วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อยู่ร่วมประเทศกัน มันก็ต้องกระทบกันบ้าง

เอาง่ายๆก่อนเลย เรื่อง ค่าแรงขั้นต่ำ 300บาทต่อวัน เห็นออกมาตีโพยตีพาย
ว่าทำไม่ได้ ทำแล้วกระทบบริษัท ทำแล้วบริษัทอยู่ไม่ได้

ส่วนนักวิชาการฝั่งโน้นก็ออกมาทันที ไม่ว่าจะต้องทำให้ทั่วถึงกันทั้งประเทศ ลามปามไป
โน่นเลยถึงแรงงานต่างด้าว บ้างก็ตำหนิติว่าต่างๆแล้วแต่จะนึกอะไรมาขัดแย้งได้

ทำให้นึกถึงสำนวนไทยที่ว่า"ติเรือทั้งโกลน"ซึ่งแปลว่า"ติสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จหรือยังไม่รู้ว่าอะไรป็นอะไร"
เป็นการตีตนไปก่อนไข้โดยแท้

การออกนโยบายอะไรมาใช้ในสังคม ก็ต้องกระทบกับคนทุกคน บางคนก็ต้องว่าดี ส่วนบางคนก็อาจได้ผลลบบ้าง(เช่นนายจ้าง)
เพราะเราอยู่ในสังคมเดียวกัน คงไม่มีอะไรที่จะดีกับคนทุกคน ในเวลาเดียวกันได้แน่นอน

บริษัมห้างร้านที่ออกมาโวยวายว่าทำไม่ได้ต้องขาดทุน เลิกกิจการแน่นอน
ก็ทำให้คิดว่าเป็นพวกใจเร็วด่วนได้ มีอคติครอบงำโดยแท้ เพราะพูดออกมา
โดยยังไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ ยังไม่พยายามทำความเข้าใจ ติเอาไว้ก่อน
เพียงเพราะได้รับการโปรแกรมมาว่า ต้องไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย กับรัฐบาลนี้
รัฐบาลที่ไม่ใช่พวกของตัว (เพราะดันไปสนับสนุนทางด้านการเงินเอาไว้มั้ง)
เลยคิดว่าเมื่อเป็นเจ้าของเงินก็ต้องเป็นเจ้าของพรรคด้วย

ดังนั้นเมื่อพรรคที่ตัวสนับสนุนเกิดพ่ายแพ้ ทำให้แผนงานที่คิดจะทำต่อไปก็ต้องพังไป
ไอ้เรื่องจะเจ๊งจริงๆนั้นคงยาก เพียงแต่กำไรที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำ
เพราะเอาเปรียบค่าแรงงานไว้คงจะลดน้อยถอยลง แต่หากตั้งใจรับฟัง
หาหนทางแก้ร่วมกันอะไรๆก็จะดีขึ้นเอง ไม่ใช่ออกมาติเสียตั้งแต่เริ่มเช่นนี้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าบริษัทใหญ่โตเหล่านี้ปรับตัวได้(หากคิดจะปรับ)
หากพวกเขาเชื่อในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่อกแว่ก ไม่เชื่อใน
อำนาจนอกระบบ ไม่นานก็ต้องหันมาปรองดองกับรัฐบาลใหม่ ไม่คอยแต่ตั้งแง่
ตำหนิติเตียน แต่หาก พวกเขายังเชื่อในอำนาจนอกระบบ ก็ต้องคิดว่ารัฐบาลนี้อยู่ได้ไม่นาน
เดี๋ยวก็ต้องไป เลยออกมาตำหนิเพื่อให้เกิดผลงานเข้าตาเสียละมากกว่า

จึงสรุปว่า ไม่มีนโยบายใดที่ไม่กระทบใครเลย เพียงแต่ต้องศึกษาดูว่า
มันกระทบเป็นวงกว้างต่อคนส่วนใหญ่หรือไม่ หากแต่เป็นผลดีต่อคนส่วนใหญ่
ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ถึงกับต้องลืมตาอ้าปากได้ แต่มีความสุข
มีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงน้อยนิด ก็น่าจะยอมๆกันบ้าง

ไม่มีความคิดเห็น: