วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อาทิย์ อุไรรัตน์

ถูกเรียกขานว่าสุภาพบุรุษประชาธิปไตย เพียงเพราะ เปลี่ยนชื่อนายกฯที่ต้องนำถวาย
ในวินาทีสุดท้าย เลยได้นายกฯอานันท์ เข้ามาเป็นแทน สมบูรณ์ ระหง

ดีหรือไม่ไม่ทราบ แต่ช่วงนั้น คนตบมือตีตีน เชียร์ว่าทำถูก ทำดี กันทั้งนั้น
โชคดี ที่ปัจจุบันการเลือกนายกฯต้องทำในสภา ไม่งั้นได้มีการเล่นพิเรนท์อีกแน่ๆ

เมื่อกลายเป็นสุภาพบุรุษประชาธิปไตย แต่ทำผิดธรรมเนียม ก็ต้องมารู้จักแกกันหน่อย
ยิ่งตอนนี้ สุภาพบุรุษของใครไม่รู้ แกขู่ฟ่อดๆว่าจะปิดถนน หากรัฐไม่แก้ไขปัญหาน้ำท่วม
มหาวิทยาลัยของแก

อาทิตย์ อุไรรัตน์ มีชื่ออยู่ในสื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา บางครั้งก็จงใจให้ข่าว
บางครั้งก็คงไม่อยากให้เป็นข่าว แต่เผอิญคนเขาสนใจ(เช่นเรื่องของลูกสาว)

อาทิตย์ อุไรรัตน์ ภาพที่ปรากฎ ชัดคือ เป็นนักการเมืองที่แม้จะเคยมีพรรคของตนเอง
แต่ลึกๆก็แอบเชียร์ปชป. อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ซ้ำเคยลงแข่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
แมลงสาบด้วย คิดดูแล้วกันว่าเป็นคนหัวใจปชป.หรือไม่

แม้ปัจจุบันจะบอกวางมือจากการเมืองแล้ว แต่ก็มักให้ความเห็นหรือแสดงทัศนวิจารณ์เรื่องการเมืองอยู่บ่อย ๆ
ตามสื่อสารมวลชนโดยเฉพาะทางช่อง ASTVและสื่ออื่นในเครือผู้จัดการ คิดดูแล้วกันว่าคนอย่างนี้
จะเชื่อได้ว่าเป็นคนที่เป็นกลาง ไม่มีอคติต่อรัฐบาลนำโดยท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้อย่างไร

ล่าสุดที่ออกมาขู่ว่า จะปิดถนน แหม วางตัวเป็นนักวิชาการ วางตัวว่าสูงส่ง
มีทัศนคติดีงาม แล้วออกมาขู่ปิดถนนเนี่ย มันไม่ทุเรศไปหน่อยหรือ
จริงอยู่ ปัญหาที่เกิด(น้ำท่วมขัง) ต้องได้รับการเยียวแก้ไข แต่การ
ออกมาขู่ มันดูไม่สวยนะทั่น แล้วมันเผอิญมาตรงกับวาระที่ปชป. ฉายเดี่ยว
กะจะอัดรัฐบาลโดยผ่านคุณประชา พอดิบพอดี

เลยยากที่จะเชื่อว่าทำไปด้วยความเดือดร้อนจริงๆ เพียงแต่รับงานมาทำให้
ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จัดการอะไรไม่ได้เลย ถ้าหากว่ารัฐบาลเพิกเฉยจริง
ก็ไปอย่าง นี่ก็ทำอยู่ไม่มีวันหยุด หากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ป่านนี้ได้ท่วมกัน
ทั่วถึงแล้วแน่ๆ นี่ก็พยายามบริหารจัดการน้ำอยู่ เพราะปัญหามีรอบด้าน อาทิตย์เอง
ก็รู้ ว่าคลองประปาเป็นเรื่องใหญ่ แล้วจะออกมาขู่ทำไม

ภาพความเป็นกลางไม่มี แล้วยิ่งทำเพื่อมหาวิทยาลัยของตน ยิ่งดูไม่สวยใหญ่เลยนะจ๊ะ

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ได้ไม่คุ้มเสีย

จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องฮ็อตฮิตติดชาร์ตอยู่ในขณะนี้


ก็ไอ้เจ้าSMS เจ้ากรรม พาเจ้าของเครื่องติดคุกไปเสีย 20 ปี

เรื่องของเรื่องที่ยังคุยกันไม่รู้จบ ในขณะนี้มีหลายหัวข้อ ซึ่งสร้าง
ความมึนงงสงสัยแก่คนได้รับรู้ข่าวสารกันไม่น้อย

