที่มีในใจ ทำให้เราอภัยได้ อย่ามัวไปต่อล้อต่อเถียงด่าทอกับพวกชนกลุ่มน้อยเลยค่ะ
อีกไม่นานมันก็จะตายหายสูญไปเอง เพราะถูกความเกลียดเผาผลาญทั้งร่างกายและจิตใจ
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555
จบมาจากโรงเรียนนายร้อย
ตัดมาเฉพาะช่วงที่ทำให้อารมณ์เสียนะคะ
ตกลงความจริงที่ พล.อ.เปรมฝากให้พูดคืออะไร พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่ทราบ
ต้องถาม พล.ต.สนั่นว่า พล.อ.เปรมสั่งอะไรมา ที่น่าตกใจวันนี้คือคำถามนี้ถามผมมา 6-7 ปี แล้ว
แต่วันนี้พล.ต.สนั่น ซึ่งจบมาจากโรงเรียนนายร้อยเอาคำถามนี้มาถามตนเพราะอะไร
ที่จริงคนเป็นทหารอย่างเราเจอคำถามนี้ก็ช็อค เซอร์ไพรส์ ว่าคำถามนี้เกิดมาจากอะไร
ใครเป็นคนสั่งให้ท่านมาถาม และสำคัญที่ในภาวะที่เรากำลังจะปรองดองกันนี้ คำถามนี้ควรจะมีหรือไม่
มันแปลว่าอะไรกัน แค่คำถามง่ายๆ ก็ในเมื่อจะปรองดอง ก็ต้องรู้รากของปัญหา ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
รากเหง้าของปัญหาความแตกแยกของประเทศนี้ มาจากการยึดอำนาจเมื่อ19 กันยา 49
ถ้าไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอ จะแก้ปัญหาได้อย่างไร เสธ.หนั่นก็เลยถามดู
บังตอบปัญหานี้ทันทีว่า"ถึงตายก็ตอบไม่ได้" พอได้มีเวลากลับไปคิดทบทวน
จึงได้คิดออกว่าพลาดไปถนัดใจ ถึงกับออกมาสารภาพว่า ช็อค เซอร์ไพรซ์
ที่ได้ยินคำถาม เลยตอบไปอย่างนั้น แต่บังก็ยังเป็นบังที่มีเนื้อสมองน้อย
เพราะขนาดคิดแล้ว ออกมาแก้ตัวใหม่ กลับยิ่งตอกย้ำคำตอบ
การขุดขึ้นมาต่อว่าว่า จบมาจากโรงเรียนนายร้อย ต้องรู้ดีว่าอะไรควรถาม
อะไรไม่ควรถามอย่างนั้นหรือ หรือที่โรงเรียนนายร้อยเขาสอนว่าการทำปฏิวัติเป็นเรื่องปกติ
หรือเพราะนักเรียนนายร้อยทุกคนรู้ดีว่าใครเป็นคนมีอำนาจสั่งปฏิวัติ
ยิ่งตอบก็ยิ่งแย่ กลายเป็น"ลิงแก้แห" "วัวพันหลัก" ไปไหนไม่พ้นสักที
ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะบัง พวกเรารู้คำตอบหมดแล้ว ไอ้ที่เคยค้างคาใจ
ขัดแย้งในตัวเอง ว่าไม่น่าใช่ มันก็กระจ่างชัดแล้วในวันนี้ ยิ่งบังอธิบายมาก ยิ่งแย่นะบัง
ชักเป็นห่วงความปลอดภัยของบังจังเลย
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขออนุญาตแปะ เพราะอ่านแล้วถูกใจเหลือหลาย
เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 13 ฉบับที่ 3253 ประจำวัน พุธ ที่ 21 มีนาคม 2012
โดย อัคนี คคนัมพร
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ใครที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และกำลังทำหน้าที่แก้ไขปัญหาของประเทศอยู่ในขณะนี้ ถ้าปฏิเสธความมีอยู่และการดำรงอยู่อย่างสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนนั้นจะไม่มีวันทำงานสำเร็จ
พรรคประชาธิปัตย์พยายามพูดเสมอว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ
นั่นคือวาทะดูถูก กระแนะกระแหน
แต่แก่นแท้ของมันคือ พรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณไม่พ้น
