วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

อีกวันที่มีความสุข....จริงๆนะ

อีกวันที่มีความสุข....จริงๆนะ
ก็แหม สถานการณ์ปัจจุบัน ใครจะกล้าพูดได้เต็มปากกว่าสุขเหลือแสน
ไหนจะเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ ถึงคุณไม่จน มีเงินจับจ่าย แต่ภายใต้
การบริหารงานของไอ้เด็กเวร มีเงินก็ใช่จะสบาย แค่จะหาซื้อน้ำมันสักขวด
ยังทำไม่ได้ มีคนมีเงินที่ไหน ออกไปซื้อน้ำมันทีละขวด ใครจะบ้าออกไปซื้อทุกวัน
ลูกน้องมีต้องเลี้ยงดู อาทิตย์หนึ่งเดือนหนึ่งออกไปซื้อของที ก็ต้องซื้อทีละมากๆ
นี่อะไร ให้ซื้อน้ำมันได้ทีละขวด เอาวะ งั้นซื้อน้ำมันปาล์มสักขวด เอาไว้ทอด
ของกรอบๆกิน ส่วนน้ำมันเมล็ดทานตะวันไว้ไช้ผัด ที่ไหนได้คนคิดเงินเขาบอกว่า
ซื้อไม่ได้ค่ะ ต้องซื้อได้ขวดเดียว เพราะเขากำหนดว่าให้ซื้อได้ครอบครัวละขวด
ยืนเถียงกับน้องหนูว่ามันไม่ใช่น้ำมันเหมือนกันนี่นา เขายืนยันว่าอย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันอะไร หน้าตาขวดเป็นขวดเพ็ต เขาเหมาว่าเหมือนกันหมด
เป็นน้ำมัน ดังนั้นซื้อได้ขวดเดียว

นี่ดีนะ ที่บัตรประชาชนยังไม่เป็นสมาร์ตการ์ดทุกคน ไม่งั้นการซื้อน้ำมันอาจต้องรูด
บัตรไว้ เพื่อครอสสเช็คว่าไม่ได้ไปเดินสายซื้อหลายๆแห่งในวันเดียวกัน เฮ่อ

ว้ายอารัมภบทยาวเกิ๊น แต่ไม่ได้ตั้งกระทู้มานาน มันเลยอัดอั้นน่ะค่ะ หึหึ ย้อนกลับมา
เรื่องที่ทำให้เมื่อวานมีความสุข ก็เขาชวนกันออกไปชุมนุม เรียกร้องความยุติธรรม
ให้กับบ้านเมือง จะนอนเหงาอยู่บ้านอย่างไรได้ มันก็ต้องออกไปแสดงตัวสิคะ
ไม่ไปเดี๋ยวเขาจะเหมารวมว่าเป็นคนไม่สนใจ ยุติธงยุติธรรมไม่รู้จัก ยอมถูกกดหัวไปวันๆ
เลยต้องออกไปแสดงตัวสักหน่อย

ออกจากบ้านเวลาเที่ยง นัดจะไปรับเพื่อนอีกสามคนที่ ลาดพร้าวซอย 15
แต่ที่ไหนได้เคยใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึงบ้านเขา กลับไม่เป็นดังคาด
พอลงสะพานที่มาจากเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ติดเสียแล้ว มองไปถนนฝั่งขวาขาออก
ทั้งคนทั้งรถเริ่มทะยอยกันมาแล้ว ดูคึกคักน่าดู

[ภาพ: 9jGvd8sDCc.jpg]

[ภาพ: 8SVczJoZZO.jpg]

[ภาพ: xxLOvB8zf4.jpg]

[ภาพ: DeyTUqDQSb.jpg]

มองขึ้นไปบนสะพานลอยคนข้าม ได้เห็นภาพที่ใกล้เคียงกับวันที่12มีนาปีที่แล้ว
ที่ีคนออกมาจับจองสะพานลอยคอยต้อนรับขบวนรถที่จะเข้ามาเรียกร้องให้ยุบสภา

[ภาพ: 6ExbDH7h7I.jpg]

รถเริ่มติดเพราะมีการเปิดทางให้รถทางฝั่งนี้ กลับรถไปเข้าแถวกันฝั่งโน้น
ทางฝั่งนี้ก็มีรถจอดอยู่สองแถว แล้วคนเดินไปหน้าศาลอาญา (สถานที่นัดหมาย)
รถติดไปตลอดทาง เปิดหน้าต่างรถทักทายผู้คนแถวนั้นไปตลอดทาง
มีรายหนึ่ง ออกมาขอโทษขอโพยแทน ว่าขออภัยในความไม่สะดวก
ที่อาจทำให้รถติดในวันนี้ เพราะเขาคงไม่คิดว่ารถที่ดูไฮโซหรูหรา
จะมาเข้าร่วมขบวนด้วย พยยายามจะอำนวยความสะดวกให้เคลื่อนไป
อีกเลนที่จะเดินทางต่อไปได้ เลยยิ้มหวานบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรค่ะ
เรามันพวกเดียวกัน นี่ก็มาร่วมชุมชุมด้วย บอกเขาไปว่า รถติ๊ดติด
แต่ทำไมอารมณ์ดี๊ดี ทำไม่ไม่โกรธก็ไม่รู้ เป็นครั้งแรกที่รถติดแล้วไม่หงุดหงิด
เพียงแค่คำอธิบายนี้ ก็ทำให้ได้หัวเราะหัวใคร่กันอย่างกับเป็นเพื่อนสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน

ในที่สุดก็เคลื่อนมาถึงหน้าศาลอาญา ก็เจอภาพนี้แหละค่ะ

[ภาพ: HIuQ3qrF4n.jpg]

รถค่อยๆขยับไปทีละน้อย โทรไปบอกเพื่อนว่าใจเย็นๆรอหน่อย รถเคลื่อนตัวได้ช้ามาก
ระหว่างทางก็เปิดกระจกรถทักทายกับเขาไปทั่ว บ้างก็ทักว่าทำไมมาคนเดียว
ต้องชี้แจงแถลงไขว่าเดี๋ยวมาค่ะ เดี๋ยวไปรับเพื่อนมาก่อน นี่ก็กะว่าหากไม่ติดรถจนปวดปัสสาวะ
จะให้เพื่อนออกมาเจอกันที่หน้าศาลเลยด้วยซ้ำ แต่นี่เกิดความจำเป็นต้องไปแวะฉี่ แหะ แหะ

รับเพื่อนมาด้วยกันอีกสาม สองคนมาจากเชียงใหม่ เจ้าของบ้านก็คนลาดพร้าวแหละค่ะ
ออกเดินทางไป พอถึงแยกลาดพล้าวตัดรัชดา พบว่า คุณตำรวจเธอเอาแผงเหล็ก
มากั้นไว้ ติดประกาศว่าปิดการจราจร โปรดหลีกเลี่ยงไปใช้ทางอื่น เราก็ปักหัวรถเข้าไปเลย
บอกคุณตำรวจเธอว่ามาชุมนุมหละค่ะ เธอก็เปิดทางให้อย่างดี เลี้ยวไปได้จี๊ดเดียว
รถก็หยุด มาอีกแล้ว คนที่หวังดี เดินเข้ามาบอกว่ารถไปไม่ได้หรอก ต้องยูเทิร์น
กลับไปอีกฝั่ง บอกเขาว่ามาชุมนุมนี่แหละค่า เอ๊ะ หน้าตา หน้ารถเรามันไม่ให้หรือไง
เขาเลยบอกว่างั้นดับเครื่องจอดคอยได้เลย แล้วให้เดินเท้าเข้าไป อิอิ บอกเธอไปว่า ไม่เป็นไรค่ะ
นั่งคอยขบวนก็ได้ ก็แหมค่ารักษาฝ้ามันแพงนะคะ ถึงจะรวยก็เถอะ เราก็ไม่ควรเสีย

