จากข่าวตั้งแต่วันที่ 5 ตค. 2553
ผบช.ภ.5 ยันภารกิจลอบสังหารคนสำคัญ
พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รักษาการแทน ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า จากการสอบสวน
พบว่า 1 ใน 11 คนร้ายที่ถูกจับกุมได้ที่เชียงใหม่ผ่านการฝึกใช้อาวุธมาเพื่อเป้าหมาย
บางอย่าง รวมถึงภารกิจลอบสังหารบุคคลสำคัญ อยู่ในขบวนการหมิ่นเบื้องสูงและ
เชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงเทพฯ ขณะนี้ตำรวจได้กันทั้ง 11 คนไว้เป็นพยาน
เพื่อสาวให้ถึงตัวผู้บงการ ซึ่งพบว่ายังมีหลายกลุ่มที่ผ่านการฝึกในลักษณะเดียวกันมาอีก
จำนวนมาก
“อีกไม่นานจะมีข่าวดี เชื่อว่าจะสามารถจับผู้บงการได้และจะช่วยคลี่คลายคดี
เกี่ยวกับความมั่นคง กว่า 200 คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) ได้แน่” พล.ต.ต.ชัยยะกล่าว
วันนี้ ก็วันที่ 22 ตค.แล้วนะคะ ผ่านไปใกล้ครบ 3 อาทิตย์แล้ว เลยมาทวงการบ้าน
ที่ทั่นว่า อีกไม่นานจะมีข่าวดี อีกไม่นานนี่
มันนานเท่าไหร่กันหนอ จะรอให้รอไปถึงเมื่อไหร่ หรือข่าวดีของทั่นลอยตามน้ำ
หายสาบสูญไปไหนเสียแล้ว หรือถุกคลิปฉาวกลบข่าว
หรือทั่นเป็นพวกเดียวกับหญิงเป็ด พูดเหมือนกันเลย ว่าอีกไม่นาน ของหญิงเป็ด
ก็รอมา 5ปีแล้ว ยังไม่เห็นโผล่ โผล่แต่หางของหญิงเป็ดที่นับวันแต่จะยาวขึ้น
ทุกที มิหนำซ้ำ ยังออกสีแดงเรื่อๆ หรือจะกลายเป็นพวกหางแดง อย่างเขาว่า
ช่วยเร่งคดีหน่อยน้า เห็นกันไว้เป็นพยานทั้ง 11คน คงได้ข้อมูลดีๆมาบ้างล่ะจริงไหม
หรือตอนนี้คนเขียนบทไม่ว่าง มัวไปเขียนบทให้ไอ้เด็กเวร ทำตัวเป็นนางงาม ออกมา
นั่งรับโทรศัพท์ รับบริจาคอยู่
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553
แม่งทำอะไรเป็นบ้างนอกจาก..สร้างภาพ
มีนายกฯมาก็หลายคน ต่างมีบุคคลิกต่างๆกัน บางคนก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
บางคนก็บอกแต่ว่า"ไม่มีปัญหา" บางคนก็พูดตรงๆไม่เคยเอาใจนักข่าว
บ้างก็ทำงานหนัก จนเห็นผลงาน แต่กลับไม่ถูกใจคนบางคน
มาเจอไอ้นายกฯเวรนี่แหละที่มีไอ้เปรตที่ไหนไม่รู้ชมว่า"ประเทศไทย
โชคดีที่มีมันเป็นนายกฯ" แต่ประชาชนกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ประชาชน
เขาเกลียดขี้หน้า กล่าวหาว่าปล้นเก้าอี้เขามา แค่นั้นยังไม่พอ ทำงาน
ทำการอะไรก็ไม่เป็น เอาแต่เกาะโพเดี้ยม พล่าม และก็พูดอะไรที่นึกว่าเก๋ๆ
ไปวันๆ ผลงานไม่มี สร้างได้แต่หนี้ แต่กลับหาเงินไม่เป็น รายได้ส่วนใหญ่
มาจากภาษี ไล่บี้ไล่เก็บ ที่สำคัญคือภาษีน้ำมัน เพราะมันง่ายดี
พอเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ เมื่อวานฟังวิทยุเขาประกาศว่า
มีถึง17จังหวัด พอมาวันนี้ขึ้นไปถึง22จังหวัดแล้ว นายกฯทำอะไร
ในการแก้ปัญหา จะทำอะไรเป็น นอกจากสร้างภาพไปวันๆ(อ๊ะๆ ข่าวเดี๋ยวนี้เอง
ปาเข้าไป28จังหวัดแล้ว)
เดินสายตรวจเยี่ยมประชาชนที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งการไปก็ทำให้ภาพออกมาดู
ทุเรศทุรังกาหนักกว่าเดิม ไอ้นิสัยเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แก้เท่าไหร่ไม่หาย
ชาวบ้านยืนแช่น้ำที่ท่วมเกือบถึงเอวเป็นแบคกราวน์ ส่วนไอ้เวรนั่งเรือท้อง
แบน ให้ฝูงสางเขียวลุยน้ำทั้งลากทั้งจูง บ๊ะมาอีกวัน คราวนี้น้ำท่วมแค่ตาตุ่ม
ใครก็ไม่รู้ดันไปบอกให้ใส่เสื้อชูชีพ หรืออาจไปเห็นไอ้หัวหน้าสางเขียว
ที่ไปวันก่อนเขาใส่กัน เลยนึกว่าน่าจะใส่บ้าง ภาพยิ่งดูทุเรศหนักกว่าเดิม
เข้าไปอีก
อยากรู้จริงๆเชียว หากมันคิดเองไม่ได้ ไอ้คนรอบตัวเนี่ยต่างก็ไม่มีสมอง
พอที่จะเตือนหรือสะกิดหน่อยหรือว่าไอ้การไปโชว์ตัวกลางน้ำท่วมนั้น
ไม่ได้ทำให้ประชาชนเขาหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ได้
ไม่ต้องมานั่งเรือท้องแบนโชว์หรอก แค่ตั้งใจทำงาน ศึกษาปัญหาอย่างจริงจัง
ก็น่าจะพอแล้ว แค่นั่งเรือโชว์มันไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ ที่บ้าจนเกินรับคือ
ออกทีวีรับโทรศัพท์ ขอเงินบริจาคเงินเนี่ยน่ะสิ มันเป็นหน้าที่หรืออย่างไร
นอกจาการสร้างภาพเหลวๆแล้วนี่ มันทำอะไรเป็นอีกไหม
![[Image: 12876587941287658809l.jpg]](https://lh3.googleusercontent.com/blogger_img_proxy/AEn0k_t_eUE0fPJGrHooUmDop94GVlTJ21upKMNjJKZsA08-ixIYvUQDP8gzgRBRvGBt7ZT7CA6YV76L02_fhh9anB47wG98Zqff-zatkE70jOpI=s0-d)
โห จากภาพนี้ เป็นห่วงคนลากจูงจังเลย กลัวแม่งมันปลดออกทั้งหมด
ฐานทำน้ำกระเด็นโดนผู้นำ
มันคงลืมตัวไป นึกว่าเป็นผู้ว่ากทม. ที่ต้องไปโชว์ตัวตอนน้ำท่วม
ไม่งั้นจะถูกด่าเหมือนท่านนายกฯสมัคร แต่ท่านก็ด่ากลับว่า"ไปเหยียบน้ำ
แล้วน้ำมันจะลดหรือ ผมก็นั่งประชุมผู้เกี่ยวข้อง วางแผนก้ไขอยู่นี่ไง ทำไม
ต้องไป เดินลุยน้ำด้วย"
แต่อย่างว่าล่ะเนอะ ขนาดคิดจะสร้างภาพ สู้นายพิจิตต์ รัตกุลยังไม่ได้เลย
รายนั้นเขารู้งาน เรียกนักข่าวมาทันถ่ายภาพกำลังลอกท่อ หุหุ
บางคนก็บอกแต่ว่า"ไม่มีปัญหา" บางคนก็พูดตรงๆไม่เคยเอาใจนักข่าว
บ้างก็ทำงานหนัก จนเห็นผลงาน แต่กลับไม่ถูกใจคนบางคน
มาเจอไอ้นายกฯเวรนี่แหละที่มีไอ้เปรตที่ไหนไม่รู้ชมว่า"ประเทศไทย
โชคดีที่มีมันเป็นนายกฯ" แต่ประชาชนกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ประชาชน
เขาเกลียดขี้หน้า กล่าวหาว่าปล้นเก้าอี้เขามา แค่นั้นยังไม่พอ ทำงาน
ทำการอะไรก็ไม่เป็น เอาแต่เกาะโพเดี้ยม พล่าม และก็พูดอะไรที่นึกว่าเก๋ๆ
ไปวันๆ ผลงานไม่มี สร้างได้แต่หนี้ แต่กลับหาเงินไม่เป็น รายได้ส่วนใหญ่
มาจากภาษี ไล่บี้ไล่เก็บ ที่สำคัญคือภาษีน้ำมัน เพราะมันง่ายดี
พอเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ เมื่อวานฟังวิทยุเขาประกาศว่า
มีถึง17จังหวัด พอมาวันนี้ขึ้นไปถึง22จังหวัดแล้ว นายกฯทำอะไร
ในการแก้ปัญหา จะทำอะไรเป็น นอกจากสร้างภาพไปวันๆ(อ๊ะๆ ข่าวเดี๋ยวนี้เอง
ปาเข้าไป28จังหวัดแล้ว)
เดินสายตรวจเยี่ยมประชาชนที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งการไปก็ทำให้ภาพออกมาดู
ทุเรศทุรังกาหนักกว่าเดิม ไอ้นิสัยเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แก้เท่าไหร่ไม่หาย
ชาวบ้านยืนแช่น้ำที่ท่วมเกือบถึงเอวเป็นแบคกราวน์ ส่วนไอ้เวรนั่งเรือท้อง
แบน ให้ฝูงสางเขียวลุยน้ำทั้งลากทั้งจูง บ๊ะมาอีกวัน คราวนี้น้ำท่วมแค่ตาตุ่ม
ใครก็ไม่รู้ดันไปบอกให้ใส่เสื้อชูชีพ หรืออาจไปเห็นไอ้หัวหน้าสางเขียว
ที่ไปวันก่อนเขาใส่กัน เลยนึกว่าน่าจะใส่บ้าง ภาพยิ่งดูทุเรศหนักกว่าเดิม
เข้าไปอีก
อยากรู้จริงๆเชียว หากมันคิดเองไม่ได้ ไอ้คนรอบตัวเนี่ยต่างก็ไม่มีสมอง
พอที่จะเตือนหรือสะกิดหน่อยหรือว่าไอ้การไปโชว์ตัวกลางน้ำท่วมนั้น
ไม่ได้ทำให้ประชาชนเขาหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ได้
ไม่ต้องมานั่งเรือท้องแบนโชว์หรอก แค่ตั้งใจทำงาน ศึกษาปัญหาอย่างจริงจัง
ก็น่าจะพอแล้ว แค่นั่งเรือโชว์มันไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ ที่บ้าจนเกินรับคือ
ออกทีวีรับโทรศัพท์ ขอเงินบริจาคเงินเนี่ยน่ะสิ มันเป็นหน้าที่หรืออย่างไร
นอกจาการสร้างภาพเหลวๆแล้วนี่ มันทำอะไรเป็นอีกไหม
โห จากภาพนี้ เป็นห่วงคนลากจูงจังเลย กลัวแม่งมันปลดออกทั้งหมด
ฐานทำน้ำกระเด็นโดนผู้นำ
มันคงลืมตัวไป นึกว่าเป็นผู้ว่ากทม. ที่ต้องไปโชว์ตัวตอนน้ำท่วม
ไม่งั้นจะถูกด่าเหมือนท่านนายกฯสมัคร แต่ท่านก็ด่ากลับว่า"ไปเหยียบน้ำ
แล้วน้ำมันจะลดหรือ ผมก็นั่งประชุมผู้เกี่ยวข้อง วางแผนก้ไขอยู่นี่ไง ทำไม
ต้องไป เดินลุยน้ำด้วย"
แต่อย่างว่าล่ะเนอะ ขนาดคิดจะสร้างภาพ สู้นายพิจิตต์ รัตกุลยังไม่ได้เลย
รายนั้นเขารู้งาน เรียกนักข่าวมาทันถ่ายภาพกำลังลอกท่อ หุหุ
ปู่จิ้น...พูดผิดพูดใหม่ได้นา
“หากนายกฯไม่ต้องการให้พรรคทำงานด้วยเราก็พร้อมที่จะไป
ผมก็ไปทำมาหากินอย่างอื่น” นายชวรัตน์กล่าว
เอ่อ จากกรณี ที่มีข่าวเขาจะเขี่ยพรรคภูมิใจห้อย เอ๊ยไม่ใช่ภูมิใจไทย
ออกจาการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ให้อ้างว่าเพื่อจะทำให้รัฐนาวาของแมลง
สาบดูดีขึ้น โดยจะได้ไปสยบข่าวการโกงกินอย่างมโหฬารของพรรคห้อย
ไม่ว่าจะเรื่องคอมพ์ฉาว เรื่องรถเมล์สายมรณะ เรื่องข้าวเน่า เรื่องกินหัวคิว
และก็เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่พรรคร่วมรัฐบาลนี้มีข่าวอื้อฉาว อีกจิปาถะ
แรกๆก็ซัดไปให้ว่าปชป.จะมาว่าโกงกินไม่บันยะบันยังได้ไง ก็กินกันมา
อย่างนี้ตั้งแต่ร่วมรัฐบาลแล้ว หรือเมื่อแรกร่วมหอลงโลง(เอ๊ย..โรง)กัน
น้ำต้มผักยังว่าหวาน อยู่ๆไปชักเหม็นขี้หน้า เห็นอะไรเป็นขัดหูขัดตาไปหมด
อยากจะถีบหัวส่งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด หรือเป็นเพราะแย่งกันกิน จนกินไม่พอ
หรือหมั่นไส้ที่มันได้กินกระทรวงที่หาช่องทางกินได้อิ่มกว่า เลยชักพาลพะโล
โฉเก ไม่อยากให้มาแย่งกินอีกต่อไปแล้ว จึงไม่ได้รักษาน้ำใจกันบ้างเลย
ปู่แกในฐานะหัวหน้าพรรคแม้จะไม่ใช่ตัวจริง แต่รักษาการณ์อยู่แทนไอ้ห้อยเขา
ก็ต้องเซ็งเป็นธรรมดา บรรดาลิ่วล้อลูกพรรคก็อึดอัดคับข้องใจ อยากจะทิ้ง
ไปเหมือนกันหละ เรื่องอะไรจะไปรอให้เขาด่าทอ ผลักไสไล่ส่งอยู่ไม่เว้นแต่
ละวัน ทั้งๆที่ใจก็ยังนึกเสียดาย ไม่อยากทิ้งไปง่ายๆ ก็แหมเงินทองที่ช่วยกัน
โกงกันกินมันน้อยๆอยู่เมื่อไร หากออกมาจริงๆ ไอ้ครั้นจะทำให้รัฐนาวาพลิกคว่ำ
จับพลัดจับผลู เพื่อไทยได้พลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ปู่และคนในพรรค
ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าโอกาสไปขออยู่ร่วมชายคากับเขาอีกครั้งมันเป็นไปไม่ได้
ก็แหมน่ะนะ ทำกับเขาไว้จนแสบ หากออกไปจริงๆ แม้จะไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน
ก็คงเป็นพรรคฝ่ายค้านหัวเน่าที่ไม่มีใครเขาคบค้าสมาคมด้วย
ก็เลยจำต้องทน แม้จะต้องร้องครวญครางว่า"เรียมเหลือทนแล้วนั่น..."