ก้าวข้ามไม่พ้น พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นเรื่องควรได้รับความเห็นใจ เพราะเหตุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีธรรมชาติยิ่งใหญ่เกินกว่าพวกคนเหล่านั้นจะข้ามพ้นได้
ธีรยุทธ บุญมี พูดถึงการเมืองไทย และพูดถึงบุคคลสำคัญในการเมืองไทย เขาให้น้ำหนักไปที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และคนที่สามเขาพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แน่นอนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามนี้ย่อมมีนิสัยใจคอและบุคลิกลักษณะแตกต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงผู้นำทางการเมืองไทยคงหลีกไม่พ้นที่จะแลเห็นคนทั้งสามชัดเจน ในขณะที่ผู้นำคนอื่นๆยืนอยู่ในเงาสลัว
พรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างจะมีสายตาแหลมคมกว่าพรรคอื่น พวกเขาเห็นภัยจากคู่ต่อสู้ของเขาคนนี้ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2544 เขาคิดกำจัดด้วยการยื่นให้สอบสวนคดีซุกหุ้น เป็นการตัดไฟต้นลม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณรอดมาได้ และมีโอกาสขยายพืชพันธุ์ประชาธิปไตยลงในระดับรากหญ้า
เพียงระยะเวลา 4 ปี พืชพันธุ์นี้เติบโตงอกงาม และทำท่าเหมือนกับว่าจะลุกลามขึ้นเต็มพื้นที่ประเทศ ไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้พืชพันธุ์ชนิดอื่นได้หยั่งรากอยู่อาศัย
โครงการกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณจึงเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของคนหลายฝ่ายดังที่เราทราบกันดี
แต่การคิดกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณออกจากการเมืองด้วยวิธีการประชาธิปไตย คือใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม-ธรรมดาเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกใช้วิธีพิเศษ
1.คือลอบสังหาร
2.คือการยึดอำนาจโดยใช้กำลังทหาร
คนเหล่านี้เป็นคนมีสมอง มีสติปัญญา และมีประสบการณ์ พวกเขาพากันคิดว่าถ้า พ.ต.ท.ทักษิณตายไปเสียคนหนึ่งประเทศก็จะสงบเรียบร้อย อยู่ในอุ้งมือพวกเขาต่อไป
เขาลืมคำพูดของเหมา เจ๋อ ตุง ที่เคยบอก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่ากับคอมมิวนิสต์นั้นจงอย่าฆ่า เพราะถ้าตายคอมมิวนิสต์จะเป็นวีรบุรุษ คอมมิวนิสต์ชอบเป็นวีรบุรุษ
กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นต่างกันที่เขาไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่เหมือนกันตรงที่การรุมกำจัดเขายิ่งทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษ
การไม่มีตัวตนอยู่ในประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ 5 ปี ยิ่งทำให้ประเทศมีปัญหาพัลวันพัลเก
การปรองดองโดยแสร้งทำเป็นแลไม่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
ยิ่งปฏิเสธเขาก็ยิ่งเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที
ใครมีหน้าที่แก้ปัญหานี้จะคิดอ่านกันอย่างไรก็ขอให้รีบทำเถิด
วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555
ทหารยันไม่ว่างทำปฏิวัติ
พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์วันก่อน (โลกวันนี้)
เนื้อข่าวคือมีไอ้เสื้อกากออกมาบอกว่าจะมีปฏิวัติอีกแน่นอน
ผู้สื่อข่าวก็ต้องวิ่งกันวุ่น ไปถามคนต่างๆนาๆ เพื่อฟังความคิดเห็น
แน่นอน ไอ้ฆาตกรเด็กจะทำอะไรไปได้มากไปกว่า ต้องเห็นด้วย
เพราะไอ้เสื้อกาก ออกมาถล่มพรรคคู่แข่ง(แทนตัวเอง)
แต่ยังดีที่ไม่ได้บอกเห็นด้วยกับเรื่องที่จะมีปฏิวัติ (เพราะงวดนี้
ดูท่าว่าถึงเขาปฏิวัติกันจริงๆ ส้มก็คงไม่มาหล่นแถวๆพรรค)
เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์ อุตส่าห์อุ้มยัดลงเก้าอี้ ให้เวลา
เป็นไม้เป็นมืออยู่สองปีกว่า ทำงานหมาไม่รับประทาน
แทนที่จะได้ดอกไม้ กลับกลายเป็นก้อนอิฐ เขวี้ยงใส่พรรคไม่พอ
ยังกระเด็นกระดอนเข้าไปยังกองทัพจนรับมือแทบไม่ทัน
โชคดีมากู้ชื่อได้ตอนออกไปช่วยน้ำท่วม แต่พอมีคนโยนเผือกร้อน
มาให้รับอีก เลยต้องแก้ตัวกันอีกรอบ ล่าสุด รองโฆษกทบ. พ.อ.วินธัย
สุวารี ออกมาบอกว่า ทหารมีภารกิจหลายเรื่อง งานหนักๆทั้งสิ้น
อันเป็นเหตุให้นสพ.ไปพาดหัวว่า "ไม่ว่าง" ไม่มีเวลาพอทำปฏิวัติ
ประเทศเนี้ยมันแปลกตรงนี้แหละ ประกาศปาวๆว่าเป็นประชาธิปไตย
จัดการเลือกตั้ง แต่รับผลการเลือกตั้งไม่ได้ พอพวกตัวไม่ได้เป็น
รัฐบาล ต่างพากันออกมาถล่ม ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ เอาเถอะ เรายินดีรับฟัง
ถ้าการตำหนิติว่ามันเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ติเพื่อก่อ
แต่ที่ไหนได้ เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ก็หยิบยกจับมาเป็นประเด็น
ทำความระคายเคืองเขาไม่ได้ เพราะเขาก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน
แก้ปัญหาบ้านเมืองไปเรื่อย เลยต้องหาตัวช่วย เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ
ทหารไทยก็จริงๆ แทนที่จะยืดอกตอบไปตรงๆว่า ในประเทศที่
ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่มีทหารคนไหนจะทำปฏิวัติได้
ดั๊นตอบว่า มีภารกิจเยอะแยะ ไม่ว่างทำ
แปลว่าอะไร แปลว่า ถ้าฝนแล้ง หมดหน้านา ว่างๆก็จะทำอีกหรือไง
เมื่อไหร่ทหารไทยจะกล้าพูดตรงๆให้ประชาชนอุ่นใจได้สักทีว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระบอบรัฐสภา ทหารไม่มีหน้าที่ที่จะเข้าไปจัดการ
มันยากนักหรือไง(วะ)ที่จะออกมาพูดแบบนั้น
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555
ไม่ใช่ว่า"คุณไม่ได้เลือก"
บ้างก็ว่า เป็น"พวกมากลากไป" บ้างก็อุตส่าห์ประดิษฐ์คิดคำใหม่
หาว่าเป็น"เผด็จการรัฐสภา" มาล่าสุดมีไอ้หัวกลวงบอกว่าเป็น
"เผด็จการจากการเลือกตั้ง"
การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย มีผู้เสนอตัว(ตามรัฐธรรมนูญ
ฉบับปัจจุบัน) คุณก็ต้องสังกัดพรรค ดังมีสโลแกนของพรรคยอดนิยม