เรื่องเทคนิคที่ ตัดสินก็แปลก เนื่องจากจำเลยไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมา
ยืนยันว่าตนอาจไม่ได้เป็นคนส่ง ศาลจึงไม่ยกประโยชน์ให้

แต่ที่มันติดใจจนต้องตื่นมาเขียนคือ ม.112 มีเนื้อหาสั้นมาก ไม่มีรายละเอียด
อื่นใดมากกว่านี้ จึงขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ" ของศาลในการตัดสินเท่านั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (1) พระมหากษัตริย์ (2) พระราชินี (3) รัชทายาท
หรือ (4) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”


อันนี้แหละค่ะน่าสนใจ ว่าแค่ไหนอย่างไร เมื่อไม่มีกำหนดไว้ชัดเจน คำตัดสินจึงไปขึ้นกับผู้พิพากษา
ซึ่งท่านก็เป็นคน ที่มีอคติ มีความเชื่อต่างๆกันไป บางท่านอ่อนไหวหน่อย
เห็นแล้วสะเทือนใจมากก็จะเห็นว่าผิดมาก
แต่บางท่านบางคนอาจบอกว่าเอาน่าเรื่องเล็กน้อย ให้อภัยได้ มีเรื่องชวนสงสัย
ที่สามารถจะยกประโยชน์ให้จำเลยได้มากมาย แต่ท่านก็ไม่ทำ ตัดสินเสียเต็มเหนี่ยว
เอาไปข้อความละ 5ปี รวมเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 20ปีไม่ลดสักปี

แต่ที่ข้องใจจนนำมาเขียนวันนี้ไม่ใช่เรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องข้อกม. แต่เป็นเรื่องความเข้าใจส่วนตัวล้วนๆ

กล่าวคือ คำว่า SMS ซึ่งมีคำเต็มว่า Short Message Service แปลเป็นไทยว่าการส่งข้อความสั้นๆ
เขากำหนดไว้แค่ครั้งละ140ตัว(เท่ากับทวิตเตอร์นะคะ) หากอยากเพ้อมากกว่านี้ ต้องแบ่งส่งเป็นหลายๆข้อความ

แล้วSMS จะส่งไปถึงเฉพาะเบอร์ที่เราเลือก จริงอยู่อาจส่งได้ทีละหลายๆเบอร์แต่ในเคสนี้ เขาส่งไปให้แค่เบอร์เดียว

ต่างจากทวิตเตอร์ที่พิมพ์ทีเดียวมีคนเห็นมากกมาย แล้วแต่จำนวนคนตามเรา แต่บางทีพิมพ์จี๊ดถูกใจ ก็จะมีคนเอาข้อความเราไปทวีตต่อ

ประเด็นสำคัญคือ เมื่อส่งเป็นSMS คนที่รู้จึงน่าจะมีคนเดียว นอกจากเราจะเอาเครื่องไปโชว์
ดังนั้นคนได้รับ ตามข่าวเป็นเลขานุการนายอภิสิทธิ์ จึงมีคนเดียว

หากข้อความดังกล่าว(ซึ่งก็ไม่เคยมีใครรู้ เพราะเขาไม่เคยบอก) เป็นการกระทำผิด ตามม.112จริง คือดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายจริง ก็น่าจะรู้แค่คนได้รับสารนั้น

หากเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร หวีดว้ายแล้วกดลบทิ้งแทบไม่ทัน ใช่หรือไม่ อย่างดีคุณก็คงแอบเอาไปให้เพื่อนดู สังเกต :ต้องแอบนะคะ
เพราะต่างก็รู้ดีว่ามันผิดกม.