ก็ยังต้องทนให้เขาโขกสับต่อไป โอกาสเดียวในชีวิตจะหาได้ที่ไหน มี
สส.อยูกระหยิบมือ(ขโมยเขามาเสียด้วย) ยังได้คุมกระทรวงหลักๆขนาดนี้
ชาตินี้เลือกตั้งอีกกี่ครั้ง ก็คงไม่ได้คุมกระทรวงดีๆอย่างนี้อีก
แต่เกือบลืมที่จะเขียนเรื่องตามที่จั่วหัวไว้ คือพอปู่แกอึดอัดมากๆ แกเลยหลุด
ให้สัมภาษณ์สื่อไปอย่างนั้น ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ไอ้ที่บอกว่า"ผมจะได้ไปทำมา
หากินอย่างอื่น" อ้าวเฮ้ยปู่ ตกลงที่เข้ามาคุมกระทรวงเนี่ย ไม่ได้เข้ามาบริหาร
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่ชาติและประชาชนหรอกหรือ ปู่พูดอย่างนี่ก็หมายความว่า
ที่ผ่านมาปู่และพวกทำมาหากินอยู่กับกระทรวงที่คุมอยู่น่ะสิ ถึงได้หลุดปากมาว่าจะได้
ไปทำมาหากินอย่างอื่น
ฮ่วย ปู่เคยทำการค้าน่ะเขารู้กันอยู่ แต่ปู่ก็คงรู้สินะเวลาทำการค้าน่ะ มันไม่ได้
หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ง่ายดายเหมือนกินหัวคิวหรอกจริงไหมปู่ ทำเป็นลืม
จึงเชื่อได้เลยต่อให้ไล่หนักกว่านี้ ปู่ละพวกก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อปากและท้อง
ของตัวเองจริงไหมปู่
ผมก็ไปทำมาหากินอย่างอื่น” นายชวรัตน์กล่าว
เอ่อ จากกรณี ที่มีข่าวเขาจะเขี่ยพรรคภูมิใจห้อย เอ๊ยไม่ใช่ภูมิใจไทย
ออกจาการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ให้อ้างว่าเพื่อจะทำให้รัฐนาวาของแมลง
สาบดูดีขึ้น โดยจะได้ไปสยบข่าวการโกงกินอย่างมโหฬารของพรรคห้อย
ไม่ว่าจะเรื่องคอมพ์ฉาว เรื่องรถเมล์สายมรณะ เรื่องข้าวเน่า เรื่องกินหัวคิว
และก็เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่พรรคร่วมรัฐบาลนี้มีข่าวอื้อฉาว อีกจิปาถะ
แรกๆก็ซัดไปให้ว่าปชป.จะมาว่าโกงกินไม่บันยะบันยังได้ไง ก็กินกันมา
อย่างนี้ตั้งแต่ร่วมรัฐบาลแล้ว หรือเมื่อแรกร่วมหอลงโลง(เอ๊ย..โรง)กัน
น้ำต้มผักยังว่าหวาน อยู่ๆไปชักเหม็นขี้หน้า เห็นอะไรเป็นขัดหูขัดตาไปหมด
อยากจะถีบหัวส่งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด หรือเป็นเพราะแย่งกันกิน จนกินไม่พอ
หรือหมั่นไส้ที่มันได้กินกระทรวงที่หาช่องทางกินได้อิ่มกว่า เลยชักพาลพะโล
โฉเก ไม่อยากให้มาแย่งกินอีกต่อไปแล้ว จึงไม่ได้รักษาน้ำใจกันบ้างเลย
ปู่แกในฐานะหัวหน้าพรรคแม้จะไม่ใช่ตัวจริง แต่รักษาการณ์อยู่แทนไอ้ห้อยเขา
ก็ต้องเซ็งเป็นธรรมดา บรรดาลิ่วล้อลูกพรรคก็อึดอัดคับข้องใจ อยากจะทิ้ง
ไปเหมือนกันหละ เรื่องอะไรจะไปรอให้เขาด่าทอ ผลักไสไล่ส่งอยู่ไม่เว้นแต่
ละวัน ทั้งๆที่ใจก็ยังนึกเสียดาย ไม่อยากทิ้งไปง่ายๆ ก็แหมเงินทองที่ช่วยกัน
โกงกันกินมันน้อยๆอยู่เมื่อไร หากออกมาจริงๆ ไอ้ครั้นจะทำให้รัฐนาวาพลิกคว่ำ
จับพลัดจับผลู เพื่อไทยได้พลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ปู่และคนในพรรค
ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าโอกาสไปขออยู่ร่วมชายคากับเขาอีกครั้งมันเป็นไปไม่ได้
ก็แหมน่ะนะ ทำกับเขาไว้จนแสบ หากออกไปจริงๆ แม้จะไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน
ก็คงเป็นพรรคฝ่ายค้านหัวเน่าที่ไม่มีใครเขาคบค้าสมาคมด้วย
ก็เลยจำต้องทน แม้จะต้องร้องครวญครางว่า"เรียมเหลือทนแล้วนั่น..."
ก็ยังต้องทนให้เขาโขกสับต่อไป โอกาสเดียวในชีวิตจะหาได้ที่ไหน มี
สส.อยูกระหยิบมือ(ขโมยเขามาเสียด้วย) ยังได้คุมกระทรวงหลักๆขนาดนี้
ชาตินี้เลือกตั้งอีกกี่ครั้ง ก็คงไม่ได้คุมกระทรวงดีๆอย่างนี้อีก
แต่เกือบลืมที่จะเขียนเรื่องตามที่จั่วหัวไว้ คือพอปู่แกอึดอัดมากๆ แกเลยหลุด
ให้สัมภาษณ์สื่อไปอย่างนั้น ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ไอ้ที่บอกว่า"ผมจะได้ไปทำมา
หากินอย่างอื่น" อ้าวเฮ้ยปู่ ตกลงที่เข้ามาคุมกระทรวงเนี่ย ไม่ได้เข้ามาบริหาร
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่ชาติและประชาชนหรอกหรือ ปู่พูดอย่างนี่ก็หมายความว่า
ที่ผ่านมาปู่และพวกทำมาหากินอยู่กับกระทรวงที่คุมอยู่น่ะสิ ถึงได้หลุดปากมาว่าจะได้
ไปทำมาหากินอย่างอื่น
ฮ่วย ปู่เคยทำการค้าน่ะเขารู้กันอยู่ แต่ปู่ก็คงรู้สินะเวลาทำการค้าน่ะ มันไม่ได้
หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ง่ายดายเหมือนกินหัวคิวหรอกจริงไหมปู่ ทำเป็นลืม
จึงเชื่อได้เลยต่อให้ไล่หนักกว่านี้ ปู่ละพวกก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อปากและท้อง
ของตัวเองจริงไหมปู่
เมื่อสาวสองวัยไปญี่ปุ่น
ถึงญี่ปุ่นแล้ว เข้าเมืองแล้ว ก็หาทางไปโรงแรม ตอนเปิดเนตหา เลือกแล้วว่า
อยู่ไม่ไกลสถานี มันก็ไม่ไกลจริงๆด้วย หากเดินตัวเปล่า แต่ด้วยกระเป๋าสามใบ
โอ้โห อย่าบอกใครเชียว โรงแรมบอกทางที่เดินใกล้ที่สุดให้ แต่เขาไม่ได้บอกข้อแม้ว่า
ต้องแบกกระเป๋าขึ้นสะพานลอยด้วย โอ้แม่เจ้า คุณนายกลายเป็นเบ๊ไปในพริบตา
ขนาดลูกสาวแสนดี ช่วยเป็นธุระจัดการใบใหญ่ของแม่ให้ แต่มันก็ยังทุลักทุเลอยู่ดี
ทั้งลากทั้งจูง เตะถีบกระเป๋าไปจนถึงโรงแรม เอากระเป๋าฝากไว้ก่อน เพราะยังเช็คอิน
ไม่ได้ แล้วออกไปเดินหาข้าวกินกัน ไปเจอร้านลิ้นย่างอย่างบังเอิญที่แถวชิบูญ่า
คนต่อคิวกันเสียด้วย อ๊ะๆไม่ได้ต่อคิวกำลังอินเทรนด์เลยไปต่อกะเขาด้วย แต่ไม่นานเท่าไหร่
ได้กินลิ้นย่างอร่อยเท่าที่เซนไดเลยเชียว ราคาก็ไม่แพงเท่าที่กินที่สถานีรถไฟในเซนไดด้วยซ้ำ
กินเสร็จเดินชมสถานที่ เข้าไปในร้านTkyo Hands ร้านโปรด จนบ่ายแก่ๆ กลับมาโรงแรม
พบว่าเขาเอากระเป๋าขึ้นไปไว้ในห้องเรียบร้อยแล้วน่ารักจริงๆ โรงแรมนี้ชื่อ Sakura Fleur
นะคะ คุยว่าเป็นโรงแรมสำหรับผู้หญิง แต่งห้องหวานแหวนสีชมพูทั้งห้อง
http://web.travel.rakuten.co.jp/portal/m...f_no=29764
พนักงานน่ารักมากทั้งชายและหญิง ทั้งกะเช้ากะกลางคืน เป็นอันว่าคืนแรกผ่านไปด้วยดี
อ้อจากชิบูญ่าเดินกลับไม่ไหวล่ะค่ะเพราะทางขึ้นเนิน เลยเรียกแท็กซี่ รู้ล่ะค่ะว่ามันแพง
แต่รากหญ้าเดินไม่ไหวอ้ะ แท็กซีคงงงมากๆ เพราะแค่ขึ้นเนินมาก็ถึงแล้ว มิเตอร์ยังไม่หมุน
เลย เป็นอันว่าจ่ายไปแค่ราคาเริ่มต้น 710 เยน ก็แหมน่ะนะ เพื่อความสบายน่องเกิดป่วย
จะไปเที่ยวต่อได้ไง จริงไหมคะ
วันรุ่งขึ้นกะว่าจะไปตลาดปลา ไปกินซูชิร้านดังสักหน่อย เหอๆ มาญี่ปุ่นตั้งหลายรอบ
ไม่เคยไปถึงสักที ออกแต่เช้าหน่อย จะได้ไม่ต้องคอยนาน(ลูกชายเคยมาเขาว่างั้น)
แต่ไอ้เช้าขนาดตีห้า เพื่อไปดูเขาประมูลปลาน่ะทำไม่ไหวหรอกนะคะ เร็วที่สุดที่ไป
ถึงร้าน ประมาณเจ็ดโมงเช้า เดินหาร้านสักพัก ลูกชายบอกชื่อร้านมาแล้ว มีสองร้าน
แต่ตอนนี้จำได้แค่ร้านเดียวคืด ซูชิได ที่ตลาดปลาแห่งนี้มีร้านขายซูชิหลายร้าน
แต่ที่เป็นร้านดัง(ดังน่ะไม่ได้หมายความว่าอร่อยสุดนะคะ ร้านอื่นเป็นไงไม่ทราบนะคะ
ว้ายเล่าแค่นี้ก่อน ต้องรีบออกไปดูกวางต่อล่ะค่ะ เดี๋ยวค่ำนี้มาเล่าต่อ
มาต่อแล้วค่ะ ไปถึงร้าน ก็กะเอาว่าร้านที่คนต่อแถวยาวๆน่ะถ้าจะใช่เป็นแน่
ร้านหนึ่งคนจะเยอะกว่า หน้าร้านดูไม่มากเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้ว เขาไปต่อคิวกันอีก
ฝั่งถนนเพราะโดยมารยาท แถวมันจะไปบังหน้าร้านคนอื่นเขา
พบว่าเขาคอยกันอย่างมีระเบียบ ส่วนมากจะมากันสองคนเป็นหนุ่มกะสาว
ที่เห็นเป็นสาวสองวัยก็มีป้ากะลูกนี่แหละค่ะ อ้อ ตอนไปยืนคอยคิว มีผู้หญิง
หน้าตาเป็นสาวเอเชียยืนอยู่คนเดียว เขาถามฝรั่งที่ยืนข้างหน้าว่าคอยนาน
เท่าไหร่ พอรู้ไหม ฝรั่งบอก ไอด้นโน่ว ป้าเห็นเป็นคนเอเชียด้วยกัน เลยบอก
ให้ว่าเห็นเขาว่าสองชั่วโมงนา เลยชวนคุย ถามว่ามาจากไหน สาวเจ้าตอบว่ามาจาก
เมกา เอากับหล่อนสิ สงสัยเป็นคนไทยในอเมริกา ที่อายที่จะบอกใครๆว่าเป็นคนไทย
อิอิ ไม่บอกก็ไม่บอก ป้าก็ไม่บอกเขาว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ก็อายเหมือนกันแหละ
ถามเขาว่าแล้วรู้จักร้านนี้ได้ไง หล่อนตอบว่าอ่านเจอในอินเตอร์เน็ต เลยนึกได้ว่าเออหนอ
อินเตอร์เน็ตมันดีอย่างนี้นี่เอง คนจากทั่วโลก ก็มาหาร้านได้ อย่างที่บอกร้านอื่นๆอาจจะ
อร่อยพอๆกันก็ได้ แต่ไม่ได้ลงในอินเตอร์เน็ต คนเลยไม่รู้จัก อีกอย่างคนเรามักบ้าตามกระแส
เขาว่าดีก็ต้องขอไปลองให้ได้
ยืนคอยคิว เหมือนว่าจะไมมีการขยับเลยสักนิด แต่ก็ยืนคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ
แต่สาวหน้าเอเชีย เธอหมดความอดทนเอาตอนครบชั่วโมงล่ะค่ะ เดินหายไปเลย
พอใกล้สองชั่วโมง แถวขยับมายืนหน้าร้านแล้ว อ๊ะๆยังก่อน ยังไม่ได้เข้าไป ก็แหม
ยังไม่ครบสองชั่วโมงเลยนี่นา สาวเอเชียเธอก็เดินกลับมาแล้วบอกว่าไม่ต้องห่วงไอนะ
ไอไปสวาปามร้านอื่นมาแล้วล่ะ บาย แน้ อุตส่าห์เดินมาบอก กลัวเราจะเก็บคิวไว้ให้
เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า จะไปคอยคิวอะไรต้องมีคนรู้ใจไปคอยด้วย มาคนเดียว
มันเซ็ง แล้วก็จะถอดใจเอาได้ง่ายๆ ระหว่างการคอยจนขยับมาหน้าร้าน จะมีคุณป้า
เจ้าของร้านเดินมาถามว่าจะกินอะไร มีให้เลือกสองเมนู คือเจ็ดคำ กะสิบคำราคาก็ต่าง
กันนะคะ สิบคำก็ตก3,950เยน ส่วน 7คำก็2,000 กว่าๆ จำไม่ได้แล้วล่ะค่ะว่าสองพัน
เท่าไหร่
ความต่างของสิบคำ ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นสิบคำที่จะมีคำพิเศษที่เชฟเลือกให้ แล้วคำที่11
เป็นคำที่แถมให้โดยลูกค้าจะเป็นคนเลือกได้ว่าไอ้ที่ล่อเข้าไปสิบคำน่ะ ประทับใจอยากเบิ้ล