ว่า "พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค" ดังนั้นหากพรรคใดได้รับความนิยม
แม้โดยส่วนตนอาจไม่โด่งดังนัก แต่ได้สังกัดพรรคที่คนชอบ
โอกาสที่จะเป็นสส.ก็จะมากขึ้น
ผลการเลือกตั้ง ถ้าพรรคใดได้รับเสียงสนับสนุน ประชาชนเลือกเข้ามามาก
ก็จะได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศไปตามนโยบายที่หาเสียงไว้
เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจง่ายๆ เพราะประชาชนเลือกเข้ามา เพราะชอบนโยบาย
หากไม่ทำตามที่หาเสียงไว้สิ จะเป็นเรื่อง
เหมือนพรรคการเมืองบางพรรค ติดป้ายหาเสียงไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ว่า"99 วัน ทำได้จริง" แต่ก็ไม่ชนะเลือกตั้ง กลับไปใช้วิธีสกปรกโสมม
(ที่ใครๆก็รู้ แอบเข้ามาบริหารประเทศตั้ง2ปีกว่า หากไม่นับรวมความชั่ว
ที่สั่งปราบ ฆ่าประชาชนกลางกรุง ไอ้ที่บอก99วันก็ไม่เห็นจะทำอะไรได้สำเร็จ)
มิหนำซ้ำ ตอนแอบไปแถลงนโยบายที่กระทรวงต่างประเทศ
ยังออกคำสัญญาเรื่องกฎเด็ก เอ๊ยกดเหล็ก เอ๊ย กฎเหล็ก
ว่าจะฟันคนที่โกงกิน แต่พอเข้ามาบริหาร ก็มีเรื่องฉาวโฉ่
โกงกินสารพัด ทั้งนมบูด ปลากระป๋องเน่า เสาธงแพง แหล่งกดน้ำพิลึก
ต่างๆนาๆสาธยายไม่หมด ไอ้กฎบ้าๆก็ไม่เห็นจะได้ควักออกมาใช้
ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ขนาดกุมอำนาจรัฐไว้ในมือ ยังแพ้เลือกตั้งหลุดลุ่ย
โดยปกติเมื่อแพ้เลือกตั้งก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน บร๊ะนี่อะไร ยังหลงไหลได้ปลื้ม
กับตำแหน่งรัฐบาลกำมะลอที่ไปฉกชิงเขามา ดั๊นไม่ยอมเป็นฝ่ายค้านแต่โดยดี
กลับไปซุ่มตั้งรัฐบาลเงา แล้วทำหน้าที่ฝ่ายแค้น เต็มรูปแบบ
รู้ทั้งรู้บ้านเมืองกำลังมีปัญหา จำเป็นต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนที่จะช่วยกัน
ประคับประคอง ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้ นี่อะไรกลับจ้องทุกเม็ด กะจะเด็ดทุกมุม
เผลอไม่ได้ ยื่นโน่นยื่นนี่ หาพวกป่วนเขาไปทั่ว เพราะรู้ดีว่า ด้วยเสียงที่ได้มา
น้อยนิด ทำอะไรในสภาก็แพ้เขาเรื่อยไป เลยหาช่องหารูที่จะขัดแข้งขัดขา
หาพวกหาพ้องที่จะช่วยกันสกัดการทำงานของรัฐบาล ซึ่งได้ผลบ้าง
ไม่ได้ผลบ้าง บางหน่วยก็รับลูก ออกมาช่วยปัดแข้งปัดขา แต่ก็ทำได้แค่นั้น
เพราะพวกนั้นก็ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ จะเล่นงานรัฐบาลก็ทำไม่ได้
เลยได้แต่ตอมหึ่งๆดังแมลงหวี่ ที่แม้แต่จะกัด จะต่อยก็ไม่มีปัญญา
ทำได้แค่เพียงให้เกิดความรำคาญ
นอกเหนือจากองค์กรต่างๆนาๆที่ฝ่ายแค้น พยายามจะไปยืมไม่ยืมมือมาจัดการ
ก็ยังไม่สำเร็จ เลยต้องมีพวก"เสมอนอก" ออกมาช่วยประโคม
บ้างก็ว่า อย่ามาใช้เสียงข้างมากในสภาจัดการอะไรไปตามใจนะ
ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่ได้เลือกคุณมา ฉันเป็นเสียงที่
ดังกว่า
โธ่ถังกาละมังแตก การกล่าวอ้างเช่นนั้นก็ถูก มีผิดอยู่นิดเดียว