ก็เมื่อเป็นแค่การส่งไปให้คนเพียงคนเดียว เผอิญมันบ้าจี้ เอาไปฟ้องร้อง ศาลท่านก็ดันคิดไม่เหมือนขาวบ้าน
ท่านคงคิดว่ามันผิดร้ายแรง เลยตัดสินเสียเต็มเหนี่ยว ทีนี้ข่าวก็เลยดังไปทั่วโลก ไอ้ที่จะรู้แค่เพียงคนส่งกะคนรับ
เลยกระจายไปเป็นวงกว้าง ไอ้ที่จะเสนอข่าวเฉยๆ ประเทศเราก็ไม่ได้ดังขนาดนั้น เลยต้องมีการท้าวความ
อธิบายที่มาที่ไปลงไปสักเล็กน้อย ทีนี้เลยดังกันสมใจ เข้ากับคำพังเพยที่ว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" ล่ะค่ะ

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วุฒิภาวะ

คนบางคนแม้จะแก่หรือเรียกอย่างสุภาพว่ามีวัยวุฒิ ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะมีวุฒิภาวะ คือแก่แต่เพียงอายุ แต่ความคิดอ่านแต่จิตสำนึกยังบกพร่องอยู่มาก

ด้วยเหตุที่ในขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่หลวง
บ้างก็ว่าในรอบ 50 บ้างก็ว่าอาจถึง 100ปี ที่มีน้ำท่วมใหญ่
เป็นการท่วมที่รุนแรงและกว้างขวาง

เขาว่าวิกฤตน่าจะทำให้เกิดโอกาส โอกาสที่จะได้ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อช่วยกันแก้ไข
ช่วยกันเพื่อจะช่วยให้ภัยครั้งนี้ไม่รุนแรง ไปจนแทบไม่มีอะไรเยียวยาได้

น้ำท่วม มองในแง่ดี อย่างน้อยผืนดินก็ยังอยู่แม้จะต้องเสียเงิน
มากมายในการบูรณะ บ้าน โรงงาน ที่ทำกิน แต่เราก็ยังมีผืนดินอยู่
น้ำไม่สามารถพัดพาเอาไปได้ ดีกว่าเสียหายจนไม่เหลืออะไรสักอย่าง
เราต้องมองไปข้างหน้า ฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

จึงเห็นว่ารัฐบาลที่นำโดยพณฯท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้รอจนน้ำลด
ที่จะเร่งฟื้นฟู บูรณะประเทศ โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุด
เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประเทศเกิดปัญหา
เช่นนี้ซ้ำขึ้นมาอีก

หนึ่งในคณะกรรมการ จากสามชุดที่ว่า ก็มีคนแก่ ที่แก่แล้วแก่เลย
แก่แล้วด้วยวัย แต่สติปัญญายังด้อยอยู่มาก

จะใครเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่หนึ่งเดียวที่คนส่วนใหญ่ เมื่อได้ยินชื่อ
แล้วเป็นต้องตะขิดตะขวงใจ และไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เรื่องที่จะเอาชื่อมาใส่ทำไมหนอ

เพราะหลังจากถูกประกาศชื่อว่าเป็นหนึ่งในคณะทำงาน การให้สัมภาษณ์
ก็โชว์ตัวตนชัดเจน แม้แรกๆจะดูว่าคิดดีพูดดี แต่ก็หลุดออกมาในที่สุดตอนท้าย
คำพูดที่แสดงว่าขาดวุฒิภาวะเป็นอย่างยิ่ง

ถามว่าจะใช้เวลากี่ปีในการฟื้นฟู ผมไม่ทราบ แต่เวลานี้ผมอายุ 72 ปีแล้ว
ผมคงไม่ได้เห็น แต่ถ้าทำเสียแต่วินาทีนี้ ทั้ง 62 ล้านคนรับผิดชอบร่วมกันทำอย่างจริงจัง
ภายใน 5 ปี อาจจะยังพอมีหวัง แต่ถ้ายังทำแยงกันไป ตัดขากันไปอย่างนี้...ยาก
แค่ผมรับการแต่งตั้ง ยังมีทั้งคนโทร.มาเชียร์ โทร.มาตัดพ้อ

ไอ้ประโยคสุดท้ายเนี่ย ไม่พูดก็ได้มั้ง เพราะพูดไปแล้วไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
มันเป็นการตอกย้ำว่าประเทศนี้ผสมผสานรวมกันไม่ได้ มีการแบ่งแยก
เป็นฝักเป็นฝ่ายชัดเจน จริงอยู่มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็แก่ขนาดนี้แล้วน่ะนะ
คิดไม่เป็นหรือว่าไม่ควรพูด ถึงจะมีคนโทร.ไปจริง แล้วมันเกิดประโยชน์อันใด
ที่ต้องตอกย้ำ ไหนว่าจะมาช่วยชาติ แต่ทำตัวอย่างนี้ พูดอย่างนี้ กลับไปนอนรอ
ความตายที่บ้านดีกว่ามั้ง