คำไหน ก็บอกมา เขาจะจัดให้ ส่วนไอ้พวกที่กินเจ็ดคำน่ะ เขาจะไม่ค่อยดูดำดูแดง
คงหมิ่นว่ามันกระจอก อะไรกินทั้งทีก็กินแค่เจ็ดคำ สมคงไม่มีตังค์ล่ะสิท่า อะไรทำนองนั้น
เพราะอาหารเกือบจะไม่เหมือนพวกเศรษฐีเขากินเอาเสียเลย
ที่รู้ดีน่ะ เพราะป้าคาดว่า สิบคำคงยัดเข้าไปไม่ไหวแน่นอน เอาแค่เบาะๆ เจ็ดคำก็พอ แหมเขาทรีตคนละแบบกับลูกสาวที่สั่งแบบสิบคำนะคะ บอกตรงๆ ก็งั้นๆแหละค่ะ หาได้เป็นอาหาร
สวรรค์วิมานอะไร ชอบน่ะชอบอยู่ แต่เทียบกับเวลาที่เสียไปมันไม่คุ้มเอาเสียเลย
แต่น่ะนะ ไหนๆก็ไหนๆ ไม่ลองไม่รู้ ร้านนี้ล่ะมั้งที่โน้ต อุดม เอาไปเล่าหากินครั้งล่าสุด
แต่ต้องยอมรับว่าเขาเล่าได้สนุกสนานเกินจริงไปเยอะเลย อิอิ เอาเป็นว่า ถ้าเคยไปญี่ปุ่น
หลายครั้งแล้ว และไม่รู้จะไปไหนดี ไปลองสักครั้งเก็บเอาไว้คุยก็ดีนะคะ แต่ถ้าไม่มี
เวลาเหลือเฟือขอแนะนำว่าอย่าไปเลย ไม่ได้วิเศษปานนั้นหรอกค่ะ คอยสองชั่วโมง
กินจริงๆแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง
จากร้านซูชิ ก็ได้เวลาช้อบปิ้ง ก็ได้ไปเดินแถวTokyu Hands นั่นแหละค่ะ อยู่ได้ทั้งวัน
จุดใหญ่ของทริปนี้ไม่ได้อยู่ที่โตเกียว แวะมาอย่างนั้นเอง วันรุ่งขึ้นตั้งใจจะไปออนเซน
แหมไม่อยากเล่าเลย พูดไปแล้วก็อ๊ายอาย เอาเป็นว่าเอาไว้เฉลยความเชยต่อพรุ่งนี้แล้วกันค่ะ
แวะมาเล่าต่อก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวต่อนะคะ จะเล่าถึงความเชย
คิดได้ว่า"ความเชยไม่เคยปราณีใคร ก็แหม ตั้งใจจะไปแช่ออนเซน แล้วก็เที่ยว
ฮาโกเน่ด้วย ใครๆก็บอกว่าซื้อฮาโกเน่พาสสิดี คุ้ม ได้ทั้งค่ารถไป-กลับ
ได้ทั้งค่าพาหนะรอบทะเลสาบ มีหรือคนงกอย่างเราจะไม่เอา ยังไปต่อรองเขา
อีกแน่ะว่า ก็ไอไม่กลับมาโตเกียว จะน่าเสียดายค่าบัตรไหมเนี่ย หล่อนทำตาขวาง
แล้วดุว่ายูไม่กลับมาก็เสียไปฟรีๆแค่ ประมาณ300เยนเอง จะงกอะไรนักหนา (อันนี้
ป้าว่ามันคงแอบคิดในใจ หะหะ)
เอาก็เอา ซื้อฮาโกเน่พาส 5000 เยน แล้ววาดหวังว่าจะได้ท่องเที่ยวฮาโกเน่อย่าง
สบายใจหนึ่งวันเต็ม ค่อยไปนอนแช่ออนเซนที่จองไว้ ที่ไหนได้ฝันสลายเมื่อนั่งรถไฟ
ไปถึงสถานีแรก โอดาวาหระ ลงรถไปถามนายสถานีว่า จะไปโรงแรมได้อย่างไร
กะว่าจะได้ฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับโรงแรม แล้วท่องเที่ยวอย่างสบายใจ เหมือนที่ทำปกติ
โอ้โอ๋นายสถานีดูชื่อโรงแรมและแผนที่ บอกกลับมาว่า "อะโน่ ยูมาผิดทิศนะนายจ๋า"
อุ๊ยต๊ายตายว้ายกรี๊ด แปลว่าอะไรเจ้าคะ ลุงแกบอกว่า อันทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ
นี้มีอยู่ห้าแห่งนะจ๊ะ ไอ้อันที่ยืนกันอยู่เนี่ยเขาเรียกว่าทะเลสาบอะชิ ส่วนที่ตั้งโรงแรมน่ะ
อยู่ขึ้นไปทางเหนือสุด ต้องนั่งรถต่อไปอีกไกล ที่สำคัญพาสที่ซื้อมาไม่coverด้วยนะจ๊ะ
ฟังแล้วอยากสลบ เสียเงินไม่ว่า แต่กระเป๋าหนูจะทำไงล่ะลุง
แล้วก็เริ่มเอาใบจองโรงแรมออกมาศึกษา โอ้โอ๋เขาบอกอย่างละเอียดว่าให้เดินทาง
มาจากโตเกียวอย่างไรใช้รถสายอะไร ราคาเท่าไหร่ ใช้เวลาแค่150นาที แต่ยัยป้าแกไม่ฟัง
แกคิดเอง หะหะ แล้วก็คิดผิด จะเล่าต่อลูกสาวก็มาเร่งยิกๆจะออกไปแล้วนะคะ
เดี๋ยวคืนนี้มาเล่าต่อ
แวะมาเล่าต่อก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวต่อนะคะ จะเล่าถึงความเชย คิดได้ว่า"ความเชยไม่เคยปราณีใคร ก็แหม ตั้งใจจะไปแช่ออนเซน แล้วก็เที่ยว ฮาโกเน่ด้วย ใครๆก็บอกว่าซื้อฮาโกเน่พาสสิดี คุ้ม ได้ทั้งค่ารถไป-กลับ ได้ทั้งค่าพาหนะรอบทะเลสาบ มีหรือคนงกอย่างเราจะไม่เอา ยังไปต่อรองเขา อีกแน่ะว่า ก็ไอไม่กลับมาโตเกียว จะน่าเสียดายค่าบัตรไหมเนี่ย หล่อนทำตาขวาง แล้วดุว่ายูไม่กลับมาก็เสียไปฟรีๆแค่ ประมาณ300เยนเอง จะงกอะไรนักหนา (อันนี้ ป้าว่ามันคงแอบคิดในใจ หะหะ) เอาก็เอา ซื้อฮาโกเน่พาส 5000 เยน แล้ววาดหวังว่าจะได้ท่องเที่ยวฮาโกเน่อย่าง สบายใจหนึ่งวันเต็ม ค่อยไปนอนแช่ออนเซนที่จองไว้ ที่ไหนได้ฝันสลายเมื่อนั่งรถไฟ ไปถึงสถานีแรก โอดาวาหระ ลงรถไปถามนายสถานีว่า จะไปโรงแรมได้อย่างไร กะว่าจะได้ฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับโรงแรม แล้วท่องเที่ยวอย่างสบายใจ เหมือนที่ทำปกติ โอ้โอ๋นายสถานีดูชื่อโรงแรมและแผนที่ บอกกลับมาว่า "อะโน่ ยูมาผิดทิศนะนายจ๋า" อุ๊ยต๊ายตายว้ายกรี๊ด แปลว่าอะไรเจ้าคะ ลุงแกบอกว่า อันทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ นี้มีอยู่ห้าแห่งนะจ๊ะ ไอ้อันที่ยืนกันอยู่เนี่ยเขาเรียกว่าทะเลสาบอะชิ ส่วนที่ตั้งโรงแรมน่ะ อยู่ขึ้นไปทางเหนือสุด ต้องนั่งรถต่อไปอีกไกล ที่สำคัญพาสที่ซื้อมาไม่coverด้วยนะจ๊ะ ฟังแล้วอยากสลบ เสียเงินไม่ว่า แต่กระเป๋าหนูจะทำไงล่ะลุง แล้วก็เริ่มเอาใบจองโรงแรมออกมาศึกษา โอ้โอ๋เขาบอกอย่างละเอียดว่าให้เดินทาง มาจากโตเกียวอย่างไรใช้รถสายอะไร ราคาเท่าไหร่ ใช้เวลาแค่150นาที แต่ยัยป้าแกไม่ฟัง แกคิดเอง หะหะ แล้วก็คิดผิด จะเล่าต่อลูกสาวก็มาเร่งยิกๆจะออกไปแล้วนะคะ เดี๋ยวคืนนี้มาเล่าต่อ ชาติคือประชาชน ใช่เพียงคนไม่กี่คน ฉะนั้นด่ามันอย่ามาหาว่าด่าชาติ |
10-17-2010, 03:07 AM (This post was last modified: 10-20-2010 11:13 PM by ป้าปากเกร็ด.) Post: #8 | |||
| |||
RE: เมื่อสาวสองวัยไปญี่ปุ่น อิอิ ลูกสาวเขาปวดหัวกลับมานอนพักที่โรงแรม เลยมีโอกาสมาเล่าต่อ ถึงตอนที่คุณลุงที่สถานีบอกมาผิดทาง ให้นั่งรถต่อไปอีกจนสุดทางฟรี แล้วไปต่อรถอีกสายทีนี้ต้องเสียเงิน เอ่อ อารมณ์ เหมือนว่าจองรีสอร์ต ที่เชียงใหม่แต่ดันไปที่ขอนแก่น ต้องเดินทางจากขอนแก่นไปเชียงใหม่ ไปน่ะไปได้แต่แหมมันอ้อมโลก สรุปรวมเวลาเดินทางที่ควรจะเป็นแค่150นาที ก็เลยกลายเป็นห้าหก ชั่วโมงไปโน่น อ้อ แล้วอย่าลืมว่ากระเป๋าเดินทางอีกที่ต้องทั้งลากทั้งจูง ไปตลอดทาง โอ้โอ๋ หนักหนาสาหัสมาก แต่ยังดีที่ขณะกำลังถูลู่ถูกังขึ้น รถเมล์ มีเสียงคนไทยพูดขึ้นมาว่า "ผมช่วยถือให้ไหมครับ" โอช่างเป็น เสียงสวรรค์แท้ๆ เลยได้อาศัยพ่อหนุ่มนี่ดูแลกระเป๋าให้หนึ่งใบไปจนสุดทางรถ (ที่ต้องต่อสองสายอีกด้วย) หนุ่มเขาบินตามมาพบญาติ เพื่อเที่ยวฮาโกเน่ เขานัดเจอกันที่พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต แต่ป้าน่ะไม่มีเวลาไปดูอะไรหรอกค่ะ กลัวไปไม่ทันเช็คอินที่รีสอร์ตที่จองไว้ เขาสั่งห้ามเช็คอินเกินห้าโมงเย็น เพื่อความปลอดภัยเมื่อต่อรถสายเสียเงินไปที่สถานีที่คนที่รีสอร์ตจะมารับ เลยเข้าไปถามหารถที่จะกลับไปเกียวโตเสียให้เรียบร้อย หึหึ สุดยอด เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องนั่งรถกลับไปที่สถานีที่ออกเดินทางมาอีก แต่แนะนำ ให้เดินทางกลางคืน จะไปถึงเช้าเลย ไม่ต้องไปต่อที่ไหนอีก ว้ายตายแล้ว แล้วโรงแรมที่เดี๊ยนจองไว้ที่เกียวโตก็เสียเปล่าสิคะ มันคงเหงาแย่ไม่มีใครไปนอน ที่สำคัญจ่ายเงินไปแล้วด้วย อันนี้น่ะเดือดร้อนกว่า เลยไว้กลับไปคิดดูก่อน ขณะนั่งรถขึ้นมา ไกด์เขาก็บอกว่าให้มองไปทางขวามือจะเห็นฟูจิซัง เอ่อ มันไม่เห็นอ้ะค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ฟูจิซังไม่มียอดเป็นหิมะขาวโพลนแล้ว(นี่แหละ พิษภัยของโลกร้อน) ภูเขาก็เหมือนๆกันแล้วจะรู้ไหมเนี่ยว่าลูกไหนเป็นฟูจิ หลับๆตื่นๆไปจนถึงสถานีคาวาคูจิ ทะเลสาบอีกหนึ่งรอบภูเขาฟูจิ ผ่านฟูจิคิวด้วย รีสอร์ตสวนสนุก ลูกสาวก็ร่ำๆว่าอยากลงไปเที่ยว แต่แม่ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจไปคอยคิวอีก กระเป๋าก็ยังเป็นภาระอีก ไม่เอาล่ะ ไว้งวดหน้าแล้วกัน พอถึงสถานี ถามไถ่เรื่องรถกลับเรียบร้อยก็โทรศัพท์ไปที่รีสอร์ต เขาว่าอีกห้านาที จะส่งรถมารับ อ๊ะๆ ทีนี้ กุลีจะแปลงร่างเป็นคุณนายแล้วนา เพราะพออกมาจะInformation ลูกสาวก็ว่ารถมารับแล้ว มีไอ้หนุ่มยกกระเป๋าขึ้นรถไปเรียบร้อย คนขับใส่สูทอย่างดี (จริงๆที่ญี่ปุ่น คนขับรถใส่สูททุกคนแหละค่ะ แม้กระทั่งคนขับแท็กซี่) นั่งรถไปแป๊บเดียวถึงรีสอร์ตสวยงามมาก เขาพาไปที่พัก จองแบบหรูมาคือมีบ่อแช่น้ำร้อน ในห้องส่วนตัวเลย ไม่ต้องไปปะปนกับใคร โรงแรมแบ่งออกเป็นสองฝั่ง แบบธรรมดาใช้ บ่อน้ำร้อนรวมก็มีอยู่อีกฝั่งส่วนแบบหรูมีทั้งหมดหกห้อง เท่าที่ดูมีคนอยู่สามห้องนะคะ หน้าตาที่พักล่ะค่ะ ข้างบนนี้น่ะ ให้ที่อยู่ไว้ด้วยเผื่อใครสนใจบินตามไปลอง พอไปถึงก็จะมีสาวญี่ปุ่น(อันที่จริงแก่มากแล้ว)เป็นคนมาต้อนรับและแนะนำตัวว่า ชื่อ"ทีน่า" เขาจะเป็นคนดูแลตลอดเวลาที่เข้าพักอยู่ที่นี่ ทีน่าพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แต่ก็สื่อสารกันพอรู้เรื่อง อันนี้ก็เป็นข้อน่าสังเกตว่า ภาษาไม่ใช่อุปสรรคในการติดต่อ ขอแต่เพียงมีความจริงใจ พร้อมที่จะบริการ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ทำให้นึกไปถึงเรื่องที่ไอ้ควายจะไปจ้างฝรั่งมาสอนภาษาให้คนไทย จะสอนไปทำไม เห็นว่าจะจ้างมาตั้งหมื่นคน โธ่ถัง เสียเงินเปล่าๆ เดือนละตั้งห้าหมื่น มันท่าจะบ้าไปแล้ว เรื่องโง่ๆเนี่ยฉลาดนัก ภาษาไม่ใช่ปัญหา ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดเหมือนหลุดออกมาจากมดลูก ฝรั่งเลย สู้เอามาสร้างเสริมนิสัยให้รักการบริการยังจะดีกว่า นี่ถ้ากระแดะพูดฝาหรั่งได้ แม่งคงไม่เห็นหัวคนล่ะกระมัง ป๊าด..นึกขึ้นมาแล้วของขึ้น ทีน่ามาแนะนำตัวแล้วถามว่า "คุณท่านจะรับอาหารเย็นกี่โมงเจ้าคะ แล้วอาหารเช้าล่ะเจ้าคะ แล้วจะให้ทีน่ามาปูที่นอนกี่โมงดีคะ" โอ๊ยถามจัง กว่าจะรู้เรื่องคุณนายเหนื่อย พอทีน่าออกไปคุณนายก็ลงแช่น้ำ อ้อ มีสองบ่อนะฮ้า เดี๋ยวจะว่าไม่หรูจริงมีบ่อกลางแจ้ง แล้วก็บ่อในร่ม คุณนายเลยลองมันทั้งสองบ่อเลย อิอิ เหนื่อยแล้วนะคะ ไว้มาเล่าต่อเรื่องอาหารเย็น น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ |
อ่านแห้งๆมานาน ลองดูภาพประกอบบ้างนะคะ เริ่มแรกก็คุณป้าทีน่า
เธอหน้าตาอย่างนี้แหละค่ะ
เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้ เธอวิ่งเสิร์ฟจนน่าสงสาร อาหารทีเสิร์ฟก็มีมากมาย
เริ่มด้วย
รูปก็หมดไปเสียแล้ว เหลือแต่จานเปล่าๆ
แล้วต่อด้วย ซุปกา แล้วก็ปลาดิบ
ต่อมาก็oyster gratin
ยังยังไม่หมดค่ะ จานต่อไปหน้าตาเหมือนปลานึ่งซีอิ๊วมากๆ
แล้วก็ต่อมาด้วยเห็ดเทมปุระ
จบอาหารค่ำมื้อนี้จานสุดท้ายด้วยยากินิขุ เนื้อหน้าตาดีอย่างนี้แหละค่ะ
อร่อยมากๆ เขาเอากระทะมาให้ย่างเองเลยทีเดียว ใส่ปากไปก็แทบละลายเลยทีเดียว
คาดว่าหากมาหน้าหนาวอากาศเย็นกว่านี้ เขาคงเสิร์ฟนาเบะ(หม้อร้อนของญี่ปุ่น) ยังค่ะ
จะจบมื้อค่ำให้สมบูรณ์ได้อย่างไร หากไม่มีของหวาน
ลืมเล่าไปว่าเมื่อมาถึงรีสอร์ตเขาต้อนรับด้วยขนมญี่ปุ่นกับน้ำชา เขาเรียกขนมอะไรก็ไม่รู้
หน้าตาแปลกดี เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้
พรุ่งนี้จะมาต่อด้วยมือเช้าอันอลังการอีกนะคะ
นอนหลับไปตื่นนึง ก็ตื่นมาสักเจ็ดโมงเช้า รีบลุกมาแช่น้ำอีกรอบ เพื่อความคุ้ม
เพราะเดี๋ยวแปดโมงครึ่งคุณทีน่าเธอจะมาเสิร์ฟอาหารเช้า ซึ่งนับว่าคิดถูกมาก
เพราะพอรับข้าวเช้าเสร็จก็ใกล้เวลาไปขึ้นรถกลับแล้ว ไม่งั้นก็อดแน่ๆ
มีกาแฟ แล่้วก็อาหารหน้าตาแบบนี้แหละค่ะ
รับอาหารเช้าเสร็จก็ถามคุณทีน่าว่าจะไปถ่ายรูปรอบๆโรงแรมได้ไหม
เธอคงฟังไม่เข้าใจ นึกว่าจะให้ไปถ่ายรูปให้ เธอเลยวิ่งออกมาตามถ่ายรูป
ให้ตลอดเวลา ฮา น่ารักจริงๆ
เสร็จแล้วร่ำลาคุณป้าแก แกช่วยยกกระเป๋าอันหนักอึ้งไปส่งที่รถด้วย ยืนโค้งคำนับ
ส่งจนลับตา หันกลับมามองเธอก็ยังยืนส่งจนลับตาไปเลย บ๊ายบายคุณป้าที่น่ารัก
เป็นช่วงเวลาที่แสนประทับใจ ไม่รู้ว่ากลับมาครั้งหน้าคุณป้ายังอยู่ให้บริการอีกไหม
แต่คิดว่าอย่างไรจะกลับมาอีก พาคุณลุงมาฮันนิมูนอีกสักรอบ ประทับใจจริงๆ สมราคา
แหละค่ะ ดูแลดีขนาดนี้ แพงหน่อยก็คุ้ม เสียอย่างเดียว ทั้งยูกาตะ และที่เป่าผมเป็น
สีที่ไม่ถูกโฉลก อิอิ หากเป็นเมื่อก่อนต้องร้องกรี๊ดด้วยความถูกใจ แต่เดี๋ยวนี้กลับ
เป็นสีที่น่ารังเกียจไปเสียแล้ว
ออกจากสถานีคาวาคูจิ นั่งรถเมล์กลับไปทางเดิม กะว่าพอมีเวลาจะได้ใช้บัตร
ฮาโกเน่พาสบ้าง ก็ได้ใช้แค่มานั่งเรือชมทะเลสาบอะชิ นิดหน่อยแค่นั้นค่ะ
เรือหน้าตาเป็นอย่างนี้แหละค่ะ
ก็งั้นๆแหละค่ะ ลงที่ท่านึง ออกมาเจอร้านไอติม มีรถชาติแปลกๆ เช่นรสมันหวาน
รสงาดำ เลยลองเสียหน่อย ภาพอีกสาวกำลังเลือกไอศกรีม
ไอติมหน้าตาแบบนี้แหละค่ะ
ที่สถานีมีของขาย เจอร้านขายมันเทศเผา เขาเขียนภาษาไทยเชิญชวนเสียด้วย
เดินเล่นสักพักก็นั่งรถต่อไปสถานีMishima เพื่อขึ้นรถไฟชินกันเซ็นไปเกียวโต
ในที่สุดก็ได้มาถึงเกียวโตเรียบร้อย โรงแรมที่จองไว้ก็โอเค ไม่ไกลจากสถานีมากนัก
โรงนี้มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่ก็เฮ่อ มีแต่ข้าวสามเหลี่ยมกะเครื่องข้าวต้ม มีขนมปัง
ให้ปิ้งเอง โปรตีนแทบไม่มี แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีนะคะ
เช็คอินเข้าโรงแรมก็นอนเอาแรง พรุ่งนี้จะตะลุยเกียวโต รุ่งเช้าซื้อบัตรรถเมล์หนึ่งวัน
ราคาถูกหน่อย เพราะในเมืองเกียวโตมีรถใต้ดินน้อยมาก
ที่แรกที่ไปคือปราสาทสีทองหน้าตาอย่างนี้แหละค่ะ
เจอคนไทยไปถ่ายรูปแต่งงานด้วยที่รู้เพราะเขามีช่างภาพตามจัดท่าทางให้
โห อะไรจะขนาดนั้น เมื่อก่อนว่าไปถ่ายต่างจังหวัดก็ว่าหรูแล้ว นี่บินมาถ่ายถึงญี่ปุ่น
คงแพงน่าดู แต่ไม่ได้ทักกันหรอกค่ะ แปลกมากๆคนไทยเวลาเจอกัน พอได้ยินว่าพูดไทย ต่างคนต่างหลบ ไม่ยักทักทายกัน อิอิ ป้าก็เป็น
ออกจากปราสาททองก็ไปวัดเงินก็งั้นๆแหละค่ะ ปราสาททองดูน่าตื่นตากว่าเยอะ
แล้วก็ไปต่อที่วัดน้ำใส เจอนักเรียนฝูงเบ้อเริ่ม มาเที่ยวกัน แล้วถ่ายรูปหมู่กันน่าตื่นเต้น
จบวันนี้ด้วยเที่ยวเกือบครบไฮไลท์ของเมืองเกียวโต นอนเสร็จรุ่งขึ้น ไปซื้อตั๋วคันไซพาส
เพื่อจะนั่งรถไฟไปเมืองนารา แล้วต่อไปโอซาก้า คันไซพาส สองวันใช้ได้โดยไม่ติดต่อกันนะคะ
สามารถใช้วันหนึ่งแล้วหยุดไป ใช้อีกวันได้ เพราะจะได้ใช้ไปขึ้นรถไฟไปสนามบินคันไซได้
เริ่มใช้คันไซพาสก็นั่งไปฟูชิมิอินาริ ศาลเจ้าที่มีเสาประตูเยอะๆที่เขาว่าสีแดงน่ะค่ะ แต่ไปเห็นแล้ว
พบว่ามันไม่ยักจะแดงตามที่เห็นในรูปมันเป็นสีส้มชัดๆ เดินไปได้ครึ่งทาง ก็กลับ เขาว่าเดินอีกไกล
ไปไม่ไหวล่ะค่ะ
ระหว่างทางเดินขึ้นไป เจอร้านขายปลาไหลย่าง แบบที่เคยไปทานที่โตเกียว เลยต้องแวะสักหน่อย
ที่ร้านนี้มึคุณป้าเจ้าของร้านย่างปลาเชิญชวนอยู่หน้าร้าน มีลูกสาวคอยเสิร์ฟสองคน ส่วนคุณลุงคอย
ทำกับข้าวด้านใน หน้าตาปลาไหลชุด ก็มีข้าวหน้าปลาไหลย่าง โปะบนข้าว เสิร์ฟพร้อมซุปตับไตใส้พุง
กางเกงที่นุ่ง เอ๊ยไม่ใช่ ไม่มีกางเกง มีแต่ตับไตไส้พุงปลาไหล ส่วนที่เห็นอยู่ในกล่องคือก้างปลาไหลอบ
กรอบค่ะ อร่อยดี เคยทานแล้วติดใจเลยต้องสั่งมาอีก ลูกสาวว่าก็ไม่เห็นต่างจากปลาสลิดตรงไหนเลย
แหม เล่นเอาหมดราคา
ช่วงบ่ายเราไปเมืองนารา ไปดูกวางค่ะ มันน่ารักมากๆ เขามีขนมเซ็มเบ้ ขายไว้ให้กวางกิน
มันก็มากินถึงมือเชื่องดีค่ะ
ตกเย็นก็นั่งรถไฟไปโอซาก้า อ้อ จะสังเกตว่าวันนี้เที่ยวตัวปลิว
เพราะเอากระเป๋าฝากไว้ในล็อคเก้อร์ที่สถานีเกียวโต ตกเย็นถึงเวลาค่อยมาเอาไปขึ้นรถไฟ
ไปโอซาก้า ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึง
โรงแรมที่โอซาก้า จองบนสถานีรถไฟเลย เพราะไปอ่านเจอคนเขารีวิวว่าดีหนักหนา อยู่บนสถานี
เลี้ยวซ้ายเจอเจอาร์ เลี้ยวขวา เจอใต้ดิน มิหนำซ้ำ ยังมีfood market อยู่อีกด้วย เลยจองทันที
ดีดังว่า เพราะสะดวกอย่างที่เขารีวิว ป้าได้ห้องชั้นที่30 เขามี31ชั้น โหวิวสวยจับใจ ไม่ต้องไปเสียเงิน
นั่งกระเช้าดูเมือง
หน้าตาห้องพักบนชั้น 30 เห็นวิวเมืองโอซาก้าสวยงานค่ะ
วันแรกในโอซาก้าก็ช้อบปิ้ง สิคะ ไปเดินเรื่อยเปื่อย เพราะนอนตื่นสาย แล้วขี้เกียจไปเที่ยว
เดินโต็เต๋แถวโรงแรมนั่นแหละค่ะ เขาดีจริงๆ อยู่ใกล้ถนสายดังไม่ต้องเดินทางเลย ไปซื้อ
ไคยุคังพาส เพื่อจะไปเที่ยวดูปลาวันรุ่งขึ้น
วันสุดท้ายในโอซาก้า เริ่มด้วยการไปปราสาทโอซาก้า ใช้พาสนั่นแหละค่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปดู
ในปราสาท พอดีเขามีงานดอกเบญจมาสด้านนอก เสียดาย ส่วนใหญ่ยังไม่บาน ที่น่าตื่นเต้นคือ
เขาเอาดอกเบญจมาส มาทำบอนไซ เห็นเป็นตุ่มเต็มต้น แต่มันยังไม่บาน
ส่วนดอกใหญ่ๆก็บานไม่เต็มที่ เลยไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่
เลยเดินไปดู History Museum โอ้โหสุดประทับใจ ทำได้ดีมากๆ ทั้งๆที่ไม่มีภาษาอังกฤษ สักหน่อย แต่ดูแล้ว
เข้าใจ สามารถซาบซึ้งได้ คิดว่าทำไมหนอประเทศเราไม่ทำพิพิธภัณฑ์ ดีๆที่น่าดู ให้ความรู้ เอาเงินค่าทำซุ้มนั้นแหละ
ไปทำ เก็บเงิน ขี้คร้านไม่กี่ปีก็คืนทุน อยากจะโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรก็ทำไป เราไม่ได้มีอะไรน้อยไปกว่าเขาเลย
เรื่องราวน่าสนใจก็เยอะแยะ แต่ไม่ทำ ดันไปทำแต่ซุ้ม ทั่วประเทศให้ชาวบ้านเผาเล่น เสียค่าไฟอีก โฮ้ยยิ่งพูดยิ่งน่าเบื่อ
ก็คงเป็นพิพิธภํณฑ์แบบที่คุณทักษิณกะจะทำ คือเอางานที่เมืองทองมาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ถาวรนั่นเอง เสียดายท่านไม่อยู่
ได้สานฝัน ไอ้คนที่มาอยู่ก็ดันไม่มีวิศัยทัศน์เสียอีก
คงจบเรื่องเล่าไปเที่ยวญี่ปุ่นแค่นี้นะคะ พรุ่งนี้เช้าจะเดินทางกลับแล้ว ไว้ไปเจอกันที่เมืองไทย สวัสดีค่ะ
ว้าย ลืมเรื่องสำคัญ ตอนไปอควาเรี่ยม พอไปถึงเจอนี่เลยคำต้อนรับเป็นภาษาไทย
เจอตัวเอก นี่แน่ะจับมาขังให้ว่ายวนไปมา ฉลามวาฬ
แล้วก็นี่ ปลากระเบน ลายเสือ
แล้วก็ปลาปักเป้า ตอนนี้ที่โอซาก้ากำลังมีขายเกลือ่น แต่ไม่กล้ากิน เห็นคุณลุงไปลอง
มาแล้วว่าก็งั้นๆ
อ๊ะๆไอ้ตัวนี้ทำท่าแอบซ่อน คงนึกว่าใครจะมองไม่เห็น แต่ขอโทษ ชาวบ้านเขาเห็น
หางโผล่ ชัดเจน
อันนี้เป็นปูแมงมุมยักษ์ น่ารักดี
ที่ประทับใจก็ต้องนี่ ปลาครึ่งตัว เคยเห็นครั้งแรกที่อิเคบุโคโร่ นานแล้ว สงสารมัน
เหลือแค่ครึ่งตัว อีกครึ่งไม่รู้ใครแอบเอาไปกินเสียแล้ว
ที่ประทับใจอีกอย่างคือแมงกระพรุน น่าตื่นตาตื่นใจมาก
อันนี้น่าจะเรียกว่ามงกระพรุนโคมลอย
ออกมาเขาเปิดไฟพอดีสวยอย่างนี้ค่ะ
tomato เขียน: ไปรอบที่เท่าไหร่แล้วครับนี่คุณป้าฯ
อยากพักร้อนยาวๆไปเที่ยวบ้างจัง
รอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบ ไม่อยากจะจำ แต่ชอบญี่ปุ่นมากๆ
ไปครั้งใดก็ประทับใจทุกครั้งค่ะ เป็นประเทศที่ไปเองได้ไม่ต้องง้อทัวร์
ของกินมีอยู่เกลื่อน ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งสะดวก เดินเข้าไปดูรูปใส่เงินกด
คูปองออกมา ส่งให้พนักงาน เขาก็ยกมาเสิร์ฟเรียบร้อย ร้านแพงๆ
ก็ใช้มือชี้รูปเอา กินเสร็จก็เดินไปจ่ายเงิน ไม่ต้องใช้ภาษาเลยค่ะ
อ้อ ลืมเล่าไปว่าวันแรกที่ไปถึงโอซาก้า ค่ำแล้ว เดินผ่านร้ายขายอาหารสำเร็จรูป
เขากำลังลดราคาจะปิดร้าน บอกลูกสาวว่าลองซื้อไปทานเถอะ เผื่อถึงโรงแรม แล้ว
ขี้เกียจออกมากินข้างนอก ซึ่งก็ดีมากเลยค่ะ เพราะพอถึงแล้วก็ไม่อยากออกไปเดินอีก
ได้อาศัยอาหารถูกลดราคานี้แหละค่ะ
เกร็ดเล็กๆน้อยๆ สำหรับท่านที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่น ให้ซื้อ อับใส่ยา หน้าตาแบบนี้นะคะ
หาซื้อได้ที่ร้านไดโซะ หากคิดว่าไปถึงญี่ปุ่นล้วจะเจอร้านก็รอไปซื้อที่โน่นเลยนะคะ
มีประโยชน์ในการเก็บเศษสตางค์ แยกหยิบใช้ เพราะญิ่ปุ่นเงินแม้แต่เยนเดียวยังมีค่า
ไม่มีใครทิ้ง ไม่เหมือนบ้านเรา วันดีคืนดีเศษตังค์ทอนก็ไม่ทอน ดันเอาลูกอมมาให้แทน
บ้าพิลึก เงินเหรียญเราถึงด้อยค่าลงทุกที หากใครเอาเหรียญสลึงไปซื้อของ ถูกมองหน้า
ยังไม่พอ แม่ค้าบางรายบอกไม่รับเฉยเลย
วันนี้จะไปอ่านกลอน
มีงานจัดขึ้นหลายงานนะคะ ที่หอประชุมเล็กมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ก็มีอีกงาน เขาจัดประกวดบทกวีกันค่ะ ได้มีโอกาสไปตัดสินกับเขาด้วย
แค่นั้นไม่พอ ได้รับเกียรติให้ต่กลอนไปอ่านเองอีกด้วย หากสนใจเชิญนะคะ
เวลา13.00น. จบงานแล้ว ไปต่อกันที่สี่ยกคอกวัวได้เลย
คาดว่าคงอีกหลายคนที่จะไปไม่ได้ไปฟัง ของท่านอื่นไม่ทราบ แต่ของป้ามีดังนี้
หนึ่งชีวิตปลิดไปใครรับผิด
ยังจะคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ
ร้อยชีวิตปลิดไปไม่พอมัน
อีกกี่พันถึงจะพอพ่อแม่มึง
ฆ่าไปเถิดฆ่าให้ตายให้หมด
คนใจคดคิดแต่ฆ่าช่างน่าทึ่ง
ปกครองด้วยความหวาดกลัวน่าสะพรึง
แล้วมันจึงเป็นเชื้อเพื่อเติมไฟ
คนที่ตายตายไปใช่ไร้ญาติ
คนขี้ขลาดคิดทำลายกลายผลักไส
คนที่อยู่ย่อมจะโกรธเกินอภัย
ร่วมพร้อมใจสาบแช่งให้(แม่ง)ตาย
หนึ่งคนตายกลายเป็นผลร้อยคนเกลียด
ไม่อาจเบียดชีวิตคิดเมื่อสาย
ความศรัทธาหมดสิ้นถูกทำลาย
เพราะมันกลายเป็นความชังฝังอีกนาน
เป็นคนสั่งหรือไม่ใครจะรู้
แต่ก็ดูจะชี้เป้าน่าสงสาร
สั่งหยุดได้แต่ไม่ทำน่ารำคาญ
แล้วจะผลาญงบประเทศไปทำไม
หมดโอกาสจะฟื้นคืนความรัก
เพราะดันผลักคนให้ช้ำน้ำตาไหล
ต่อแต่นี้ที่จะมีประเทศไทย
ที่ยิ่งใหญ่ด้วยประชาใต้ฟ้าทอง
หากกลับมาทันอัพเดตงาน ก็จะกลับมาทำนะคะ แต่ถ้าไม่ทัน(เพราะจะบินคืนนี้)
ก็จะหาทางใหม่วันหลังค่ะ
ก็มีอีกงาน เขาจัดประกวดบทกวีกันค่ะ ได้มีโอกาสไปตัดสินกับเขาด้วย
แค่นั้นไม่พอ ได้รับเกียรติให้ต่กลอนไปอ่านเองอีกด้วย หากสนใจเชิญนะคะ
เวลา13.00น. จบงานแล้ว ไปต่อกันที่สี่ยกคอกวัวได้เลย
คาดว่าคงอีกหลายคนที่จะไปไม่ได้ไปฟัง ของท่านอื่นไม่ทราบ แต่ของป้ามีดังนี้
หนึ่งชีวิตปลิดไปใครรับผิด
ยังจะคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ
ร้อยชีวิตปลิดไปไม่พอมัน
อีกกี่พันถึงจะพอพ่อแม่มึง
ฆ่าไปเถิดฆ่าให้ตายให้หมด
คนใจคดคิดแต่ฆ่าช่างน่าทึ่ง
ปกครองด้วยความหวาดกลัวน่าสะพรึง
แล้วมันจึงเป็นเชื้อเพื่อเติมไฟ
คนที่ตายตายไปใช่ไร้ญาติ
คนขี้ขลาดคิดทำลายกลายผลักไส
คนที่อยู่ย่อมจะโกรธเกินอภัย
ร่วมพร้อมใจสาบแช่งให้(แม่ง)ตาย
หนึ่งคนตายกลายเป็นผลร้อยคนเกลียด
ไม่อาจเบียดชีวิตคิดเมื่อสาย
ความศรัทธาหมดสิ้นถูกทำลาย
เพราะมันกลายเป็นความชังฝังอีกนาน
เป็นคนสั่งหรือไม่ใครจะรู้
แต่ก็ดูจะชี้เป้าน่าสงสาร
สั่งหยุดได้แต่ไม่ทำน่ารำคาญ
แล้วจะผลาญงบประเทศไปทำไม
หมดโอกาสจะฟื้นคืนความรัก
เพราะดันผลักคนให้ช้ำน้ำตาไหล
ต่อแต่นี้ที่จะมีประเทศไทย
ที่ยิ่งใหญ่ด้วยประชาใต้ฟ้าทอง
หากกลับมาทันอัพเดตงาน ก็จะกลับมาทำนะคะ แต่ถ้าไม่ทัน(เพราะจะบินคืนนี้)
ก็จะหาทางใหม่วันหลังค่ะ
น้ำท่วมหลังเป็ด
สำนวนไทยวันนี้ขอเสนอคำว่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
"น้ำท่วมหลังเป็ด" น้ำท่วมหลังเป็ดหมายความว่า..(เกิดทันรายการนี้
กันไหมคะ)
เข้าเรื่องเลยดีกว่า สำนวนนี้เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบว่า ไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้,
ไม่มีทางเป็นไปได้ ... เพราะขนเป็ดมีน้ำมันเคลือบ ดังนั้น น้ำจึงไม่สามารถเกาะอยู่ได้
จึงทำให้คนโบราณคิดว่าหากแม้ต่น้ำยังไม่สามารถเกาะได้ ไฉนเลย มันจะท่วมหลังเป็ดได้
เรื่องของเรื่องคือ เรื่องบางอย่าง ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ แต่ช้าก่อน ปัจจุบัน แม้แต่
การเดินทางไปดวงจันทร์ ที่หลายคนได้แต่เฝ้ามอง ก็เกิดขึ้นแล้วมาหลายสิบปี
นี่ขนาดจีนก็กำลังจะส่งมนุษย์อวกาศไปเดินย่ำรอยเท้านีล อาร์มสตรองอยู่อีกไม่กี่วัน
นี่แหละค่ะ
ดังนั้นอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น มีอยู่ค่สองเรื่องที่เกี่ยวกับเป็ดที่คงไม่มีทางเกิดขึ้น
ให้ได้รับชมกันในชาตินี้ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ จะอยู่ไปได้อีก70-80ปีก็เถอะ
สิ่งที่คุณคิดว่าจะได้เห็น สองสิ่งที่ว่าคือ
1. เป็ดตัวเมียจะลาออก หรือละทิ้งเก้าอี้ไป เชื่อขนมกินได้ว่า เธอจะตายในเก้าอี้
ตัวนั้นหละค่ะ ไม่ว่าเธอจะมีอายุยืนยาวอีกกี่ปี อย่างไรเสีย เธอก็ไม่ไป เผลอๆ ถึง
ตายไป วิญญาณเธอก็อาจจะยังอยู่ ยังคงตามหลอกหลอนคุณ"พิศิษฐ์ ลีลาววชิโรภาส"
ไปจนตายกันไปอีกคนนั่นหละค่ะ
ทำไมแกไม่ลุก คงไม่มีใครไปทราบเหตุผลที่แท้จริง นอกจากจะไปถามใจเธอดู
แต่จำได้ติดตากับภาพที่แล่นเข้าพบคณะปฏิวัติในคืนเกิดเหตุ บอกว่าหลักฐาน
เพรียบพร้อมอีกไม่กี่วันเอาผิดท่านทักษิณได้แน่นอน นี่ก็เฝ่ารอมา 5ปีแล้วนะคญ.
ยังไม่เห็นจะเอาผิดฐานทุจริตได้สักที
อ๊ะๆ อย่ามาเหมาว่ายึดทรัพย์(อันที่จริง ชาวบ้านเขาเรียกว่าปล้น) เป็นผลงานนา
เพราะเงินที่ยึดไป ก็เป็นเงินที่เขาทำมาหากินมา ไม่เกี่ยวกะเงินหลวงที่ว่าเขาไป
เบียดบังมาเลยสักนิด
แต่ส่วนที่เป็นการฉ้อราษฎร์ บังหลวง ของเธอนั้นก็เป็นที่ทราบๆกันอยู่ ไม่ว่าการตั้ง
ลูกชายให้มาทำงานหน้าห้อง การตั้งบริษัทให้สามีมารับงาน การออกตั๋วพาคณะและ
ลูกสาวไปเที่ยว โอ๊ยอีกจิปาถะ จนคนเขาเชื่อแล้วว่าที่ลุกไม่ได้น่ะเพราะเธอนั่งทับ
อุจจาระอันเน่าเหม็นของตัวเองไว้นั่นเอง
2. เป็ดตัวผู้ เลยชักไม่แน่ใจว่า ที่คนโบราณเขาว่า น้ำไม่มีทางท่วมหลังเป็ดนั้น
มันเป็นเพราะเป็ดทั้งตัวผู้และตัวเมียหรือเปล่าที่ไม่มีทางจะจมน้ำตาย แต่อาจจมน้ำลาย
ตัวเองตายไปก่อน
อิอิ เรื่องเป็ดตัวผู้นี่ก็เหลือเชื่อ ทำความชั่วไว้มากมาย จนเกิดสมญานามว่า"ห้อยร้อยยี่"
อุตส่าห์เข้ามาทำงานฟอกตัวจนเกือบเชื่อแล้วว่าครั้งนั้นถูกใส่ร้าย ถ้าไม่แสดงธาตุแท้
ออกมาให้เห็นเสียก่อน ล่าสุดออกมาบอกเล่าว่านายเก่าสั่งฆ่าด้วยเงินถึง20ล้าน งวดนี้
น้ำตาไม่ไหล เอาได้แต่เพียงคลอหน่วย หวังว่าภาพนี้จะเสทือนใจผู้ชมจนต้องน้ำตาตก
กันเป็นแถวๆ ที่ไหนได้ฝูงชนกลับโห่ฮาป่า เป่าปากกันวี้ดวิ่ว ไม่ใช่ตกใจอะไรหรอกค่ะ
เพียงแต่มันสงสัยว่า ไอ้เป็ดตัวเนี้ยนะ มีคนจ้างฆ่าด้วยเงินถึง 20ล้าน บางคนถึงกับบอกว่า
20บาท ยังมากเกินไปด้วยซ้ำ คนรอเข้าคิวทำให้ฟรีมีเยอะยะ ต่างเห็นตรงกันว่า
มุกนี้แป้กอีกล้วเป็ด คนอย่างเป็ด เลวอย่างไรก็ช่างเถอะ แค่รู้ว่าเลวเป็นพอ
ตรงกับอีกสำนวนว่า"ไม้สั้นอย่าไปรันขี้" ก็แหมเดี๋ยวเกิดพลาดมาโดนมือเข้ามันก็เหม็นแย่สิคะ
แม้ไม่โดนมือแต่ความที่ไม่มันสั้น กลิ่นมันคงเตะจมูก อู๊ยไม่เอาล่ะ อยู่ห่างๆดีกว่า
คนอย่างเป็ด ไม่ว่าตัวผู้ตัวเมีย ตายไปแล้วไม่เห็นจะเกิดประโยชน์ สู้ปล่อยให้อยู่
ดูกรรมที่ทำไว้ตามทัน สนุกกว่าตั้งเยอะ จริงไหมคะ
ภาพกอดสยิว ทำเอาการเมืองเปลี่ยนขั้ว ภาพนั่งน้ำตาไหล ภาพซ้อนมอเตอร์ไซค์
ละอีกหลายๆภาพ มันทำให้นึกถึงสำนวนที่ว่าขึ้นมาทันที กล่าวคือ น้ำคงต้องท่วม
หลังเป็ดเสียก่อน ไอ้เป็ดตัวผู้นี่มันถึงจะกลายเป็นคนดีได้ หุหุ
"น้ำท่วมหลังเป็ด" น้ำท่วมหลังเป็ดหมายความว่า..(เกิดทันรายการนี้
กันไหมคะ)
เข้าเรื่องเลยดีกว่า สำนวนนี้เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบว่า ไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้,
ไม่มีทางเป็นไปได้ ... เพราะขนเป็ดมีน้ำมันเคลือบ ดังนั้น น้ำจึงไม่สามารถเกาะอยู่ได้
จึงทำให้คนโบราณคิดว่าหากแม้ต่น้ำยังไม่สามารถเกาะได้ ไฉนเลย มันจะท่วมหลังเป็ดได้
เรื่องของเรื่องคือ เรื่องบางอย่าง ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ แต่ช้าก่อน ปัจจุบัน แม้แต่
การเดินทางไปดวงจันทร์ ที่หลายคนได้แต่เฝ้ามอง ก็เกิดขึ้นแล้วมาหลายสิบปี
นี่ขนาดจีนก็กำลังจะส่งมนุษย์อวกาศไปเดินย่ำรอยเท้านีล อาร์มสตรองอยู่อีกไม่กี่วัน
นี่แหละค่ะ
ดังนั้นอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น มีอยู่ค่สองเรื่องที่เกี่ยวกับเป็ดที่คงไม่มีทางเกิดขึ้น
ให้ได้รับชมกันในชาตินี้ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ จะอยู่ไปได้อีก70-80ปีก็เถอะ
สิ่งที่คุณคิดว่าจะได้เห็น สองสิ่งที่ว่าคือ
1. เป็ดตัวเมียจะลาออก หรือละทิ้งเก้าอี้ไป เชื่อขนมกินได้ว่า เธอจะตายในเก้าอี้
ตัวนั้นหละค่ะ ไม่ว่าเธอจะมีอายุยืนยาวอีกกี่ปี อย่างไรเสีย เธอก็ไม่ไป เผลอๆ ถึง
ตายไป วิญญาณเธอก็อาจจะยังอยู่ ยังคงตามหลอกหลอนคุณ"พิศิษฐ์ ลีลาววชิโรภาส"
ไปจนตายกันไปอีกคนนั่นหละค่ะ
ทำไมแกไม่ลุก คงไม่มีใครไปทราบเหตุผลที่แท้จริง นอกจากจะไปถามใจเธอดู
แต่จำได้ติดตากับภาพที่แล่นเข้าพบคณะปฏิวัติในคืนเกิดเหตุ บอกว่าหลักฐาน
เพรียบพร้อมอีกไม่กี่วันเอาผิดท่านทักษิณได้แน่นอน นี่ก็เฝ่ารอมา 5ปีแล้วนะคญ.