นิดเดียวจริงๆตรงที่ว่า "พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาอ้างว่า คุณไม่ได้เลือก
พรรคเพื่อไทย" คุณได้สิทธิ์ไปเลือกตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ของพวกนี้
ก็มักไม่ค่อยออกไปเลือกตั้ง แล้วยังมาอ้างว่าเป็นพลังเงียบ
คงไม่รู้ว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เขาเอาเสียงข้างมาก
เลือกพรรคเข้ามาบริหารประเทศ ไอ้ประเภท "พลังเงียบ" น่ะหาได้มีความหมายใดๆไม่
หรือหากคุณได้ออกไปเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องทำใจว่า คุณได้เลือกแล้ว
เพียงแต่พรรคที่คุณเลือก แพ้การเลือกตั้งไง ทีหลังก็อย่ามาพูดอีกว่า
พรรคที่บริหารงานอยู่นี้ เป็นพรรคที่คุณไม่ได้เลือก กลับไปทำการบ้าน
หาทางช่วยให้พรรคที่คุณเลือกได้กลับมาเป็นรัฐบาลจะดีกว่า
แม้มันอาจจะนานหน่อย แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว แพ้อีก 20-30ปี
ก็อาจพลิกกลับมาชนะได้นา อย่าประมาท ทางที่ดีก็ต้องเลิกเห่าหอน
ใส่ร้ายพรรคที่เขาชนะเลือกตั้งเสียด้วยล่ะ เพราะยิ่งทำ พรรคที่พวกคุณ
เลือก ที่คอยเชียร์ ยิ่งตกต่ำไปเรื่อยๆ เผลอๆ แค่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านก็อาจชวดด้วยซ้ำ
วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555
มีคนปูแล้วก็ต้องมีคนปิด
ด้วยว่า ไอ้ฆาตกร หรืออีกขื่อคือนายกฯเงา ได้เดินทางไปญี่ปุ่น แล้วแถลงก่อนไปและหลังกลับมาว่าได้ไปทำการปูทางให้นายกฯตัวจริง
ก่อนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
ซึ่งตามข่าวว่า ได้ไปพบอดีต(ย้ำอดีตนายกฯญี่ปุ่น) และนักธุรกิจ (ซึ่งไม่มีภาพมาโชว์) มีแต่การไปให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
ที่มีคนนั่งร่วมแถลงอยู่แค่ 3คน ส่วนภาพอื่นๆก็มีภาพการพบปะกับคนไม่กี่คน ที่สำคัญไม่มีรายละเอียดว่าเป็นใครบ้าง
โดยเฉพาะภาพข่าวที่ถ่ายคู่กับอดีตนายกฯญี่ปุ่น ก็ไม่มีรายละเอียดในข่าวว่า ได้พูดคุยอะไรกันบ้าง
และการพูดคุยนั้นเป็นการปูทางอย่างใด อนึ่งอดีตนายกฯยี่ปุ่นท่านก็ไม่ได้ทรงอิทธิพล เหมือนอดีตนายกฯไทย
บางคนที่ เป้นนายกฯมาแปดปี อดีตเป็นเบอร์หนึ่งของทหารที่ยังทรงอิทธิพลอยู่ (โดยการยกยอและคิดเอาเอง)
ในเมื่อมีคนไปปูทางแล้ว นายกฯตัวจริงก็ไปเยือนอย่างเป็นทางการ ป้าจึงเห็นควรต้องไปปิดงานให้เรียบร้อย
อันที่จริง เมื่อต้นเดือนป้าก็เดินทางไปปูทางให้นายกฯเงามารอบหนึ่งแล้ว เพื่อให้งานเรียบร้อย ป้าก็จะเดินทาง
ไปปิดงานอีกรอบ ในกลางเดือนหน้า
ในการไปครั้งนี้ ก็จะได้ไปพบพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายด้าน เช่นด้านธุรกิจโรงแรม การค้า อาหารและการท่องเที่ยว
ในครั้งนี้ กะจะไปดูงานหลายเมืองอยู่เหมือนกัน เพื่อให้การไปปิดงานครั้งนี้เป็นไปโดยเรียบร้อย จึงแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555
หิริโอตัปปะ
ได้อ่านคอลัมน์ธรรมะของท่านพระพยอม กัลยาโณ ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ วันก่อน