นั่งคอยกันเกือบครึ่งชั่วโมงรถถึงได้ขยับ พบว่า รถเต็มสามเลน มุ่งหน้าไปทาง
อนุเสาวรีย์ ประชาธิปไตย สนุกสนาน ไขกระจกฟังเพลงไปกันตลอดทาง
พบรถกระบะที่มีคนนั่งตากแดดมากันเต็มคันเยอะยะ แดดเปรี้ยงร้อนมั้กมาก
ยังคุยกับเพื่อนๆเลยว่า เนี่ยไม่ใช่สบาย หากต้องจ้างจะต้องจ้างเท่าไหร่ คนถึงจะได้ยอมลำบาก
มาขนาดนี้ ระหว่างทางก็มีคนแจกน้ำ หลายราย เขาเตรียมน้ำแช่กันมาเต็มรถ
เอาไว้แจกรถในขบวน รถเราไม่มีสัญญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นเสื้อแดง เพื่อนรุ่นน้อง
ก็เลยสอดส่ายสายตา ไปเจอเอารถคันหนึ่งมีผ้าแดงผูกไว้เยอะแยะ
จึงชี้มือชี้ไม้บอกเขาว่าอยากได้ เขาก็ดีใจหายพยายามจะปลดออกให้
ในที่สุด เราก็ได้ผ้าแถบสีแดงมาผูกรถหนึ่งผืน ลดสายตาฉงนงาย และคอยโบกให้
เลี่ยงเส้นทางไปได้เลย

ใช้เวลาเดินทางจากรัชดา ไปอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย สัก สามชั่วโมงได้
ทางก็ไม่ไกลนักหนา รถติดมโหฬารขนาดนี้ หากเป็นวันอื่น หากเป็นด้วยเหตุอื่น
คงได้มีอาการโมโหโกรธาด่าทอเป็นแน่แท้ แต่หึ หึ งวดนี้ เรามาปฏิบัติภารกิจ
เพื่อชาติ ติดแค่ไหนก็ไม่สน กลับมีความสุขอย่างที่สุด ไปถึงสะพานผ่านฟ้า
เขาปิดถนนไปแล้ว หาที่จอดรถได้ก็เดินลงไปจนถึงอนุเสาวรีย์ เห็นผู้คนมากหน้าหลายตา
ล้วนแล้วแต่ดูมีความสุข เข้าไปซื้อแมคกิน 1ชุด เพราะหิวเหลือหลาย
ออกมาตั้งแต่เที่ยง ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง กินเสร็จ ก็กลับ เดินมาใกล้ถึงรถ
ก็ได้ยินเสียงคุณจตุพรผผ่านลำโพงมาว่าให้ร่วมร้องเพลงชาติด้วยกัน
หยุดยืน ร้องเพลงชาติ อย่างสุดเสียงด้วยความภาคภูมิใจ โดยเฉพาะ เมื่องถึงท่อน
"แต่ถึงรบไม่ขลาด" เดี๊ยนได้ออกมารบแล้วนะเจ้าคะ ออกมารบกับคนที่ฉกชิงเอา
ความถูกต้อง ความยุติธรรมไปจากประเทศ ออกมาประกาศตัวว่าเราจะไม่ยอม
อีกต่อไป ตกลงกันว่า จะทำสติ๊กเกอร์ติดหลังรถ ว่า ".....ไม่เป็นไร เรารอได้"

เอามาจากลายเซนใครสักคนในบอร์ดบ้านราชดำเนินนี่แหละค่ะ เธอเขียนว่า

"...ไม่เป็นไรกูรอได้" เลยขออนุญาต เอาไปแปลงเล็กน้อย เผื่อคุณหนูไฮโซบางท่านว่าไม่สุภาพ
จะเปลี่ยนเป็น"หนูรอได้" อยู่แล้วเชียว แต่คุยกันว่า ถ้าใช้คำว่าเรา มันบ่งบอก
ถึงความเป็นพวกเดียวกัน คงจะเสร็จทันไปร่วมชุมนุมครั้งหน้า

สรุปว่าเป็นวันที่มีความสุขมาก เล่ามาเพื่อที่จะบอกว่า การไปชุมนุม เพื่อแสดงตน
ไม่จำเป็นต้องไปฟังปราศรัย ไม่ได้ติดคนพูด ไปเพราะอยากไป ไปเมื่อเรียกไป
ไม่มีแม่เหล็กดึงดูดแต่ประการใด กลับมาถึงบ้าน ก็เปิดดูเอเชียอัพเดต ถ่ายทอดสด
ได้ฟังเสียงชัดเจนแค่นี้ก็สุขเหลือหลาย ก่อนจบฝากรูปที่เก็บมาจากพื้นที่ให้ดูกันนะคะ

[ภาพ: W5G8zqLwkq.jpg]

[ภาพ: fglustwRyb.jpg]

[ภาพ: DoxaJLEBUJ.jpg]

[ภาพ: xNRXgbt2IS.jpg]

[ภาพ: BeS86riCUK.jpg]

[ภาพ: XnyIf7qVjZ.jpg]

[ภาพ: DBSJrJPH7w.jpg]

[ภาพ: xl0hlGHoI1.jpg]

ดีแต่พูด

อ่านข่าวนี้ พรรค ประชาธิปัตย์ : นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากมีการประชุม ส.ส.พรรค โดยหัวหน้าพรรคกำชับให้สมาชิกลงพื้นที่ตรวจสอบค่าครองชีพเรื่องอาหารด้วยการ ลงไปถึงก้นครัวนั้น เบื้องต้นตัดสินใจเพิ่มรายได้ด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี และประกันรายได้เกษตรกร เช่น ข้าวขาวจากตันละ 10,000 บาท เพิ่มเป็น 11,000 บาท ข้าวเหนียวจากตันละ 9,500 บาท เพิ่มเป็น 10,000 บาท และเพิ่มเพดานการประกันจากเดิม 25 ตัน เป็น 30 ตัน เพื่อให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย และลดความเสี่ยงให้แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรณรงค์หาเสียงด้านนโยบายเพื่อประชาชน โดยพรรคจะทยอยประกาศหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปจนถึงยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคม และมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

“ภาพรวมนโยบายรณรงค์หาเสียงพรรคจะสานต่อนโยบายที่ ทำอยู่ ทั้งการศึกษาฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพ ขยายการประกันสังคม หนี้นอกระบบ และยุทธศาสตร์ใหม่คือการเพิ่มค่าครองชีพ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีม มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน ปัญหาสินค้าราคาแพง และลดความเหลื่อมล้ำ โดยให้ประชาชนเปรียบเทียบกับพรรคเพื่อไทยที่พูดแต่เรื่องสองมาตรฐาน อำมาตยาธิปไตย คนเสื้อแดงตาย หรือการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับมาโดยไม่ต้องรับโทษ พรรคเพื่อไทยหวังกลับสู่อำนาจเพื่อแก้ปัญหาคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นปัญหาการเมือง ต่างกับพรรคประชาธิปัตย์”

