วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำเพื่อคนคนเดียว

อนุสนธิ จากข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ที่ออกมาเสนอให้ การทำรัฐประหารเมื่อปี49 เสียเปล่า
ซึ่งหมายความ(ตามความเข้าใจส่วนตัว) ว่า รัฐประหารครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อไม่มีการรัฐประหาร
องค์กรต่างๆที่ตั้งขึ้น หรือกฎระเบียบทั้งหลาย แม้แต่การตัดสิน ย่อมไม่มีอยู่เลย

หากมองจากประชาชนคนธรรมดา ก็ต้องเห็นว่า ไม่มีข้อเสียหาย เพราะหากคิดว่าการทำรัฐประหารผิด
การกระทำใดๆ อันเป็นผลพวงของการกระทำนั้น ย่อมผิด ยกเลิกเสียก็ดีแล้ว

แต่กลับมีคนออกมาดิ้นกันทุรนทุราย ยอมไม่ได้ ทำไม่ได้ ไล่เรียงมาตั้งแต่หัวจรดหาง
แปลกจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็มองไม่ชัดว่าได้ผลประโยชน์อะไรจากการรัฐประหารนี้
แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ คนพวกนี้ เกลียดคุณทักษิณ กลัวว่าหากล้มล้างการทำรัฐประหาร
คุณทักษิณ จะพ้นผิด จะได้เงินที่ถูกยึดคืนไป (อันนี้ งานใหญ่ เพราะเอาของเขามาใช้ไปหมดแล้ว)

สรุปได้ความว่า คนเหล่านี้ ยอมรับแล้วว่า การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 เป็นการทำเพื่อ
ล้มล้างคุณทักษิณ โดยตรง เป็นการทำเพื่อล้มล้างคนคนเดียว ยอมทุกอย่าง ยอมให้ประเทศ
เสียหาย ลากทุกภาคส่วนมาทำลายจนย่อยยับ เพื่อจะทำลายคนคนเดียว โดยไม่นึกถึงประเทศชาติ

5ปีผ่านไป คุณทักษิณก็ยังอยู่ อยู่ในใจของคนส่วนใหญ่ในประเทศที่ เห็นผิดเป็นชอบ
ประเทศที่จนตรอก เพียงแค่จะล้มนายกฯที่ประชาชนรัก เขาทำกันทุกวิถีทาง แม้จะเสียหาย
ในสายตาใครก็ไม่แคร์ คุณจ้องทำลายคนเพียงคนเดียว ทำการรัฐประหาร เพียงเพราะ
อยากล้มคนคนเดียว ลองไปคิดกันดูมันคุ้มกันไหม

มาวันนี้ ประชาชนนี่แหละจะทำเพื่อคนคนเดียว เพื่อยืนหยัดให้โลกได้รู้ว่าว่า ประเทศนี้ พยายามแก้ไขในสิ่งผิด
ประชาชนจะไม่ยอมให้ มีการทำลายคนเพียงคนเดียว โดยลากลงมาพังกันทั้งระบบ

ไอ้-อี ตัวไหน ค้านคณะนิติราษฎร์ ก็ขอให้รู้ไว้เถอะว่า พวกเมิงกำลังสู้อยู่กับใคร
แค่คนคนเดียวยังเอาชนะเขาไม่ได้ แล้วนี่ ประชาชนค่อนประเทศ อยากลองสู้ดูสักตั้งก็ลองดู!

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

วัฒธรรมการดูมวย

"ตี ตี ตี....." โห ครั้งหนึ่งเคยได้เข้าไปในสนามมวย ไปดูมวยการกุศล
จำไม่ได้แล้วว่าใครชกกับใคร ก่อนมวยคู่เอก เขามีมวยไทยให้ดูหลายคู่
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าไปในสนามมวย เสียงอื้ออึง ฟังแล้วสะท้านเข้าไปในอก
คือคำว่า ตี ซึ่งคงหมายถึงให้ตีเข่า ไม่ก็ศอก เขาเชียร์กันสนั่น ดังไปทั้งสนาม
ฟังดูน่าระทึกใจ ตื่นเต้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เขาเชียร์ ฝ่ายไหน อาจจะมีกองเชียร์
ทั้งสอง ต่างก็ร้องให้ฝ่ายที่ตัวเชียร์ รุกโรมคู่ต่อสู้

ส่วนนักมวยอยู่บนเวที ไม่รู้ว่าจะได้ยินเสียงหรือเปล่า แต่ถ้าได้ยิน จะรู้บ้างไหมว่า
เขากำลังร้องเชียร์ใคร คงได้แต่บุกตะลุยเข้าไปตีคู่ต่อสู่กระมัง แต่หาก เป็นมวยไม่มีชั้นเชิง
ดีแต่เดินเข้าไปตี ไม่ดูท่าทีคู่ต่อสู้ เอาแต่บุกเข้าไปตามแรงเชียร์ เผลอๆเดินเข้าไปเอาคางให้เขา
เสยเอาได้ง่ายๆ ผลคืออาจถูกน้อคล้มคว่ำอยู่กลางเวที