ยังไม่เห็นจะเอาผิดฐานทุจริตได้สักที
อ๊ะๆ อย่ามาเหมาว่ายึดทรัพย์(อันที่จริง ชาวบ้านเขาเรียกว่าปล้น) เป็นผลงานนา
เพราะเงินที่ยึดไป ก็เป็นเงินที่เขาทำมาหากินมา ไม่เกี่ยวกะเงินหลวงที่ว่าเขาไป
เบียดบังมาเลยสักนิด
แต่ส่วนที่เป็นการฉ้อราษฎร์ บังหลวง ของเธอนั้นก็เป็นที่ทราบๆกันอยู่ ไม่ว่าการตั้ง
ลูกชายให้มาทำงานหน้าห้อง การตั้งบริษัทให้สามีมารับงาน การออกตั๋วพาคณะและ
ลูกสาวไปเที่ยว โอ๊ยอีกจิปาถะ จนคนเขาเชื่อแล้วว่าที่ลุกไม่ได้น่ะเพราะเธอนั่งทับ
อุจจาระอันเน่าเหม็นของตัวเองไว้นั่นเอง
2. เป็ดตัวผู้ เลยชักไม่แน่ใจว่า ที่คนโบราณเขาว่า น้ำไม่มีทางท่วมหลังเป็ดนั้น
มันเป็นเพราะเป็ดทั้งตัวผู้และตัวเมียหรือเปล่าที่ไม่มีทางจะจมน้ำตาย แต่อาจจมน้ำลาย
ตัวเองตายไปก่อน
อิอิ เรื่องเป็ดตัวผู้นี่ก็เหลือเชื่อ ทำความชั่วไว้มากมาย จนเกิดสมญานามว่า"ห้อยร้อยยี่"
อุตส่าห์เข้ามาทำงานฟอกตัวจนเกือบเชื่อแล้วว่าครั้งนั้นถูกใส่ร้าย ถ้าไม่แสดงธาตุแท้
ออกมาให้เห็นเสียก่อน ล่าสุดออกมาบอกเล่าว่านายเก่าสั่งฆ่าด้วยเงินถึง20ล้าน งวดนี้
น้ำตาไม่ไหล เอาได้แต่เพียงคลอหน่วย หวังว่าภาพนี้จะเสทือนใจผู้ชมจนต้องน้ำตาตก
กันเป็นแถวๆ ที่ไหนได้ฝูงชนกลับโห่ฮาป่า เป่าปากกันวี้ดวิ่ว ไม่ใช่ตกใจอะไรหรอกค่ะ
เพียงแต่มันสงสัยว่า ไอ้เป็ดตัวเนี้ยนะ มีคนจ้างฆ่าด้วยเงินถึง 20ล้าน บางคนถึงกับบอกว่า
20บาท ยังมากเกินไปด้วยซ้ำ คนรอเข้าคิวทำให้ฟรีมีเยอะยะ ต่างเห็นตรงกันว่า
มุกนี้แป้กอีกล้วเป็ด คนอย่างเป็ด เลวอย่างไรก็ช่างเถอะ แค่รู้ว่าเลวเป็นพอ
ตรงกับอีกสำนวนว่า"ไม้สั้นอย่าไปรันขี้" ก็แหมเดี๋ยวเกิดพลาดมาโดนมือเข้ามันก็เหม็นแย่สิคะ
แม้ไม่โดนมือแต่ความที่ไม่มันสั้น กลิ่นมันคงเตะจมูก อู๊ยไม่เอาล่ะ อยู่ห่างๆดีกว่า
คนอย่างเป็ด ไม่ว่าตัวผู้ตัวเมีย ตายไปแล้วไม่เห็นจะเกิดประโยชน์ สู้ปล่อยให้อยู่
ดูกรรมที่ทำไว้ตามทัน สนุกกว่าตั้งเยอะ จริงไหมคะ
ภาพกอดสยิว ทำเอาการเมืองเปลี่ยนขั้ว ภาพนั่งน้ำตาไหล ภาพซ้อนมอเตอร์ไซค์
ละอีกหลายๆภาพ มันทำให้นึกถึงสำนวนที่ว่าขึ้นมาทันที กล่าวคือ น้ำคงต้องท่วม
หลังเป็ดเสียก่อน ไอ้เป็ดตัวผู้นี่มันถึงจะกลายเป็นคนดีได้ หุหุ
อ่านเส้นทางการหนีของคุณกีร์...แล้วรักแกนนำจับใจ
นสพ.หลายฉบับลงเส้นทางการหนีของคุณอริสมันต์ ว่าเป็นยิ่งกว่าหนัง
พบว่าตลอดเส้นทางการหนีมีคนช่วยเหลือโดยตลอด ไม่ว่าจะทหารหรือ
ตำรวจ หรือแม้แต่ชาวบ้าน
ทำให้เกิดนึกรัก แกนนำที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำขณะนี้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ไม่ได้ตำหนิคนที่หนีไป ต่างคนต่างมีแนวทางการต่อสู้ของตัวเอง
แต่ที่นึกรักและสงสารแกนนำที่เข้ามอบตัวแล้วถูกขังลืมจนถึงทุกวันนี้
เพราะเชื่อว่าหากเขาเหล่านั้นจะหนีไปจากเวทีก็สามารถทำได้โดยง่าย
แต่เขาเลือกที่จะอยู่ แล้วบอกให้คนที่มาชุมนุมแยกย้ายกันกลับ ใครจะไปนึก
ว่ามันจะไม่หยุดยิง ไม่หยุดฆ่า ไล่ล่าไปจนถึงหน้าวัด จนทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุด
รักกันไว้เถิดนะคะ เพราะขณะนี้ ก็มีแต่เพียงเราเท่านั้นเองที่ต้องยืนหยัด
ร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
หยุดตำหนิติว่า หยุดด่าทอกันเองเถอะค่ะ ไม่มีใครเขาเห็นใจหรือสงสารหรอก
มีแต่จะหัวเราะเยาะเอาเท่านั้นเอง
ขออภัยจริงๆค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ว่าจะปล่อยเลย
พอดีเน็ตที่บ้านก็พิการ เพิ่งจะมาลื่นไหลเอาตอนนี้ จะปล่อยให้ผ่านไป
ก็เห็นท่าจะไม่ดี เพราะคุณ"มาหาอะไร" เธอเล่นใส่เอาตรงๆหลายครั้ง
หลายหน
หรือป้าพอใจเห็นคนเสื้อแดงที่ป้าไม่ได้เคารพศรัทธาถูกกระทำ
และปกป้องคนที่ป้าเคารพศรัทธาสุดชีวิต
ชื่อคุณก็คงตอบตัวเองแล้วว่าคุณมาหาอะไร เอาเถอะค่ะ กลับไปอ่านดูอีกทีนะคะ
ว่าป้าพอใจที่ใครถูกกระทำ หรือปกป้องใครสุดชีวิต
หากว่าความพอใจที่เห็นใครถูกกระทำ ก็คงมีเพียงคนเดียวตอนนี้คือนายเมธี
ที่ถูกสับเละเป็นโจ๊ก อันนั้นป้ายอมรับว่าพอใจที่เขาถูกกระทำ เป็นเพราะการกระทำ
ของเขาเองที่ปรากฏชัด ไม่ต้องมีใครไปชี้นำ ไปชักชวน ทุกคน(หรือส่วนใหญ่
ก็เห็นว่ามันเป็นคนไม่ดี) ไม่ต้องล้วงลึกเอาว่าทรยศหักหลังหรือเปล่า แต่แค่เรื่อง
เอาผู้หญิงมานินทาต่อหน้าก็พิสูจน์ได้ล้วว่าไม่ดี
เรื่องการปกป้อง ก็ยอมรับว่าปกป้องอยู่สุดชีวิตอยู่คนเดียวคือคุณทักษิณ
แต่ก็เคยบอกหลายครั้งหลายหนว่าหากคุณทักษิณเปลี่ยนไป ความรู้สึก
ก็เปลี่ยนไปได้ จะไปยากอะไร ขนาดคนเคยรัก รักมากกว่ารักคุณทักษิณอีก
รักมานานกว่าอีก พอรู้ไส้ ยังตัดใจฉับ เลิกรักได้ในข้ามคืน
แต่ที่เขียนอยู่ทุกวันนี้ เพียงไม่อยากเห็นการสาวไส้ ให้กากิน คุณอาจจะรู้
อะไรลึกๆ ลึกจนคนอื่นไม่รู้ หน้าที่คุณคือเอามาบอกคนอื่น หากข้อมูลของ
คุณดูดีน่าเชื่อถือ คนเขาก็ต้องเชื่อคุณ ไม่เห็นต้องด่าทอ ไม่เห็นต้องด่ากระทบ
กันเองเลยไม่ใช่หรือคะ
ป้าน่ะ ไม่ได้ติดแกนนำหรอกค่ะ ขนาดเจอกันตัวเป็นๆ ยังไม่เคยไปขอถ่ายรูปด้วยเลย
ชอบเขานิยมเขาเพราะเขาทุ่มเทยอมเสียสละ คิดอยู่เสมอว่าหากให้ทำ ป้าคงทำไม่ได้
แล้วมันผิดด้วยหรือที่จะชื่นชมความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเขาเหล่านั้น
เรื่องคุณวีระนี่ก็ได้ยินเขานินทาว่าร้ายมาตั้งต่เริ่มใหม่ๆด้วยซ้ำ แต่คิดว่านินทาก็คือนินทา
มันจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ตราบใดที่เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ แล้วยังไม่เห็นความเสียหาย
ก็ช่างเขาเป็นไร หากคุณมีข้อมูลว่าเขาทำให้เกิดความเสียหาย ก็นำเสนอมาสิคะ
แต่คนเขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ก็บอกแล้วไงว่าอย่าด่าทอพวกเดียวกัน การส่งเสริมกำลังใจซึ่งกันและกันไม่ดีกว่าหรือคะ
เรื่องนินทาว่าร้ายน่ะเพลาๆเสียเถิด เพราะ"คำนินทา" หากคนเชื่อก็อาจกลายเป็นจริง
แต่หากคนเขาไม่เชื่อ คนนินทานั่นหละจะเสียหายนะคะ
พบว่าตลอดเส้นทางการหนีมีคนช่วยเหลือโดยตลอด ไม่ว่าจะทหารหรือ
ตำรวจ หรือแม้แต่ชาวบ้าน
ทำให้เกิดนึกรัก แกนนำที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำขณะนี้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ไม่ได้ตำหนิคนที่หนีไป ต่างคนต่างมีแนวทางการต่อสู้ของตัวเอง
แต่ที่นึกรักและสงสารแกนนำที่เข้ามอบตัวแล้วถูกขังลืมจนถึงทุกวันนี้
เพราะเชื่อว่าหากเขาเหล่านั้นจะหนีไปจากเวทีก็สามารถทำได้โดยง่าย
แต่เขาเลือกที่จะอยู่ แล้วบอกให้คนที่มาชุมนุมแยกย้ายกันกลับ ใครจะไปนึก
ว่ามันจะไม่หยุดยิง ไม่หยุดฆ่า ไล่ล่าไปจนถึงหน้าวัด จนทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุด
รักกันไว้เถิดนะคะ เพราะขณะนี้ ก็มีแต่เพียงเราเท่านั้นเองที่ต้องยืนหยัด
ร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
หยุดตำหนิติว่า หยุดด่าทอกันเองเถอะค่ะ ไม่มีใครเขาเห็นใจหรือสงสารหรอก
มีแต่จะหัวเราะเยาะเอาเท่านั้นเอง
ขออภัยจริงๆค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ว่าจะปล่อยเลย
พอดีเน็ตที่บ้านก็พิการ เพิ่งจะมาลื่นไหลเอาตอนนี้ จะปล่อยให้ผ่านไป
ก็เห็นท่าจะไม่ดี เพราะคุณ"มาหาอะไร" เธอเล่นใส่เอาตรงๆหลายครั้ง
หลายหน
หรือป้าพอใจเห็นคนเสื้อแดงที่ป้าไม่ได้เคารพศรัทธาถูกกระทำ
และปกป้องคนที่ป้าเคารพศรัทธาสุดชีวิต
ชื่อคุณก็คงตอบตัวเองแล้วว่าคุณมาหาอะไร เอาเถอะค่ะ กลับไปอ่านดูอีกทีนะคะ
ว่าป้าพอใจที่ใครถูกกระทำ หรือปกป้องใครสุดชีวิต
หากว่าความพอใจที่เห็นใครถูกกระทำ ก็คงมีเพียงคนเดียวตอนนี้คือนายเมธี
ที่ถูกสับเละเป็นโจ๊ก อันนั้นป้ายอมรับว่าพอใจที่เขาถูกกระทำ เป็นเพราะการกระทำ
ของเขาเองที่ปรากฏชัด ไม่ต้องมีใครไปชี้นำ ไปชักชวน ทุกคน(หรือส่วนใหญ่
ก็เห็นว่ามันเป็นคนไม่ดี) ไม่ต้องล้วงลึกเอาว่าทรยศหักหลังหรือเปล่า แต่แค่เรื่อง
เอาผู้หญิงมานินทาต่อหน้าก็พิสูจน์ได้ล้วว่าไม่ดี
เรื่องการปกป้อง ก็ยอมรับว่าปกป้องอยู่สุดชีวิตอยู่คนเดียวคือคุณทักษิณ
แต่ก็เคยบอกหลายครั้งหลายหนว่าหากคุณทักษิณเปลี่ยนไป ความรู้สึก
ก็เปลี่ยนไปได้ จะไปยากอะไร ขนาดคนเคยรัก รักมากกว่ารักคุณทักษิณอีก
รักมานานกว่าอีก พอรู้ไส้ ยังตัดใจฉับ เลิกรักได้ในข้ามคืน
แต่ที่เขียนอยู่ทุกวันนี้ เพียงไม่อยากเห็นการสาวไส้ ให้กากิน คุณอาจจะรู้
อะไรลึกๆ ลึกจนคนอื่นไม่รู้ หน้าที่คุณคือเอามาบอกคนอื่น หากข้อมูลของ
คุณดูดีน่าเชื่อถือ คนเขาก็ต้องเชื่อคุณ ไม่เห็นต้องด่าทอ ไม่เห็นต้องด่ากระทบ
กันเองเลยไม่ใช่หรือคะ
ป้าน่ะ ไม่ได้ติดแกนนำหรอกค่ะ ขนาดเจอกันตัวเป็นๆ ยังไม่เคยไปขอถ่ายรูปด้วยเลย
ชอบเขานิยมเขาเพราะเขาทุ่มเทยอมเสียสละ คิดอยู่เสมอว่าหากให้ทำ ป้าคงทำไม่ได้
แล้วมันผิดด้วยหรือที่จะชื่นชมความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเขาเหล่านั้น
เรื่องคุณวีระนี่ก็ได้ยินเขานินทาว่าร้ายมาตั้งต่เริ่มใหม่ๆด้วยซ้ำ แต่คิดว่านินทาก็คือนินทา
มันจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ตราบใดที่เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ แล้วยังไม่เห็นความเสียหาย
ก็ช่างเขาเป็นไร หากคุณมีข้อมูลว่าเขาทำให้เกิดความเสียหาย ก็นำเสนอมาสิคะ
แต่คนเขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ก็บอกแล้วไงว่าอย่าด่าทอพวกเดียวกัน การส่งเสริมกำลังใจซึ่งกันและกันไม่ดีกว่าหรือคะ
เรื่องนินทาว่าร้ายน่ะเพลาๆเสียเถิด เพราะ"คำนินทา" หากคนเชื่อก็อาจกลายเป็นจริง
แต่หากคนเขาไม่เชื่อ คนนินทานั่นหละจะเสียหายนะคะ
ที่แท้ มันก็คือผี
สืบเนื่องมาจากการจับกุมตัวแม่ค้าขายรองเท้าแตะที่มีภาพคล้ายหน้านายอภิสิทธิ์
และนายสุเทพ ตามที่เป็นข่าวดังไปแล้วนั้น
ไปพบว่าตำรวจได้จ้งข้อหาดังนี้ ร่วมกันจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลาย
ซึ่งหนังสือ พิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ในทั่วราชอาณาจักร ตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. 2548 และมาตรา 9 (3) ข้อ 2 ลงวันที่ 7 เม.ย. 2553
หรือข้อความที่ว่ามีคนตายที่ราชประสงค์ จะทำให้คนหวาดกลัว เอ ใครกันนะที่หวาดกลัว
มันเป็นความจริงที่ใครๆเขาก็รู้กันทั่วโลก
เอ หรือจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ที่อยุทธยาไม่ได้ประกาศพรก.