อ่านจบอุทานได้คำเดียวว่า"ฮ่วย" ที่แปลคล้ายๆกับคำว่า"ห่วย"น่ะค่ะ

ดูจากนโยบายที่ว่าจะทำ มองเผินๆเหมือนว่าจะดี แต่ทุกข้อต้องใช้เงิน
ขึ้นหัวข่าวว่า ปชป.เร่งลดภาระ-เพิ่มรายได้ เมื่อต้องใช้เงิน
แล้วจะเอาเงินมาจากไหน ไม่เห็นเคยบอก ที่ผ่านมาก็ได้แต่กู้ แล้วกู้
เอามาแจก นึกไปถึงเรื่อง "การเอาปลาไปแจก กับการสอนให้คนรู้จักหาปลา"
เอาปลาไปแจก ชาวบ้านก็กินหมด แล้วก็รอรับแจกอีก ส่วนหากสอนให้เขา
รู้จักหาปลาเอง เขาก็ไม่ต้องมารอความช่วยเหลือ ออกไปช่วยตนเองหากินเองได้

อ่านแล้วอยากบ้า อยู่ในตำแหน่งมา2ปี ไม่ลองหากระจกเงาส่องดูหน้าตา
ตัวเองหน่อยหรือ พูดออกมาได้ จะมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ปากท้องของประชาชน ปัญหาสินค้าราคาแพง และลดความเหลื่อมล้ำ

แล้วมันทำได้สักอย่างไหม แค่ภาพคนไปยืนเข้าคิว ไม่ก็ยื้อแย่งจนหัวร้างข้างแตก
แย่งกันซื้อน้ำมันปาล์ม ก็บอกแล้วว่าความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกกิจ
จะทำได้สักแค่ไหน ราคาสินค้าราคาแพงมันไม่ได้มีแค่น้ำมันปาล์ม มันแพง
ทุกอย่าง ไข่ น้ำตาล จิปาถะ อะไรมันก็แพงไปทั้งสิ้น

2ปีที่อยู่ในตำแหน่ง ก็ทำให้เห็นว่าการบริหารงานห่วยแตกขนาดไหน ไม่ต้องนับ
รวมเอาความผิดที่สั่งฆ่าประชาชนเข้าไปด้วย แค่เรื่องเศรษฐกิจก็ไม่สมควร
อยู่ในตำแหน่งอยู่แล้ว

หนอยมาคุยโว แล้วแอบด่าพรรคอื่น พรรคเพื่อไทยน่ะ เขาสานต่อมาจาก
พรรคไทยรักไทย นโยบายที่แกไปลอกกเขามานั่นแหละ แต่เขามีวิธีหาเงิน
ไม่ต้องไปกู้มาแจก ผลงานมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์

ส่วนผลงานของปชป.ก็รู้ๆกันอยู่ ได้เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ โกงกินกันสะบั้น แต่กลับ
ชูนายกฯว่่าสะอาดบริสุทธิ์ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนดีซะขนาดนั้นจะมา
รวมหมู่อยู่กับคนชั่ว เอาเถอะถึงจะดีกว่าอยู่บ้างแต่การปล่อยให้คนรอบข้าง
พรรคร่วมทางโกงกินกันขนาดนั้น ไม่นับรวมว่าโกงด้วยก็ต้องถือว่าเซ่อเอ๊ยโง่
จนไม่น่าอยู่ในตำแหน่งหัวขบวนอีกต่อไป

เรื่องหน้าด้านพรรคนี้ก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น
จนกลายเป็นโลโก้พรรคไปเรียบร้อย

มาร์กเรียนไม่จบ

สอบอย่างไรก็ไม่ผ่าน ยังคงย่ำเท้าอยู่ที่ชั้นม.7แน่นอน

อ่านระทู้ของคุณ"ท่านชายเหล็ก"จากเวปบ้านราชฯ

http://www.rajdumnern.net/showthread.php?tid=18528

มันอย่างนี้นี่เอง

หากกกต.ไม่ครบองค์ ก็จัดเลือกตั้งไม่ได้ สภาก็หมดวาระ

จะให้ถูลู่ถูกังบริหารต่อก็ไม่ได้(แม้จะอยากจนใจแทบขาด)

เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าสภามีอายุแค่ 4ปี ทีนี้ก็เข้าเค้า

อยู่ต่อไม่ได้ เลือกตั้งก็ไม่ได้

จะทำอย่างไรดีน้อ อ้อ มีม.7อยู่นี่นา (มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)

ใครที่เคยบอกว่าทำไม่ได้เพราะมันมั่ว ก็ไม่ใช่แล้วนี่นา บ้านเมืองถึงทางตันแล้ว หากไม่มีรัฐบาล(ไม่มีสภาไม่เป็นไร)

แต่ไม่มีรัฐบาลไม่ได้ อ๊ะอ๊ะ ต้องขอนายกฯพระราชทานแล้วล่ะสิ

แอ่นแอ๊น เป็นไง โหคิดอยู่นานนะเนี่ย ถึงจะหาทางออกให้ชาติได้ ฮา

ความจริงที่คุณอาจไม่รู้

เรื่องน้ำมันปาล์มที่ขาดตลาดไปเป็นเวลานานนั้น แม้จะอนุญาตให้ขึ้นราคอีกขวดละ9บาท ให้มาขายได้ที่ราคา47บาท ก็ยังขาดแคลนหาซื้อไม่ได้อยู่

แต่แล้วอยู่มันวันหนึ่ง หลังมีบัญชา (ไม่ใช่ชุมชัยเวทย์) น้ำมันปาล์มก็ทะลักออกมาเต็มชั้นวางขายทั่วไป

คนจึงคิดว่าที่ขาดตลาดไปนั้นเพราะต้นทุนที่แพงขึ้น แม้จะเพิ่มให้ไปแล้วถึงขวดละ 9บาททางผู้ผลิตบอกยังไม่พอ จนเพ่เมือกต้องออกโรงเองบอกว่าจะเพิ่มให้อีกขวดละ 9.50 แต่ราคาขายไม่เพิ่ม ผู้บริโภคจ่ายเท่าเดิม (จริงๆไม่ใช่ราคาเดิมเพราะราคาเดิมแค่ขวดละ 38บาท) ทางการโปะให้ผู้ผลิตอีกขวดละ9.50บาทดังว่า(แปลว่าบริษัทรับไปเนื้อๆอีกขวดละ 18.50บาท) น้ำมันจึงทะลักออกมาทันตาเห็น

อ๊ะๆ ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ การที่น้ำมันหายไปจาท้องตลาดนั้น ก็เป็นเพียงเพราะทางผู้ผลิตเปลี่ยนสีฝาจุกไม่ทันนั่นเอง ต้องเห็นใจและเข้าใจว่าการเปลี่ยนสีฝาจุกนั้นผู้ผลิตน้่ำมันทำเองไม่ได้ต้อง ไปจ้างเขาอีกที เมื่อก่อนเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า น้ำมันปาล์มใช้ทอดของกรอบจะมีฝาสีเขียว พอให้เปลี่ยนเป็นฝาสีฟ้าบ้าง ชมพูบ้าง ของเลยขาดตลาดไป

บัดนี้ ฝาที่สั่งไปได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าต่อนี้ไป น้ำมันฝาสีสลิ่มจะมีให้ผู้บริโภคเลือกใช้ได้อย่างเต็มที่ ฮา

ขอถามนายสุเมธคำเดียว

ของหลวง หมายความว่า ของรัฐ แต่ฝรั่งมาเห็นตราเข้าก็ตาย (ล่ะ) ของพระเจ้าแผ่นดิน แน่นอนที่สุด จริงๆ กระทรวงการคลังดูแล ประธานของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นั่นคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ใช่สมบัติของพระองค์ มันเป็นของสถาบัน มีการตั้งคณะกรรมการ มีอะไรต่างๆ

