

นายกฯหรือนักการเมืองไทยก็จะผิดจริยธรรม มีโทษทั้งนั้น
อ้างถึงการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ของแก้วสรร อติโพธิ์
ทางทีวี เขาว่า เรื่องนี้ศาลตัดสินคุณทักษิณ เพราะขาดจริยธรรม
ข้อหาเดียวกับคุณสมัครเปี๊ยบ เขายังว่าอีกว่า อีกหน่อยนักการ
เมืองต้องระวังข้อนี้ ให้มาก
กล่าวคือ อันที่บอกว่า ผลประโยชน์ส่วนตัว กับผลประโยชน์ชาติ
อะไรนี่แหละค่ะ ฟังแล้วก็แปลกพิลึก เขาคงเอาไว้ฟันนักการเมือง
ฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้น คิดอะไรไม่ออกก็ให้ฟ้องว่าสงสัยว่ามันจะ
ขัดจริยธรรม หรือผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรเนี่ยแหละค่ะ
จึงเห็นได้ว่ามันเป็นเครื่องมือที่ชงัดที่สุด เพราะเป็นข้อหาที่เป็นนามธรรม
มากๆ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนวินิจฉัย กับบางเรื่องบางคน จะยกเสียก็ได้
ส่วนคนที่จะหาผิด ก็หยิบยกมาใช้ได้สบายๆ หน้าม้า เขาพูดเองนะคะ
ถึงไม่ตรงอย่างนี้แต่ก็มีความหมายคล้ายๆอย่างนี้แหละค่ะ เขาว่าอีกหน่อย
เมื่อหาหลักฐานเอาผิดใครไม่ได้ เมื่อตั้งข้อหาว่าเขาโกง ก็เอากม.ข้อนี้ไปจับ
(หมายความว่าเสร็จทุกราย เพราะบอกแล้วว่าเป็นนามธรรมมากๆ หาได้มี
แก่นสารให้จับได้ไม่)
แต่อีตานี่ ก็แย่เอามากๆ คิดอะไรไม่รู้ เอาไปเปรียบกับเรื่องพระกับสีกา
ที่พบในห้องสองต่อสอง มีสัมพันธ์กันหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่พระก็ผิดวินัยอยู่ดี
มันจะยกตัวอย่างเรื่องอื่นไม่ได้หรือไง หรือในหัวมีแต่เรื่องเพศ
คิดดูเถอะค่ะ อีกหน่อยจะกลั่นแกล้งใคร ก็เอาข้อนี้แหละ ผิดจริยธรรม
เอาไว้ก่อน ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ก็ผิดจริยธรรมอยู่ดี
เหมือนกม.บ้าๆบอๆของไทยอีกข้อที่น่าจะยกเลิกเสีย เพราะมันกลายเป็น
เครื่องมือที่ใช้ประหัตประหารกัน เพราะการตีความสามารถทำได้กว้างขวาง
ทั้งๆที่มีเนื้อหาอยู่นิดเดียว แต่เปิดโอกาสไว้ให้คนตัดสิน สามารถยกพจนานุกรม
หรือสุภาษิต คำพังเพย ฯลฯ มาจับแล้วตัดสินเอาได้ตามใจชอบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น