คนต่อยมวย ก็คงต้องมีมาดนักมวยบ้าง มีลีลา รู้จังหวะ ไอ้ครั้นจะฟังแต่กองเชียร์คงไม่ได้
การดูมวย แล้วเฝ้าแต่เชียร์ให้นักมวยที่ตนถือหาง บุกเข้าไปน้อคคู่ต่อสู้ มันก็สนุกคนเชียร์ดีนะคะ
แต่คงต้องรู้ว่า การเชียร์ กับการที่ยืนซดกับคู่ต่อสู้มันไม่เหมือนกัน เรายืนดู ไม่ก็นั่งดู
ก็จะเห็นมุมมองที่ต่างออกไปจากคนที่ยืนอยู่บนเวที คนนั่งคนละฝั่งยังมองภาพออกมา
ไม่เหมือนกันเลย ฝั่งหนึ่งเห็นว่าน่าจะลุยเข้าไปทางซ้าย แต่คนที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม
ของเวที ก็จะเห็นว่า ที่จริงมันคือฝั่งขวาต่างหาก แต่ต่างก็ร้องตะโกนบอกทิศทางที่ตัวมองเห็น
หากคนต่อยเอาแต่ฟังกองเชียร์ เห็นท่าว่าจะสับสน ไปไม่ถูกว่าจะซ้ายหรือขวาดี

เอาอย่างนี้ดีไหม ตกลงกันก่อน ว่านักมวยที่เราเชียร์ นั้น เป็นคนที่เราไว้ใจ เชื่อในฝีไม่ลายมือ
เมื่อมั่นใจ เลือกให้ขึ้นไปชกกับคู่ต่อสู้ ก็ต้องมั่นในว่าจะชนะได้ ไม่น้อคก็เอาแค่ชนะคะแนน
เราอยู่ข้างล่าง อยู่รอบๆเวที ก็เชียร์ได้ เชียร์แต่พองาม อย่าตะโกนเชียร์จนนักชกสับสน

อะไรก็ไม่ร้ายเท่า เชียร์อย่างเดียวไม่พอ ยังตะโกนด่าทอ นักชกที่เราเลือกมาให้ขึ้นไปชก
จนเสียงดังขรมถมเถ เพราะชกไม่เหมือนกับใจ ชกไม่ดุเดือด เผลอๆ นักชกได้ยินจะเสียกำลังใจ
พาลเข่าอ่อน เปิดทางให้คู่ต่อสู้น้อคหลับกลางอากาศเอาได้ง่ายๆ

การด่าทอเสียๆหาย เพราะนักชก ชกไม่ดุเดือดเท่าที่ใจนึก อาจไม่ช่วยทำให้การชกดีขึ้น หรือดุเดือดขึ้น
แต่กลับทำให้สัสน งุนงง อยากแนะกลเม็ด เคล็ดลับ เอาไว้ไปพูดกันตอนพักยก แอบกระซิบกันเงียบๆ
ที่มุมจะดีกว่าไหมคะ ฝ่ายเราก็จะได้ยินชัดขึ้น ไม่ต้องไม่ชกสะเปะสะปะ ให้ฝ่ายโน้นจับทางได้

คนเชียร์ เก่งทุกคนแหละค่ะ มองเห็นมุมที่กว้างขวางกว่า แต่ต่อให้เชียร์เก่งอย่างไร ถ้านักชกไม่มีความสามารถ
ไม่รู้จักเอาตัวรอด เชียร์อย่าไงก็แพ้ มิหนำซ้ำ ยังมาโดนคนเชียร์ด่าทอให้เสียกำลังใจอีก ครั้งหน้าก็ขึ้นชกไม่ไหวล่ะค่ะ
เขาเรียกว่าเสียมวย

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไม ไอ้เด็กเอ๋อ ถึงยังไม่เซ็นคำสั่งให้คุณพัชรวาท วงษ์สุวรรณกลับมา

ย้อนไป ในเรื่องการปลดคุณพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ออกจากตำแหน่งผบตร.
เรื่องก็เนื่องมาจากคดีเด็กสาวพกระเบิดปิงปอง แล้วเกิดระเบิดจนเสียชีวิต
ขณะนั้นเด็กเอ๋อยังเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน จึงเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะ
ทำงานเอาหน้า (กะใครก็ไม่รู้ ) เพราะในการเกิดเหตุครั้งนั้นตำรวจเป็น
ผู้ควบคุมสถานการณ์ ซึงไม่ใช่ทหาร จึงมีคนตายแค่ 2ราย (แล้วก็ตายเองเสียด้วย)