หาก ของหลวงที่บอกว่า เป็นของรัฐ รัฐแปลว่าอะไร ประชาชนมีส่วนได้รับประโยชน์ในส่วนนั้นบ้างหรือไม่

เป็นที่ทราบกันดีว่าขณะนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว
กู้เอามากินมาใช้(จ่ายค่าเงินเดือนข้าราชการ จ่ายค่าทำนุบำรุงประเทศฯลฯ)
หากเงินหลวงเป็นเงินของรัฐจริง จะขอเจียดมาฟื้นฟูชาติ เพื่อที่จะไม่ต้องกู้เขา
พอจะทำได้ไหม

ที่บอกว่าพระองค์ท่านทรงใช้ชีวิตอย่างประหยัด ใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเงิน
ส่วนนี้ก็น่าจะพอเพียงที่จะช่วยทำให้ชาติพ้นวิกฤตโดยไม่ต้องกู้กระมัง

ก็ถามไปอย่างนั้นเอง ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหากเงินที่ว่าเป็นของรัฐ
ช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยว่าเมื่อเป็นของรัฐทำไมเอามาใช้ในประเทศไม่ได้

การที่ไปว่าคนไทยที่เป็นเศรษฐีมีมากมายที่รวยกว่า นั่นก็เพราะเขาทำมาหากิน
มาด้วยตนเองไม่ใช่หรือ แล้วเขาก็ช่วยชาติด้วยการเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษี
รายได้ ภาษีที่ดิน และอีกภาษีจิปาถะ

เมื่อมีคณะกรรมการ นำมาทำธุรกิจเพื่อให้งอกเงย ก็ไม่เห็นจะต่างอะไรกับ
เงินของเศรษฐี มหาเศรษฐี ที่เขาเรียกว่าเงินต่อเงิน จริงอยู่ เงินของเศรษฐี
เขาทำมาหาได้ด้วยความยากลำบาก อยู่ๆจะไปขอให้เขาเอามาช่วยชาติเฉยๆ
ก็เห็นจะไม่ถูก มันผิดหลักการ ผิดหลักเศรษฐศาตร์

ดังนั้นเมื่อไปเอามาเฉยๆไม่ได้ เพราะเป็นเงินเขา(เศรษฐี) ก็อย่ามาพูดเลยว่า
เงินหลวงเป็นเงินของรัฐ การที่เขาเข้าใจกันไปทั่วโลกจึงไม่ได้ผิดอะไรไม่ใช่หรือ

มุกนี้ได้ผล

ฮ่าๆๆ ไหนใครนะว่ามุก"ขอทาน" เป็นการเสียศักดิ์ศรีความเป็นคน
นั่นมันทั่วโลก แต่ประเทศนี้ ขอทาน เจ๋งสุด

พอคุณจตุพรบอกว่า"ขอทานความยุติธรรม" เห็นไหม แกนนำได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวทันที

เหอๆ เชื่อหรือยังล่ะ ว่าประเทศนี้ ขอทานดีที่สุด ขออะไรก็ได้จริงไหม?

ขายไข่ตามน้ำหนัก

แหมกำลังฮอตฮิต เสียงด่ากันขรมถมเถ อันที่จริงการขายไข่ตามน้ำหนัก

ก็มีอยู่แล้วในโลกนี้นะคะ บางประเทศเขาก็ขายอย่างนั้น ซึ่งก็ยุติธรรมดี

หมายถึงว่า การดูไข่ด้วยตา บางทีมันก็แยกไม่ออก มองไม่ชัดว่าไอ้ที่ว่า

เบอร์2 กะเบอร์3 นั้นมันเล็กใหญ่ผิดกันสักเพียงไหน การขายตามนน.

ก็จะแน่นอนกว่า เช่นว่าไข่นน. 70กรัม กะ 90กรัม เขาก็ขายมาเป็นถาด

เหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ไม่ได้ให้ไปเลือกซื้อเป็นฟองๆ แล้วเอาไปชั่ง

เหมือนส้มสูกลูกไม้(ตามที่มาเบิ้ลกันในบอร์ด)แต่ประการใด

ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกค่ะ แต่ปัญหานี้มันลึกซึ้งกว่านั้น

กล่าวคือ เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดไข่ของเรา ปัจจุบันนี้ ถูกเจ้าใหญ่

เพียงไม่กี่เจ้าเข้าครอบครองกำหนดราคามาสักระยะหนึ่งแล้ว

เริ่มมาตั้งแต่ไข้หวัดนกระบาด และสั่งทำลายไก่ที่เลี้ยงกันตามบ้านไปจนหมดสิ้น(อ้างว่าเพื่อการทำลายเชื้อ)

ไข่ไก่ตามตลาดที่ชาวบ้านอาจขายกันไม่กี่ตัว เอามาฝากขาย ให้เลือกหยิบเอาตามต้องการ

ในตลาดสดหมดไป (ซึ่งอันนี้ก็เป็นปัญหากับคนยากจนที่ไอ้คนรวยอย่างรัฐบาลไม่เคยมองเห็น

เพราะคนจนบางครั้งมีเงินเพียงไม่กี่บาท ต้องการซื้อไข่สักฟองสองฟองไปเจียวให้ลูก

เพิ่มโปรตีน ก็ซื้อไม่ได้ เพราะมีแต่ถาด ถาดละอย่างต่ำ 10ฟอง ก็โธ่โว้ย คนจนน่ะใครเขามะมีเงินซื้อทีทั้งถาด

เรื่องอย่างนี้หากไม่มีสมอง ไม่มีน้ำใจก็คิดไม่ถึงหรือไม่ก็ไม่เคยใส่ใจ ข้าวสารก็เหมือนกัน

เมื่อทำลายร้านชำลงไปจนหมดสิ้น จะซื้อข้าวทีละโลครึ่งโลจะทำได้อย่างไร ต้องซื้อกันทีละถุง

ถุงละ 5 กิโลเป็นอย่างต่ำ ราคาก็แพงเหลือหลาย แล้วจะให้กรรมกรได้เงินค่าแรงรายวันทำอย่างไร

หรือต้องให้อดสักสองสามวันเพื่อจะเก็บเงินพอซื้อได้สักถุง ไข่สักถาดมั้ง)

ในที่สุดต้องนำไข่จากเจ้าใหญ่ที่อยู่ในแพคมาขายแทนซึ่งในตอนแรกประชาชน

ก็รู้สึกปลอดภัยที่จะได้บริโภคไข่ที่มาจากฟาร์มคุณภาพเลี้ยงในโรงเรือนปิด

ปราศจากเชื้อไข้หวัดนก แต่จากผลนี้เองที่ทำลายการเลี้ยงไก่ของชาวบ้านไปอย่างสิ้นเชิง

ทีนี้ตลาดไข่ก็ตกอยู่ในมือขาใหญ่ไม่กี่เจ้าจะต้มยำทำแกงอย่างไรก็ได้ตามสะดวก

จึงเห็นได้ว่า เดี๋ยวก็ออกข่าว ไข่ขาดแคลนแอบขึ้นราคา (รัฐต้องอนุญาตให้นำเข้าไข่)

บางครั้งก็ว่าไข่ล้นตลาด(รัฐออกมาเรียกร้องให้ช่วยกันกินไข่) ยังดีที่ไม่เอาไข่ไปเททะเล

ทิ้งเหมือนเวลาไก้ราคาตกเพราะล้นตลาด

เมืองไทยจึงตกอยู่ในวังวนของมาเฟียการค้าไม่กี่เจ้า จะต้มยำทำแกงอย่างไรก็ได้

มาตอนนี้คงไปเป่าหูรัฐบาลว่าขายไข่ตามนน.ดีกว่า จะดีกว่าจริงหรือไม่ไม่ทราบ

แต่ความที่ไม่เคยไว้ใจนายทุนหน้าเลือดกลุ่มนี้ เมื่อเลี้ยงไก่เอง เอาไข่มาขาย

ตามนน. ก็กลัวว่า พวกมันจะให้ไก่กินเปลือกหอยมากๆสิคะ เพื่อจะได้มีเปลือกไข่หนาๆหนักๆ

ชั่งนน.ขายได้ราคาแต่เนื้อในไข่อาจน้อยลง เท่ากับว่า เราถูกหลอกให้จ่ายค่าเปลือกไข่ที่กินไม่ได้แทน

เรื่องอย่างนี้อย่าคิดว่าทำไม่ได้ มันคงทำแน่ๆ เมื่อก่อนลองสังเตดูไข่จะเปลือกหนากว่าปัจจุบันมาก

แต่ก็พัฒนากันจนเปลือกไข่เดี๋ยวนี้บางเฉียบ ดังนั้นการกลับไปทำให้เปลือกไข่หนาเพื่อได้นน.