ท่านเขียนถึงเรื่องจริยธรรมนักการเมืองที่กำลังฮือฮา ตรวจสอบกันให้วุ่น กล่าวหา ด่าทอ
กันต่างๆนาๆ ว่าคนนั้นไม่มีจริยธรรม คนนี้ ทำผิดจริยธรรม(เพราะเอาเวลาราชการไปคุยงานที่โรงแรม)
แต่เวลาทำงานวันเสาร์วันอาทิตย์ หรือดึกๆดื่นๆ กลับเงียบ ไม่ออกมาโวยวายบ้างว่า
นายกฯทำงานมากเกินไป ใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปแก้ไขปัญหาของประเทศ ใช้ไม่ได้จริงๆ
ยิ่งทำงานหนัก ภาพ อดีตนายกฯที่ได้รับสมญานามว่านายกฯดีแต่พูดยิ่งแจ่มชัด
เพราะรายนั้น งานหลักเมื่ออยู่ในตำแหน่งคือเกาะโพเดี้ยม เอาแต่พูดๆ และพูด ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลไม่ปรากฎ
พอพ้นตำแหน่ง ไม่มีงานทำหนักเข้าไปอีก เพราะไม่ค่อยมีคนเชิญไปพูด โธ่ถัง คนไม่มีผลงานใครเขาจะให้ไปพูด
จะเอาข้อคิด ความเห็นและผลงานอะไรไปแสดง เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น จะไปบอกคนอื่นได้อย่างไรว่า
ประสบความสำเร็จเพราะทำงานหนัก หัวดีหรืออะไร เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าที่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ
นั้นไม่ได้มาด้วยทางปกติ อ้างตะพึดตะพือว่าชนะเสียงโหวตในสภา (ทั้งๆที่แพ้เลือกตั้ง)
คงไม่ต้องขุดคุ้ยว่าวิธีการเป็นอย่างไร เพราะคนเขาก็รู้กันทั่วแล้วว่าไอ้ที่ได้นั่งเก้าอี้เพราะ
มีคนอุ้มเข้ามา แล้วมันน่าภูมิใจตรงไหน
เมื่ออยู่ในตำแหน่ง แทนที่จะใช้ความสามารถสร้างผลงานให้คนจดจำ กลับทำไม่ได้ ภาพจำ จึงออกมากลายเป็นนายกฯมือเปื้อนเลือด
เอาเถอะ ความผิดอาจสาวไปไม่ถึง แต่ ก็คงหนีไม่พ้นภาพที่ว่าสมัยเป็นนายกฯ มีการล้อมปราบประชาชน จนมีคนบาดเจ็บล้มตาย
มากมายเกินกว่านายกฯทรราษฎร์คนใดๆในประเทศนี้
อารัมภบทไปไกล ว่าจะเขียนเรื่องหิริโอตัปปะ แปลเป็นไทยง่ายๆว่าความละอายต่อบาป
พระพยอมท่านว่า แค่คนมีความกลัวต่อการทำความชั่ว เกรงกลัวต่อการทำบาป
โลกนี้จะน่าอภิรมย์สักเพียงไหน การตัดสินใครว่าดี ว่าชั่ว ก็ดูได้จากข้อนี้แหละ
หากกล้าพูดในสิ่งที่ไม่จริงโดยไม่ละอาย กล้าทำในสิ่งที่ผิด โดยไม่สำนึกว่าผิด
อย่างนี้แหละที่เรียกว่าขาด"หิริโอตัปปะ" เมื่อขาดสิ่งสำคัญนี้เสีย เราก็จะเห็น
คนหลายๆคนที่เราเคยคิดว่าเป็นคนดี กล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าผิด บาป
แต่กลับไม่สำนึก ไม่มีความละอาย อย่างพื้นๆที่สุด คือการพูดไม่จริง พูดไม่หมด
พูดแค่ครึ่งเดียว การไม่ละอายต่อบาป การที่ไม่รู้ว่าการโกหกนี่แหละ เป็นบาป เลยทำให้
หลายคนพูดความเท็จ เพียงเพื่อจะให้ร้ายฝ่ายตรงกันข้าม กล้าที่จะปั้นเรื่องที่ไม่มีมูลมากล่าวหาผู้อื่น
จึงขอสรุปว่า เพียงแค่เรามี "หิริโอตัปปะ" ประเทศจะน่าอยู่ขึ้นมากมาย
แต่เห็นทีจะเป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งๆ เพราะประเทศนี้มีคนหน้าด้านหน้าทนอยู่เยอะเหลือเกิน
ไม่ต้องไปกังวลกับความละอายต่อบาป ขนาดจับได้ว่าโกหกชัดๆ ยังแถไปได้หน้าด้านๆ
คิดดูแล้วกันว่ามีใครบ้าง