อยู่นี่นา ดังนั้นข้อนี้จึงไม่เข้าข่าย
จึงสรุปได้ว่า ตำหนวดเขาไม่อยากให้ขายรองเท้ารูปหน้าไอ้2ตัวนั่น เพราะอาจทำให้
ประชาชนตื่นกลัว แต่จะตื่นกลัวเพราะกลัวมันในฐานะฆาตกรก็คงไม่ใช่ เพราะถ้ากลัว
เขาคงไม่ออกมากัน ดังนั้น ประชาชนต้องกลัวเพราะมันเป็นผีร้ายนั่นเอง เป็นผีดูดเลือด
ดื่มกินชีวิตราษฎร ธรรมดาปกติเดี๋ยวนี้คนเขาไม่ดูข่าว ไม่อ่านนสพ. จึงไม่ค่อยเห็นหน้ามัน
เลยไม่ค่อยหวาดกลัว แต่พอมาทำเป็นรองเท้าแตะ ผู้คนจะเห็นได้ทุกวัน
คุณตำหนวดเธอเลยเป็นห่วงประชาชนน่ะค่ะ อย่าคิดมาก
และนายสุเทพ ตามที่เป็นข่าวดังไปแล้วนั้น
ไปพบว่าตำรวจได้จ้งข้อหาดังนี้ ร่วมกันจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลาย
ซึ่งหนังสือ พิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ในทั่วราชอาณาจักร ตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. 2548 และมาตรา 9 (3) ข้อ 2 ลงวันที่ 7 เม.ย. 2553
หรือข้อความที่ว่ามีคนตายที่ราชประสงค์ จะทำให้คนหวาดกลัว เอ ใครกันนะที่หวาดกลัว
มันเป็นความจริงที่ใครๆเขาก็รู้กันทั่วโลก
เอ หรือจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ที่อยุทธยาไม่ได้ประกาศพรก.
อยู่นี่นา ดังนั้นข้อนี้จึงไม่เข้าข่าย
จึงสรุปได้ว่า ตำหนวดเขาไม่อยากให้ขายรองเท้ารูปหน้าไอ้2ตัวนั่น เพราะอาจทำให้
ประชาชนตื่นกลัว แต่จะตื่นกลัวเพราะกลัวมันในฐานะฆาตกรก็คงไม่ใช่ เพราะถ้ากลัว
เขาคงไม่ออกมากัน ดังนั้น ประชาชนต้องกลัวเพราะมันเป็นผีร้ายนั่นเอง เป็นผีดูดเลือด
ดื่มกินชีวิตราษฎร ธรรมดาปกติเดี๋ยวนี้คนเขาไม่ดูข่าว ไม่อ่านนสพ. จึงไม่ค่อยเห็นหน้ามัน
เลยไม่ค่อยหวาดกลัว แต่พอมาทำเป็นรองเท้าแตะ ผู้คนจะเห็นได้ทุกวัน
คุณตำหนวดเธอเลยเป็นห่วงประชาชนน่ะค่ะ อย่าคิดมาก
จำชื่อเขาไว้ให้ดี พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล
ผบช.ภ.5 ยันภารกิจลอบสังหารคนสำคัญ
พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รักษาการแทน ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า จากการสอบสวน
พบว่า 1 ใน 11 คนร้ายที่ถูกจับกุมได้ที่เชียงใหม่ผ่านการฝึกใช้อาวุธมาเพื่อเป้าหมาย
บางอย่าง รวมถึงภารกิจลอบสังหารบุคคลสำคัญ อยู่ในขบวนการหมิ่นเบื้องสูงและ
เชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงเทพฯ ขณะนี้ตำรวจได้กันทั้ง 11 คนไว้เป็นพยาน
เพื่อสาวให้ถึงตัวผู้บงการ ซึ่งพบว่ายังมีหลายกลุ่มที่ผ่านการฝึกในลักษณะเดียวกันมาอีก
จำนวนมาก
“อีกไม่นานจะมีข่าวดี เชื่อว่าจะสามารถจับผู้บงการได้และจะช่วยคลี่คลายคดี
เกี่ยวกับความมั่นคง กว่า 200 คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) ได้แน่” พล.ต.ต.ชัยยะกล่าว
ถึงกับออกข่าวเอง ถึงกับบอกว่าอีกไม่นานจะมีข่าวดี แต่
ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ชี้ไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง
ด้าน พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่า
ทั้ง 11 คนไม่ได้ถูกจับกุมตัวเพราะเขายังไม่มีความผิด และไม่ได้เป็น
นักรบแดงอย่างที่เป็นข่าว
“มีคนมาแจ้งว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัย ตำรวจก็ไปตรวจสอบและเชิญมา
พูดคุยเฉยๆ เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีก ยืนยันได้ว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง
ไม่มีการควบคุมตัวหรือจับกุม เป็นเรื่องของการตรวจสอบ ไม่ใช่ชุดดำชุดแดงอะไร
ขณะนี้ทั้ง 11 คนยังอยู่ในความดูแลของตำรวจ” พล.ต.ต.สมหมายกล่าวและว่า
เรื่องนี้เจ้าของรีสอร์ตเป็นคนแจ้งให้ตำรวจไปตรวจสอบเอง เพราะเห็นผิดปรกติ
ที่มีคนมาเช่าบ้านราคาแพงอยู่กันหลายคน
แล้วในที่สุดก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่เป็นถึงรักษาการหมายความอาจได้เป็นผบช.ภ.5
พูดเสียอย่างนี้ เผอิญมันไปรับกับข้อมูลของไอ้ห้อยเข้า แต่เมื่อความจริงมันไม่ใช่
ไม่ทราบว่าตำรวจระดับสูงขนาดนี้จะรับผิดชอบอย่างไร
ประเทศนี้ ถ้าสนุกอยู่กับการสร้างข่าว ใส่สีตีไข่ กันอย่างนี้ มันจะสงบได้หรือ
ขนาดลูกน้องก็ออกมาพูด อีกอย่าง ส่วนฝั่งนักการเมืองมีทั้งประเภทรู้หลบเป็นปีก
รู้หลีกเป็นหาง กับที่เห่าทุกอย่างที่เคลื่อนไหว เชิญทัศนา
เมื่อ เวลา 09.00 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ
ได้เดินทางเข้ามาทำงานตามปกติ เมื่อถามถึงข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชาย
ที่ถูกระบุว่า 11 นักรบแดงได้ที่รีสอร์ตแม่ออน อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ นายสุเทพ
กล่าวเพียงว่า เดี๋ยวให้คนที่เกี่ยวข้องเขาชี้แจง เมื่อถามว่าตกลงมีการจับกุม
กลุ่มนักรบแดงได้จริงตามที่มีข่าวหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวย้ำว่า เดี๋ยวให้คนที่
เกี่ยวข้องชี้แจง ต่อข้อถามว่า ผบ.ตร.ได้รายงานเรื่องนี้ให้ทราบแล้วใช่หรือไม่
และจะเปิดแถลงข่าวในเวลาเท่า ไหร่ นายสุเทพ กล่าวว่า เดี๋ยวผมจะสั่งการให้เขาชี้แจง
ที่พรรคประชา ธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงการจับกุมนักรบแดง 11 คน ที่จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นผลงานที่อธิบายต่อ
สังคมได้ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ มีการฝึกอาวุธ ซ่องสุมกำลังพล
และคิดลอบสังหารบุคคลสำคัญจริง แต่พรรคเพื่อไทยพยายามบิดเบือนว่ารัฐบาล
และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ออกมาประโคมข่าว แต่เมื่อมี
การจับกุมครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะปกป้องคนเหล่านี้หรือไม่ ทั้งนี้ ตนอยากให้เจ้า
หน้าที่บ้านเมืองได้สืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดูเอาเถิด ในที่สุด เรื่องจริงก็คือ ผญบ.พื้นที่"ดอยคู่ฟ้ารีสอร์ท"บอกกลุ่มคนที่ถูกจับไม่มีสิ่งผิดปกติ
เพียงต่วันเกิดเหตุ มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายกัน จึงไปแจ้งตำรวจ
และยังกล่าวอีกว่า ที่บอกว่ามีคนได้ยินเสียงปืน
ขอยืนยันว่าไม่ได้เกิดภายในรีสอร์ท น่าจะเป็นการใช้ปืนแก๊ปล่าสัตว์ของชาวบ้าน
ไม่ใช่การฝึกอาวุธของกลุ่มเสื้อดำหรือเสื้อแดงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามอย่าลืมชื่อเขาคนนี้นะคะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล
เพราะเห็นท่าจะไปโลดหากห้อยยังอยู่ ต่หากห้อยมีอันตกกระป๋องล่ะก็
คงได้เห็นกรรมตามสนอง
พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รักษาการแทน ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า จากการสอบสวน
พบว่า 1 ใน 11 คนร้ายที่ถูกจับกุมได้ที่เชียงใหม่ผ่านการฝึกใช้อาวุธมาเพื่อเป้าหมาย
บางอย่าง รวมถึงภารกิจลอบสังหารบุคคลสำคัญ อยู่ในขบวนการหมิ่นเบื้องสูงและ
เชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงเทพฯ ขณะนี้ตำรวจได้กันทั้ง 11 คนไว้เป็นพยาน
เพื่อสาวให้ถึงตัวผู้บงการ ซึ่งพบว่ายังมีหลายกลุ่มที่ผ่านการฝึกในลักษณะเดียวกันมาอีก
จำนวนมาก
“อีกไม่นานจะมีข่าวดี เชื่อว่าจะสามารถจับผู้บงการได้และจะช่วยคลี่คลายคดี
เกี่ยวกับความมั่นคง กว่า 200 คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) ได้แน่” พล.ต.ต.ชัยยะกล่าว
ถึงกับออกข่าวเอง ถึงกับบอกว่าอีกไม่นานจะมีข่าวดี แต่
ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ชี้ไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง
ด้าน พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่า
ทั้ง 11 คนไม่ได้ถูกจับกุมตัวเพราะเขายังไม่มีความผิด และไม่ได้เป็น
นักรบแดงอย่างที่เป็นข่าว
“มีคนมาแจ้งว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัย ตำรวจก็ไปตรวจสอบและเชิญมา
พูดคุยเฉยๆ เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีก ยืนยันได้ว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง
ไม่มีการควบคุมตัวหรือจับกุม เป็นเรื่องของการตรวจสอบ ไม่ใช่ชุดดำชุดแดงอะไร
ขณะนี้ทั้ง 11 คนยังอยู่ในความดูแลของตำรวจ” พล.ต.ต.สมหมายกล่าวและว่า
เรื่องนี้เจ้าของรีสอร์ตเป็นคนแจ้งให้ตำรวจไปตรวจสอบเอง เพราะเห็นผิดปรกติ
ที่มีคนมาเช่าบ้านราคาแพงอยู่กันหลายคน
แล้วในที่สุดก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่เป็นถึงรักษาการหมายความอาจได้เป็นผบช.ภ.5
พูดเสียอย่างนี้ เผอิญมันไปรับกับข้อมูลของไอ้ห้อยเข้า แต่เมื่อความจริงมันไม่ใช่
ไม่ทราบว่าตำรวจระดับสูงขนาดนี้จะรับผิดชอบอย่างไร
ประเทศนี้ ถ้าสนุกอยู่กับการสร้างข่าว ใส่สีตีไข่ กันอย่างนี้ มันจะสงบได้หรือ
ขนาดลูกน้องก็ออกมาพูด อีกอย่าง ส่วนฝั่งนักการเมืองมีทั้งประเภทรู้หลบเป็นปีก
รู้หลีกเป็นหาง กับที่เห่าทุกอย่างที่เคลื่อนไหว เชิญทัศนา
เมื่อ เวลา 09.00 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ
ได้เดินทางเข้ามาทำงานตามปกติ เมื่อถามถึงข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชาย
ที่ถูกระบุว่า 11 นักรบแดงได้ที่รีสอร์ตแม่ออน อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ นายสุเทพ
กล่าวเพียงว่า เดี๋ยวให้คนที่เกี่ยวข้องเขาชี้แจง เมื่อถามว่าตกลงมีการจับกุม
กลุ่มนักรบแดงได้จริงตามที่มีข่าวหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวย้ำว่า เดี๋ยวให้คนที่