จึงไม่เหลือบ่ากว่าแรง จริงไหมคะ

จะชักธงรบกับชาวสีรุ้งเนี่ยจะผิดไหมน้อ

ก็แหมน่ะนะ เมื่อก่อนร่อนชะไร ไม่เค้ยไม่เคยรังเกียจรังงอนกับคนกลุ่มนี้เลย
เชื่อในสิทธิ์เสรีภาพของคนเท่าเทียมกัน รสนิยม จะรักจะชอบใครแบบไหน
ก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัว เข้าใจ ไม่ล่วงละเมิด มีเพื่อนเป็นเกย์เป็นตุ๊ดก็มากมาย

จนมาเจอโพลขวัญใจชาวสีรุ้งประจำปี2553 เข้าไปเท่านั้นหละ มันเกิด
อาการปวดเศียรเวียนเกล้า ชักจะเชื่อแล้วว่าพวกนี้วิปริต ผิดคนปกติจริงๆ
ไม่เชื่อลองทัศนาทัศนคติของเหล่าชาวสีรุ้งดู

เป็นธรรมเนียมของทุกปลายปีที่ องค์กรของชาวสี รุ้ง ?บางกอกเรนโบว์? ได้มีการวัดความยอดนิยมของบุคคลในสาขาอาชีพต่างๆของประเทศไทยในมุมมองของ ชาวสีรุ้ง โดยโหวตจากสมาชิกในองค์กรและบรรดาชาวสีรุ้งที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย ผลออกมาดังนี้

นักการเมืองและข้าราชการชายยอดนิยม : พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด (เสธ.ไก่อู) โฆษก ศอฉ. เห็นหน้าบ่อยๆในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมือง ด้วยท่าทางอันหนักแน่น แฝงด้วยเสน่ห์อันล้ำลึก แถมยังเป็นหนุ่มโสดเจ้าเสน่ห์ ชาวสีรุ้งจึงเทใจให้

นักการเมืองและข้าราชการหญิงยอดนิยม : แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ผู้หญิงเก่ง กล้า สามารถ ไม่แคร์สื่อ แม่พระของคนตายทั้งประเทศ แบบนี้ชาวสีรุ้งช๊อบ...ชอบ

หญิงบริการทางอารมณ์บันเทิง : ตุ๊กกี้-สุดารัตน์ บุตรพรหม ด้วยหัวสมองอันครีเอทแบบหลุดโลก ที่ดีไซน์ชุดต่างๆออกมากระแทกใจเกย์แบบเต็มๆ แถมบทบาทการแสดงที่ไม่สวยแต่อร่อย เลดี้กากง กาก้า ก็เถอะ กินเธอไม่ขาดหรอกจะบอกให้!

ชายบริการทางอารมณ์บันเทิง : แทค-ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม โอ้วว! เยส วินาทีนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อสามีของน้อง (รองเท้า) บู้ท พี่น้องเกย์ทุกคนโหวตให้แบบไม่ต้องคิด เพราะติดตากับลีลาแอ่นสะท้านทรวง ปีหน้าคงถ่ายแบบไม่เหลืออะไรแล้วมั้งน้องแทค!

ดาราชายยอดนิยม : ณเดช คูกิมิยะ หนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่เผาผลาญใจคนไปทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ชาวสีรุ้ง ด้วยหน้าตาที่สามารถกู้ชื่อของวัยรุ่นไทยไม่ให้แพ้เกาหลี ริมฝีปากที่อวบอิ่ม หน้าท้องที่เต็มแน่น รับคะแนนไปเต็มๆ

ดาราหญิงยอดนิยม : พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ นางเอกสาวเจ้าบทบาท ร้ายแรงถูกใจเกย์ในทุกๆเรื่อง แถมความน่าอิจฉาที่มีแต่หนุ่มๆรูปหล่อมารุมล้อม ชาวเกย์จึงเทใจให้เธอแบบอิจฉาเล็กๆ

นักร้องชายยอดนิยม : อ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ มอง หาใครก็ไม่มีโดนใจเท่าน้องอ๊อฟ ยิ่งฟังเพลง ?แทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจ? ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ เพราะเนื้อเพลงเหมือนจะเข้าอกเข้าใจพวกเรายังไงก็ไม่รู้ สู้ๆนะจ๊ะเพื่อนสาว

นักร้องหญิงยอดนิยม : เจนนิเฟอร์ คิ้ม นักร้องขวัญใจชาวสีรุ้ง เพราะแต่ละมุขของเธอทั้งร้อง เล่น เต้น พูด ต่างมีเพื่อนสาวคอยเทรนให้ทุกครั้งก่อนทำการแสดง จึงออกมาถูกใจอย่างที่สุด

ผู้ประกาศข่าวชายยอดนิยม : ไก่-ภาษิต อภิญญาวาท ช่อง 3 ตี๋หล่อสุดเร้าใจ ด้วยไหวพริบการวิเคราะห์ข่าว ลีลาและน้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนฝัน ชาวเกย์จึงยกมือให้พรึบเป็นเอกฉันท์

ผู้ประกาศข่าวหญิงยอดนิยม : ต๊ะ-นารากร ติยายน ช่อง 7 หมวยสาวพราวเสน่ห์ ปากก็แกว่ง มือก็ไกว เสียงดังฟังชัด ไม่อ้อมค้อม ชะนีแกร่งแบบนี้เกย์ชอบนักแล

พิธีกรชายยอดนิยม : พอล-ภัทรพล ศิลปาจารย์ พิธีกรรายการวีไอพี ช่องโมเดิร์นไนน์ หนุ่มหล่อ โสดสนิท ที่อาจคิดไปว่าเป็นพวกเดียวกัน ชาวสีรุ้งจึงเทใจให้แบบไม่ต้องแอ๊บ

พิธีกรหญิงยอดนิยม : แหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา พิธีกรอารมณ์ดี เพราะมีอันจะกิน กับรายการที่เป็นชื่อของเธอ ชอบตรงที่ลีลาอ่อนน้อม เรียก ?คุณผู้ชมขา? ทุกคำ

นักกีฬาชายยอดนิยม : ปีเตอร์ แลง นักฟุตบอลทีมชาติไทยสุดหล่อลูกครึ่งไทย-สวิส ที่ถูกโพสรูปในเว็บ (เกย์) มากที่สุดในขณะนี้ แถมยังเป็นกีฬาแบบแมนๆที่ถูกใจชาวสีรุ้ง ทำให้เกย์หลายคนหันมาเล่นฟุตบอลกันมากขึ้น เผื่อจะได้เข้าไปคลุกคลีในทีมชาติด้วยกัน