แต่เด็กเอ๋อ ทนไม่ได้ อาจเพราะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการด้วย จึงนำเรื่องไปร้องปปช.
ให้ปลดพรชวาท โปรดสังเกต ว่าปปช.จึงมีคำสั่งให้ปลดออกโดยมีความผิด
ซึ่งคุณพชรวาทได้อุทธณณ์คำสั่ง และในที่สุดก็ชนะ ว่าการปลดนั้นไม่ถูกต้อง
แต่จนป่านนี้ ไอ้เด็กเอ๋อ ยังไม่ได้เซ็นในคำสั่งให้กลับมารับราชการดังเดิม
จริงอยู่ คุณพชรวาทเกษียณอายุราชการไปก่อน แต่เรื่องนี้ไม่จบ เพราะ
มันมีผลต่อการรับบำเหน็จบำนาญ

เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว มาดูรายละเอียดกันต่อ เมื่อเด็กเอ๋อเข้ามาเป็นนายกฯ
ปปช.จึงมีคำสั่งปลด(ตอนแรก ย้ายไปประจำสำนักนายกฯก่อน แปลว่าแขวนเอาไว้เฉยๆ
เป็นที่รู้กันว่าข้าราชการไม่ว่าใครหากถูกย้ายไปประจำสำนักนายกฯ แปลว่าตายแล้ว
จากระบบราชการ เปรียบเสมือนนอนรออยู่ในห้องดับจิต รอเวลาที่ญาติจะมาขอรับ
ไปบำเพ็ญกุศล)

แต่ช้าก่อน ท่านทราบกันหรือไม่ว่า ปปช.มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ใดบ้าง ในการรับเรื่อง
มาพิจารณาความผิด อำนาจใหญ่ๆมีอยู่แค่ 4 ข้อคือ

1.ข้าราชการที่ถูกร้องร่ำรวยผิดปกติ (เผอิญเขาไม่ได้ร้องไปในเรื่องนี้)
2.ทุจริตต่อหน้าที่(อันนี้ก็ไม่ได้ร้องไป)
3.ประพฤติมิชอบ (ซึ่งก็ไม่ใช่อีก )
4. ประพฤติผิดต่อหน้าที่ราชการ ....ข้อนี้แหละค่ะที่ร้องไป

เรามาดูกันว่า ท่านพชรวาททำผิดต่อหน้าที่หรือเปล่า โดยตำแหน่ง
ท่านต้องดูแลการชุมนุม พร้อมทั้งพล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว
ซึ่งก็ถูกปลดไปทั้งคู่ เมื่อเป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งสองต้องไปดูแล
จึงหาได้มีความผิดฐาน ทำผิดต่อราชการ

ปปช.ชี้ออกมาว่าให้ปลดออก ซึ่งก็จะเห็นว่า ปปช. ไม่มีอำนาจหน้าที่
ที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าว จึงเกิดการอุทธรณ์คำสั่ง กตร. พิจารณาแล้ว
เห็นจริงตามคำร้อง คำสั่งปลดจึงมิชอบ แต่ยังมีการยื้อต่อโดยการส่งเรื่อง
ไปให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งผลก็ออกมาว่าปปช. ไม่มีสิทธิ์จริง

เรื่องจึงกลับเข้ามาในกตร. เห็นควรให้ทั้งสองท่านกลับมารับราชการดังเดิม
แม้แต่นายเมือก ซึ่งไปประชุมกตร. ก็เห็นชอบ แต่เรื่องต้องให้นายกฯเซ็น
แต่เผอิญเด็กเอ๋อยังไม่เซ็น เพราะ การเซ็น เท่ากับเป็นการยอมรับผิด
ผิดมาตั้งแต่ไปร้องปปช. ปปช.ก็ผิดด้วยฐานรับเรื่องและพิจารณาตัดสิน
เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน เรื่องนี้จึงยืดเยื้อ ยึกยักจนเปลี่ยนรบ.

เล่ามายืดยาว เพื่อเปิดแผลให้เห็นกันจะๆ ชัดๆว่า ในสมัยที่เป็นรบ.
ทำผิดต่อหน้าที่อย่างไรกันบ้าง แล้วมาร้องแรกแหกกระเฌอ ว่า
รบ.ใหม่โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม หากไม่เป็นธรรม เขาก็มี
ช่องทางให้ฟ้องร้องกลับได้อยู่แล้ว ดูคดีอธิบดีกรมการปกครองประกอบด้วย
ก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายค้านจะมาร้องแทน กลับไปแก้ความผิด
ที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาลของตัวเถอะ ไอ้บ้า