นักกีฬาหญิงยอดนิยม : น้องหยิน-สริตา ผ่องศรี ชีโร่หญิงเหรียญทองเทควันโดเหรียญแรกของไทยในกว่างโจวเกมส์ อดทน บึกบึน แถมบ้านๆ ชาวเกย์จึงโหวตให้แบบไร้คู่แข่ง

รายการทีวี.ยอดนิยม : Princess Diary ช่องโมเดิร์นไนน์ เริด หรู อลังการ แถมได้เรียนรู้คำราชาศัพท์ไปในตัว เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้แขกรับเชิญและผู้ชมปลาบปลื้มไปพร้อมๆกัน

ละครทีวี.ยอดนิยม : ขอขีดเส้นใต้ให้กับสุดยอดละครเปิดโปงวงการบันเทิง ?ระบำดวงดาว? ของช่อง 3 ที่ทำให้เกย์ไทยงดเที่ยวสีลมทุกวันที่ออกอากาศ เพราะลงตัวมั่กๆทั้งนักแสดง บท และผู้กำกับฯ แถมยังสร้างตัวละครสีรุ้ง ?เจ๊มดแดง? ออกมาได้อย่างน่ารักน่าหยิก

ตัวแม่สีรุ้งยอดนิยม : เกย์นที ธีระโรจนพงษ์ ในวงการนี้ต้องยกให้เธอเป็นที่สุดแห่งปี แม่พระของชาวเกย์ กะเทย ที่ออกมาต่อกรกับผู้เอนเอียงทางอคติกับชาวเกย์ในทุกรูปแบบ ฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่จนชนะ ทำให้กะเทยทั้งแผ่นดินได้มีโอกาสขึ้นกระทงอย่างภาคภูมิใจ

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 291 วันที่ 25-31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 41 คอลัมน์ Rainbow Society โดย ชายกลาง

ขออภัยชาวเกย์ที่ไม่ได้ร่วมโหวตในครั้งนี้ด้วยนะคะ รวมทั้งคนที่โหวตเป็นอย่างอื่น

ประชาชนต้องทำอย่างไร...หากเกิดปฏิวัติ

อย่าคิดว่าเพี้ยนเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนะคะ

เรื่องนี้อาจเกิดได้จริง เพราะยังมีความคิดนี้อยู่

คนคิดจะทำก็เพราะเขาคิดว่าปัจจุบันเขายังมีอำนาจ

ไม่เพียงพอ ไม่ว่าใครจะคิดว่าเอ๊าก็มันพวกเดียวกัน

(ไอ้เด็กเวรนี่ก็เลือกกันมาเอง ช่วยกันอุ้มกระเตงกันมาแท้ๆ

ขนาดไอ้หัวขบวนยังเสือกไปบอกให้ฑูตมะกันฟังว่า

"แม้จะดูหน่อมน้มไปหน่อยสำหรับสถารการณ์ปัจจุบัน

แต่ขอให้ชาวไทยและชาวโลกช่วยกันทนมันหน่อย"

(เผอิญพวกเราไม่ให้ลูกกระจ๊อกมัน เลยไม่อยากทน)

แม้จะยังไม่อำนาจมากพอที่จะโค่นมันลงในวันสองวัน

แต่ก็พร้อมที่จะแหย่มันไปเรื่อยๆ ด้วยการออกไปชุมนุม

กันทุกเดือนเดือนละสองวัน วันที่10ไปผ่านฟ้า พอ19ย้าย

มาราชประสงค์ ไปมันอย่างนี้ทุกเดือน อีกไม่นานไม่ใครก็ใคร

ต้องทนไม่ไหว จะปราบก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ แล้วคราวก่อนเรื่อง

ก็ยังไม่เคลียร์ เลยต้องคาราคาซังอยู่อย่างนี้ เป็นหนามยอกอก

แล้วไอ้การทำอย่างนี้ย่อมทำให้คนบางจำพวกที่อยากเห็นความสงบเรียบร้อย

ประชาชนอยู่ใต้ตีน ไม่หือไม่อือ บอกให้หยุดต้องหยุด ชักเริ่มรำคาญ

เพราะชินกับการสั่งโดยไม่ต้องมีเหตุผลรองรับ สั่งปุ๊บต้องทำปั๊บ

หากขัดขืนโน่นสั่งขังมันซะเลย แต่กับประชาชนที่ไม่ใช่ลูกน้องมัน

ยากจังเลย ขู่ก็แล้ว เห่าก็แล้ว มันยังไม่ฟัง ออกมากันมากขึ้นทุกที

ไอ้เด็กเวรก็ชักไม่ค่อยเชื่อฟัง บอกว่าห้ามยกเลิกพรก.ฉุกเฉินก็ยังดื้อ

(ก็ถ้าเมิงเลิกกูจะหาแดกง่ายๆจากงบได้ไง งานสบาย ไม่ต้องไปเสี่ยง

เดินท่อมๆให้ถูกระเบิดแขนขาขาดทางใต้ นั่งมันอยู่ในกรุงนี่ละวะ)

แต่เมื่อโลกมันล้อมเข้ามาไอ้ที่อมเอาไว้(อำนาจ) มันก็ต้องคายออกมา

ไม่ช้าก็เร็ว ยิ่งไอ้เด็กเวรมันกำลังหาเสียงหวังจะกลับเข้ามาอย่างเต็มภาคภูมิ

โดยไม่ถูกนินทาว่าร้ายอยู่ทุกวี่วันว่ามาจากกระบอกปืน ก็อยากจะทำโน่นทำนี่เพื่อ

เป็นบุญเป็นคุณ ประชาชนจะได้เลือกกลับมาโกงกินบ้านเมืองอีก(เฮ้อมันโง่

จริงๆเนาะ)

อันนี้น่ะก็จะเป็นเหตุให้เกิดความรำคาญ ส่วนพวกที่คิดว่าเขาจะปฏิวัติทำไม้

ทุกอย่างอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว ก็ช่วยคิดใหม่ เพราะประเทศนี้มันแตกละเอียด

ยับไปทุกภาคส่วน ไอ้ที่ว่าทุกอย่างอยู่ในมือก็ไม่ใช่มือเดียว มันก็มีหลายมือ

หลายตีนอยู่ งัดไปงัดมา ก็ปฏิวัติดีกว่า เพราะไอ้เด็กเวรก็มีแบ็คดี อีกฝ่ายเขา

ก็ว่าไม่เบา

เอาละโว้ยทีนี้ไม่ต้องห่วง เพราะจะปฏิวัติทั้งที จะให้ไอ้เด็กเวรรักษาการอยู่ได้ไง

เดี๋ยวไม่สมจริง ก็มีการจัดการให้ได้ไปตั้งนิวาสถาน ณ ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว

บรรดาแม่ยกไม่ต้องห่วง เขาพวกเดียวกัน ไปสักพักเดี๋ยวก็กลับมาได้ เหมือนอีก

หลายๆนายกฯที่โดนปฏิวัติไป เว้นคนเดียวที่โกรธเกลียดจนไม่อาจร่วมหายใจบน

ผืนแผ่นดินเดียวกันได้ อันนี้ก็ไม่ต้องห่วงเหมือนกัน หากมีคนหายไปไม่สามารถ

หายใจต่อได้ อีกคนคงได้กลับมาหายใจร่วมกับเรา ฮิ้ววววววววววววว

เอาล่ะตกลงคงมีปฎิวัติแน่ๆ ไม่นานเกินรอ ในฐานะเจ้าของประเทศ

จะทำอย่างไรที่จะรับมือกับกการปฏิวัติครั้งนี้ และแปรเปลี่ยนให้มันเป็น

การปฏิวัติของประชาชนไปในที่สุด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิด แล้วต้องทำให้ได้

พลาดครั้งนี้อาจต้องช้ำใจไปถึงชาติหน้า

ขอเชิญเข้ามาแชร์ความคิดกันนะคะ ว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่อเกิดการปฏิวัติ

ส่วนตัวผุ้เขียนนั้นมีคนเขาว่าจะส่งแผนมาให้กระจายเร็วๆนี้ ก็ไม่รู้เมื่อไหร่

แต่เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น หากได้มาจะรีบกระจายข่าวในทันที รับรองงานนี้สนุกแน่

คนวางแผนก็ไม่ธรรมดา เขาจะบอกได้แม้แต่จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

รอกันไปก็แล้วกัน อิอิ

สาธารณะ

กรูเบื่อจริงจริ๊ง ไอ้บ้าเนี่ย แม่งเอ๊ย ออกคำขวัญวันเด็กว่า "รอบคอบ รู้คิด
มีจิตสาธารณะ" จะบ้าตาย ใครเป็นคนคิดให้แม่งวะ

แล้วเด็กๆจะแปลออกไหมเนี่ยว่าไอ้จิตสาธารณะเนี่ยมันแปลว่าอะไร
เด็กๆคงรู้จักแต่สวนสาธารณะ ส้วมสาธารณะ แล้วมีจิตที่เป็นสาธารณะ
เนี่ย วัยรุ่นหน่อยมันไม่เอาไปแปลว่า รักใครก็ได้บ้างหรือไง

แล้วเด็กเล็กๆเนี่ยจะให้เขาเข้าใจว่าต้องมีจิตใจอย่างไร ถึงจะเรียกว่า
มีจิตสาธารณะ แล้วจิตสาธารณะเนี่ย มันจะเหมือนกับส้วมสาธารณะไหมน้อ

โธ่ว้อย แค่บอกซื่อๆตรงๆ ให้เด็กเข้าใจได้ รู้จักปรับปรุงตัว เกิดความรู้จึกฮึกเหิม
อยากโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเนี่ยมันยากนักหรือไง

เนี่ยๆอย่างอันนี่น่ะฟังปุ๊บรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ไม่ต้องแปลของคุณทักษิณ "เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคต ที่สดใส " หรือ"รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดี ๆ อนาคตดีแน่นอน" หรืออย่างเลวที่สุดก็นายชวนที่ให้ซ้ำบ่อยมาก คิดใหม่ไม่เป็น"ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม "

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ลองไปอ่านดูแล้วกัน ตั้งแต่คำขวัญครั้งแรก
แล้วมันมีอันไหนไหมที่ต้องแปล

ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพ เจ้าจงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันมั่นเพียรมากที่สุด

เด็กจะเจริญต้องรักเรียนและเพียรทำดี
เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะบากบั่นและสมานสามัคคี
อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรง เรียนดี มีความประพฤตเรียบร้อย
ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัยมีความเฉลียวฉลาด และรักชาติยิ่ง
รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
ยามเด็กจงมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
สามัคคีคือพลัง
เด็กคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจ ร่วมพลังสร้างความดี
เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรืองจะต้องทำตัวให้ดี มีวินัยเสียแต่บัดนี้
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง
เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
ขยัน อดทน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
มีวินัยใจซื่อสัตย์ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
ขยัน ศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัย และคุณธรรม
รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดี มีความคิด สุจริต ใจมั่น
สามัคคี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคต ที่สดใส
เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดี ๆ อนาคตดีแน่นอน
เด็กรุ่นใหม่ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม

ไอ้ที่ซ้ำๆน่ะมักจะมาจากนายกฯที่คิดไม่ค่อยเป็น ตามไปอ่านดูกันเองแล้วกันว่าเป็นใคร คำขวัญวัญเด็ก

เมืองไทยก็มีอย่างนี้นี่นา

อนุสนธิจากข่าวนี้ค่ะ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่สอง ฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้ว
รับฟังได้เพียงว่า นายเอกชัย ใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.อ.อาทิตย์ ผู้ตาย 2 นัดก่อนวิ่งหลบหนีไป เห็นว่า เป็นการตัดสินใจ
ของนายเอกชัยตามลำพัง จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย พยานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า จำเลยร่วมกับนายเอกชัย
ฆ่าเจ้าพนักงานด้วยหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พิพากษายกฟ้อง

ก็มีเหมือนกันนี่นาที่ว่า เมื่อศาลเกิดความสงสัย เพราะหลักฐานอาจไม่พอ ท่านว่า "ปล่อยคนผิดร้อยคน ยังดีกว่าจับคนไม่ผิด
หนึ่งคนเข้าคุก" เรื่องแบบนี้น่ะได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด

จนมาเมื่อเกิดตุลาการวิบัติเอ๊ย ภิวัฒน์ นี่แหละ เรื่องมันถึงวุ่นวายไปหมด หลักฐานไม่มี หรือไม่ชัด หากไม่ใช่พวกกันตัดสินให้
มันผิดเอาไว้ก่อน ไม่ต้องอ้างอิงหลักการไม่ว่าของไทยในอดีตหรือของสากลโลกที่เขาเชื่อและใช้กันอยู่

การตัดสินของไทยปัจจุบันจึงเลือกตัดสินเอาตามสีเสื้อที่สวมใส่จริงๆ ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของคุณสมยศหรือคุณสมบัติ
ไม่แน่ใจ ชอบใจมาก เธอว่าอะไรก็ตามที่มันเอียงมากๆ อีกหน่อยมันก็ล้ม

นักการเมือง

อ่านมติชนสุดสัปดาห์ เขียนโดยหนุ่มเมืองจันทน์ ในคอลลัมน์ฟาสท์ฟู้ด ธุรกิจ
ชื่อเรื่องว่าจุดสนใจ ตอนจบมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า เพื่อนผู้หญิงสามคนจากโรงเรียนเดียวกัน
แยกย้ายกันไปมีแฟนบ้าง แต่งงานบ้าง เมื่อมาพบกัน ก็ถามไถ่กันเรื่องแฟนว่าแต่ละคน
เรียกแฟนตัวเองว่าอะไร คนหนึ่งตอบว่า เรียกว่า"สุภาพบุรุษ" เพราะเขาลุกขึ้น
ให้ผู้หญิงทุกครั้งที่เห็นผู้หญิง ส่วนอีกรายเรียกแฟนว่า""พ่อกรรมกร" เพราะเขาทำงาน
หามรุ่งหามค่ำ ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนคนสุดท้ายตอบว่า เธอเรียกแฟนว่า
"พ่อนักการเมือง" เพราะทั้งวันเอาแต่พูด พูดเก่งแต่ทำงานไม่เป็นเลย

ย้อนไปตอนต้นของข้อเขียน เขาเขียนถึงน.พ.วันชัย วัฒนศัพท์ (เจ้าเดิมนั่นแหละ
ที่บอกว่าให้ทุกฝ่ายออกมาขอโทษ เรื่องทุกอย่างจบ และกล่าวประโยคเด็ดว่า
เรื่องที่เกิดเป็นเพราะความผิดพลาดในระดับผู้ปฏิบัติการ)

จากข้อเขียนหมอแกก็มีแนวความคิดดีๆหลายอย่าง น่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้"เหตุผล"
มากกว่า"ความรู้สึก" การให้คู่ขัดแย้งมานั่งคุยกัน แบบเห็นหน้าเห็นตากัน เพื่อแก้ไขปัญหา
จะได้รับความรู้สึก แบบ"มนุษย์" ต่อ "มนุษย์" จะได้เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น

และในอีกข้อเรื่องการ"ตั้งคำถาม"ในการ"แก้ปัญหา" เมื่อตั้งคำถามให้ทั้งสองฝ่าย
ได้ช่วยกันหาทางออกมากกว่าที่จะตั้งคำถามว่า"ใครผิด ใครถูก" เพื่อจะได้"คำตอบ"
ที่ต้องการ คือวิธีการแก้ไข"ความผิดพลาดในครั้งหน้า"

หลักการดูดี แต่เมื่อใช้สมองซีกซ้่าย คือวิเคราะห์ คิดเป็นเหตุผล กลับคิดว่า
หมอมาช้าไปหรือเปล่า วันที่เกิดปัญหา ไฟกำลังลุกโชน หมอไปอยู่ที่ไหน
วันนั้น ยังไม่มีคนผิดหรือคนถูก หมอก็น่าจะนำเสนอแนวคิดนี้ น่าจะบอกไอ้เด็กเวร
ว่าการแก้ปัญหาต้องนั่งคุยกัน การเอารถถังและกำลังพลออกมาปราบปราม
ฝูงชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยมันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา กลับซ้ำ
จะทำให้ปัญหายุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก

เมื่อเหตุการณ์ผ่านเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่คนตายใกล้หลักร้อย คนบาดเจ็บอีกตั้งสองพัน
ความเจ็บปวดของคนส่วนใหญ่ ร้ายแรงจนยากจะเยียวยา หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้"อภัย"ต่อกัน อย่ามัวแต่ชี้นิ้วหาคนผิด มันจะไหวหรือหมอ คนตายก็ตายไปนับร้อย
ยังคนเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจอีก พอภัยมาถึงใกล้ตัวคนทำผิด หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุด แล้วอภัยให้ทุกฝ่าย มันไม่ได้หรอกหมอ ถ้าเรื่องนี้จบด้วยการนั่งคุยกัย ถกกัน
แก้ปัญหาร่วมกัน เหมือนที่เคยไปออกทีวีร่วมกัน แล้วยอมรับทางออก เรื่องคงไม่จบ
เลวร้ายอย่างนี้

แต่มันเกิดอะไรขึ้น ข้อเรียกร้องที่ดูเหมือนจะลงเอยกันด้วยดี จากความพยายาม
ของหลายฝ่าย แม้จนวินาทีสุดท้ายที่กลุ่มสว.เดินทางมาขึ้นเวที รุ่งเช้า รถถังวิ่ง
เข้าทลายสิ่งกีดขวาง เสียงปืนที่รัวยิงเข้ามาเป็นชุด(ซึ่งจริงๆก็ไล่ยิงมาตั้งแต่
วันที่ 13 พค. 53แล้ว)

ในช่วงเวลานั้น หมอเคยออกมาไหม เคยออกมาเรียกร้องให้คนที่สั่งปราบ ฆ่าให้หมด
หยุดไหม ให้หันกลับมาใช้วิธีนั่งคุยกันไหม หมอเคยได้ยินที่มันบอกไหมว่า"หมดเวลา
คุยกันแล้ว"
หมอทำไมไม่ออกมาบอกว่า "ยังไม่สาย ไม่มีอะไรสายเกินแก้" หมอปล่อยให้
คนไม่กี่คนลุแก่อำนาจ ส่งกำลังมากวาดล้างประชาชนที่แค่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
คนที่เสียชีวิต บางคนก็ไม่ได้แม้แต่ออกมาร่วมชุมนุมด้วย เพียงแต่โชคร้ายที่เข้าไปอยู่
ในทุ่งสังหาร เรียกว่าไปผิดที่ผิดเวลา พอเขาฆ่ากันตายเสร็จสรรพ หมอกลับมาเรียกร้อง
ให้หยุดการชี้นิ้วหาคนผิด ให้ยอมอภัยให้แก่กัน หากคนเหล่านั้นเป็นเพียงคนที่หมอรู้จัก
หรือรักใคร่ชอบพอ อยากรู้ว่าหมอจะยังออกมาพูดอย่างนี้ไหม หมอจะกล้าบอกไหมว่า
ให้เลิกแล้วต่อกัน อภัยให้แก่กัน แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่

หากหมอเองยังทำไม่ได้ แต่ที่พูดได้เพราะหมอถือว่าคนที่เจ็บคนที่ตาย ไม่ได้มี
ความสำคัญต่อหมอ แม้เพียงแค่นับเป็นเพื่อนร่วมชาติ หมอถึงออกมาพูดอย่างนี้ได้
น่าเสียดายนักที่สิ่งที่หมอพูด สิ่งที่หมอเรียกร้องมันมาช้าเกินไป นอกจากจะไม่ทำ
ให้คนที่เจ็บปวดเห็นด้วยกับหมอ

มันกลับทำให้เขาว่าหมอก็ไม่ได้ต่างไปจาก
"นักการเมือง"ที่ดีแต่พูด แต่ไม่รู้จักลงมือทำ

รายงานตัว

เมื่อวานไปร่วมกิจกรรมที่เชียงใหม่มาด้วย เดินทางโดยสายการบินโอเลี้ยงไทย
ด้วยเหตุที่ราคาถูกที่สุดที่จะหาได้ บินเที่ยวบ่ายสามโมงฝ่าๆ

ถือกระเป๋าแดงแจ๋ ไปด้วย โหลดใต้ท้องเครื่องไป ทั้งๆที่ใบเล็กจี๊ดเดียว
แต่ขี้เกียจถือ เมื่อเดินทางถึงสนามบินเชียงใหม่ รับกระเป๋ามาเจออย่างนี้แหละค่ะ

ขำก็ขำ โกรธก็โกรธ สงสัยไอ้พนักงานโหลดกระเป๋ามันคงหงุดหงิด
ว่าจะส่งแมวไปบอกผู้บริหาร มันอยู่เหมือนกัน

ไปถึงมีราชรถมาเกยถึงที่ โดยอภินันทนาการจากน้องสองคนที่เชียงใหม่
คือน้องหินและน้องแก้ม ไปรับแล้วยังเอาไปส่งให้เอาสัมภาระลงที่โรงแรม
แล้วพาไปยังถนนคนเดิน ได้ถ่ายรูปมาเล็กน้อยดังนี้

มีคนบอกว่าสาวงามท่านนี้สวยระดับนางงาม เป็นนางงามสูงอายุ
จากภาพจะเห็นว่าท่านงามแต๊ๆ

อันนี้เป็นเหล่าคนตาบอดที่ถนนคนเดิน สามารถเล่นเพลงของเสื้อแดงได้
ประชาชนเฮกันมากในจุดนี้

จบการเดินก็มานั่งสังสรรกันต่อ ได้เจอแกนนั่ง(หน้าจอ)หลายหลายท่าน
มิหนำซ้ำยังได้รับความอนุเคราะห์จากคุณอาข่า เลี้ยงดูจนอิ่มจังตังค์อยู่ครบ ฮ่าๆๆๆๆ

เดินทางกลับด้วยมิตรไมตรีจากน้องทั้งสองมารับไปขึ้นเครื่องอีกครั้ง(น่ารักจริงๆ)
งวดหน้าจะไปเยือนอีกค่ะ เมืองหลวงของเสื้อแดง

ขอจบด้วยรูปสุดท้ายในห้องที่โรงแรม รายนี้ไปไหนไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านฟ้า
ราชประสงค์ แม้จนมาเชียงใหม่เปิ้นก็ยังมาด้วยเจ๊า