เกี่ยวข้องชี้แจง ต่อข้อถามว่า ผบ.ตร.ได้รายงานเรื่องนี้ให้ทราบแล้วใช่หรือไม่
และจะเปิดแถลงข่าวในเวลาเท่า ไหร่ นายสุเทพ กล่าวว่า เดี๋ยวผมจะสั่งการให้เขาชี้แจง
ที่พรรคประชา ธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงการจับกุมนักรบแดง 11 คน ที่จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นผลงานที่อธิบายต่อ
สังคมได้ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ มีการฝึกอาวุธ ซ่องสุมกำลังพล
และคิดลอบสังหารบุคคลสำคัญจริง แต่พรรคเพื่อไทยพยายามบิดเบือนว่ารัฐบาล
และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ออกมาประโคมข่าว แต่เมื่อมี
การจับกุมครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะปกป้องคนเหล่านี้หรือไม่ ทั้งนี้ ตนอยากให้เจ้า
หน้าที่บ้านเมืองได้สืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดูเอาเถิด ในที่สุด เรื่องจริงก็คือ ผญบ.พื้นที่"ดอยคู่ฟ้ารีสอร์ท"บอกกลุ่มคนที่ถูกจับไม่มีสิ่งผิดปกติ
เพียงต่วันเกิดเหตุ มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายกัน จึงไปแจ้งตำรวจ
และยังกล่าวอีกว่า ที่บอกว่ามีคนได้ยินเสียงปืน
ขอยืนยันว่าไม่ได้เกิดภายในรีสอร์ท น่าจะเป็นการใช้ปืนแก๊ปล่าสัตว์ของชาวบ้าน
ไม่ใช่การฝึกอาวุธของกลุ่มเสื้อดำหรือเสื้อแดงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามอย่าลืมชื่อเขาคนนี้นะคะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล
เพราะเห็นท่าจะไปโลดหากห้อยยังอยู่ ต่หากห้อยมีอันตกกระป๋องล่ะก็
คงได้เห็นกรรมตามสนอง
เกียรติตำรวจของไทย
จากข่าวนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ระบุว่ามีแกนนำ 5-6 คนเกี่ยวข้องกับกรณีระเบิดที่ผ่านมา
อย่างนี้ใครๆก็พูดได้จริงไหม แต่ตัวเป็นถึงผบ.ตร.จะเอาข่าวลือข่าวคิดเอง
มาประกาศออกสื่อได้ไง ชาวบ้านน่ะเขาก็พูดอีกอย่างว่าใครวางระเบิด เพียง
แต่เขาไม่มีตำแหน่งหน้าที่ เขาไม่มีสื่อในมือ แต่ไปๆมาๆมันสนั่นเมืองไปแล้ว
หากมีตำแหน่งที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน แต่เอาข่าวที่คิดเองมาปล่อย
มันถูกอยู่หรือ เห็นพูดกันมาตั้งหลายทีแล้ว ว่ารู้ตัวคนทำ ทำไมไม่จับมาเสียที
เป็นตำรวจ รู้เบาะแส แต่ดีแต่ปล่อยข่าวเอาตัวรอดไปวันๆ มันถูกหรือไง
ตำรวจน่ะมีหน้าที่จับคนร้าย ขนาดไม่รู้ว่าใครทำยังต้องไปสืบไปเสาะจนจับได้
นี่อะไรออมาพูดโดยไม่จับก็แสดงว่ามันเป็นแค่คำพูด อย่างนี้ใครๆก็พูดได้ ไม่ต้อง
กินตำแหน่งใหญ่โต เสียเงินภาษีจ้างมาหรอก
เดี๋ยวก็ฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียหรอก รู้แล้วเก็บไว้ทำพ่อหรือไง
หรือแกนนำที่ว่าเป็นพ่อเมิงจริงๆเลยได้แต่พล่าม จับไม่ได้งั้นสิ
ก็อย่างว่าแหละเนอะตำรวจไทย ออกหมายจับ"ชายไทยไม่ทราบชื่อ"แถมมี
รูปโชว์สื่อเป็นชายใส่หมวกกันน็อค ก็ยังเคยทำมาแล้วนี่นา แต่ไอ้ที่เห็นหน้าเห็นตา
ชัดเจนไม่ว่ากรณีทุบรถที่มหาดไทยปีก่อน หรือเผาห้างปีนี้ ยังไม่เห็นออกหมายจับสักที
เห็นทีต้องเปลี่ยนเนื้อเพลง "มาร์ชตำรวจ"แล้วมั้ง
แน้อ่านไปอ่านมาเจอข่าวนี้อีกด้วย พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่อธิบดี ดีเอสไอ ออกมาระบุว่า
จะเกิดเหตุระเบิดดังกล่าวถึงสิ้นปีนั้น ยืนยันว่า อาจมีขึ้นจริง แต่คงไม่นานถึงสิ้นปี
อุ๊ยต๊ายตายว้ายกรี๊ด ออกข่าวอย่างนี้ก้มีด้วย แล้วเงินภาษีที่จ่ายไปเป็นค่าจ้าง
ทำกันได้แค่นี้เองหรือ
อุแม่เจ้า รู้ว่าจะมีระเบิด แต่ไม่ต้องตกใจ คงมีไม่ยาวไปถึงสิ้นปี บ้าหรือเปล่าวะเนี่ย
แล้วทำไง จะปล่อยให้มันวางระเบิดกันตู๊มๆจนกว่าจะหมดระเบิดไปเองงั้นสิ
อย่างนี้ใครๆก็พูดได้จริงไหม แต่ตัวเป็นถึงผบ.ตร.จะเอาข่าวลือข่าวคิดเอง
มาประกาศออกสื่อได้ไง ชาวบ้านน่ะเขาก็พูดอีกอย่างว่าใครวางระเบิด เพียง
แต่เขาไม่มีตำแหน่งหน้าที่ เขาไม่มีสื่อในมือ แต่ไปๆมาๆมันสนั่นเมืองไปแล้ว
หากมีตำแหน่งที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน แต่เอาข่าวที่คิดเองมาปล่อย
มันถูกอยู่หรือ เห็นพูดกันมาตั้งหลายทีแล้ว ว่ารู้ตัวคนทำ ทำไมไม่จับมาเสียที
เป็นตำรวจ รู้เบาะแส แต่ดีแต่ปล่อยข่าวเอาตัวรอดไปวันๆ มันถูกหรือไง
ตำรวจน่ะมีหน้าที่จับคนร้าย ขนาดไม่รู้ว่าใครทำยังต้องไปสืบไปเสาะจนจับได้
นี่อะไรออมาพูดโดยไม่จับก็แสดงว่ามันเป็นแค่คำพูด อย่างนี้ใครๆก็พูดได้ ไม่ต้อง
กินตำแหน่งใหญ่โต เสียเงินภาษีจ้างมาหรอก
เดี๋ยวก็ฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียหรอก รู้แล้วเก็บไว้ทำพ่อหรือไง
หรือแกนนำที่ว่าเป็นพ่อเมิงจริงๆเลยได้แต่พล่าม จับไม่ได้งั้นสิ
ก็อย่างว่าแหละเนอะตำรวจไทย ออกหมายจับ"ชายไทยไม่ทราบชื่อ"แถมมี
รูปโชว์สื่อเป็นชายใส่หมวกกันน็อค ก็ยังเคยทำมาแล้วนี่นา แต่ไอ้ที่เห็นหน้าเห็นตา
ชัดเจนไม่ว่ากรณีทุบรถที่มหาดไทยปีก่อน หรือเผาห้างปีนี้ ยังไม่เห็นออกหมายจับสักที
เห็นทีต้องเปลี่ยนเนื้อเพลง "มาร์ชตำรวจ"แล้วมั้ง
แน้อ่านไปอ่านมาเจอข่าวนี้อีกด้วย พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่อธิบดี ดีเอสไอ ออกมาระบุว่า
จะเกิดเหตุระเบิดดังกล่าวถึงสิ้นปีนั้น ยืนยันว่า อาจมีขึ้นจริง แต่คงไม่นานถึงสิ้นปี
อุ๊ยต๊ายตายว้ายกรี๊ด ออกข่าวอย่างนี้ก้มีด้วย แล้วเงินภาษีที่จ่ายไปเป็นค่าจ้าง
ทำกันได้แค่นี้เองหรือ
อุแม่เจ้า รู้ว่าจะมีระเบิด แต่ไม่ต้องตกใจ คงมีไม่ยาวไปถึงสิ้นปี บ้าหรือเปล่าวะเนี่ย
แล้วทำไง จะปล่อยให้มันวางระเบิดกันตู๊มๆจนกว่าจะหมดระเบิดไปเองงั้นสิ
ขอด้วยคน
อุ๊ยเดี๋ยวจะไม่อินเทรนด์ เรื่องด่าชาวบ้านนี่ชอบอยู่แล้ว
จะอะไรเสียอีก ก็เรื่องผู้ชายกับผู้หญิง
ดาราหนุ่ม มีแววอนาคตไกล ถูกผู้หญิงออกมาแฉว่าเป็นพ่อ
ของลูกที่เธอคลอดออกมา ขณะนี้อายุก็สามเดือนแล้ว
อันที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกะปากท้องชาวบ้านหรอกนะคะ ใครจะทับใครจะท้อง
แต่เรื่องมันกินเนื้อที่ข่าวมาตั้งนานนับสิบวัน ทำเอาข่าวระเบิดและการเมือง
เงียบไปเลย
มีคนออกมาให้ข่าวกันอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนแรก ก็ว่าผู้หญิงได้เปรียบ
มีคนเทใจไปเข้าข้างกันยกใหญ่ ข้างฝ่ายผู้ชายก็แทบไม่มีที่ยืน
กลายเป็นคนชั่ว คนเลวไปในพริบตา ไม่รู้ไม่สุมหัวกันอีท่าไหนกับนายจ้าง
วันนี้นายเงิน ก็เลยออกโรงมาแฉความเลวร้ายของผู้หญิง พูดง่ายๆ แกด่าว่า
สำส่อน นั่นแหละค่ะ
เอาล่ะค่ะ เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว ใครจะเลวจะดีก็ถูกตัดสินไปกันแล้วโดยสังคม
แต่อยากจะเสนอแง่คิดมุมมองของป้าบ้าง (บอกแล้วเรื่องด่าชาวบ้านเนี่ย
งานถนัด)
ก่อนอื่นในฐานะผู้หญิง ขอด่าไอ้ผู้ชายที่ไปนอนกับผุ้หญิงจนเกิดเรื่องท้อง
แล้วไม่อยากรับ ก็เวลาไปนอนกับเขา ทำไมไม่คิดป้องกันตัว จะบอกว่า
อะไร สมัยนี้ ใครๆก็รู้วิธีคุมกำเนิด ก็ถ้าอยากสนุกโดยไม่รับผิดชอบ ก็ต้อง
ดูแลตัวเอง แต่จะเพราะชุ่ยหรือโง่ อันนี้ก็ไม่ทราบ เพราะปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว
ข้างฝ่ายผุ้หญิงก็เหมือนกัน หากรักจะเอาดีทางนี้ ก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเอง
หรือหากคิดจะจับผู้ชายสักคน ก็ต้องดูหน้าดูตามันให้ดีเสียก่อน ดูว่าถ้า
จับมันด้วยวิธีที่บอกว่าท้องแล้วมันจะยอมรับ ไม่ใช่ให้มันออกมาอ้อมๆแอ้มๆ
มิหนำซ้ำยังทำท่าจะไม่รับเอาเสียอีก
แล้วขอโทษที ไอ้นายจ้างที่เที่ยวได้ไปคุ้ยข่าว หาว่าเขาเป็นผู้หญิงไม่ดี
ต่างๆนาๆนั้น บอกได้คำเดียวว่าเสือกไม่เข้าเรื่อง เป็นแค่นายจ้าง ไม่ใช่พ่อ
ใช่แม่ ที่อบรมเลี้ยงดูเขามาเมื่อไหร่
เรื่องนี้ขอสรุปด่าผู้ชายแน่ๆ คุณไม่มีสิทธิ์ด่าว่าว่าผู้หญิงเขาไม่ดี ผู้หญิงเขา
คบคนมากหน้าหลายตา เลยสักนิด เพราะหากคุณเองก็รู้ถึงขนาดไม่แน่ใจว่า
ตัวเองเป็นพ่อหรือเปล่า แล้วคุณไปนอนกับเขาทำไม
คุณเองก็หวังจะเอาเขาฟรีๆนี่นา นึกว่าเขาง่ายให้เอาฟรี ก็ต้องจ่ายแพง
อย่างนี้แหละ เพราะหากคุณดีจริง คุณก็ต้องไม่ไปนอนกับผุ้หญิงที่มีแฟน
มากมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้ปลุกปล้ำขืนใจสักหน่อย ยินยอมพร้อมใจ
ไปนอนกับเขาเองนี่นา
แล้วข้างฝ่ายผุ้หญิง หากจะจับใครสักคนก็ต้องอย่างนี้แหละ โง่ รักหน้าและชื่อเสียง
ของตัวมากกว่าศักดิ์สรีของคนอื่น แต่ทำใจเถอะ อย่างไรรายนี้ก็พลาดไปแล้วล่ะ
จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน
จะอะไรเสียอีก ก็เรื่องผู้ชายกับผู้หญิง
ดาราหนุ่ม มีแววอนาคตไกล ถูกผู้หญิงออกมาแฉว่าเป็นพ่อ
ของลูกที่เธอคลอดออกมา ขณะนี้อายุก็สามเดือนแล้ว
อันที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกะปากท้องชาวบ้านหรอกนะคะ ใครจะทับใครจะท้อง
แต่เรื่องมันกินเนื้อที่ข่าวมาตั้งนานนับสิบวัน ทำเอาข่าวระเบิดและการเมือง
เงียบไปเลย
มีคนออกมาให้ข่าวกันอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนแรก ก็ว่าผู้หญิงได้เปรียบ
มีคนเทใจไปเข้าข้างกันยกใหญ่ ข้างฝ่ายผู้ชายก็แทบไม่มีที่ยืน
กลายเป็นคนชั่ว คนเลวไปในพริบตา ไม่รู้ไม่สุมหัวกันอีท่าไหนกับนายจ้าง
วันนี้นายเงิน ก็เลยออกโรงมาแฉความเลวร้ายของผู้หญิง พูดง่ายๆ แกด่าว่า
สำส่อน นั่นแหละค่ะ
เอาล่ะค่ะ เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว ใครจะเลวจะดีก็ถูกตัดสินไปกันแล้วโดยสังคม
แต่อยากจะเสนอแง่คิดมุมมองของป้าบ้าง (บอกแล้วเรื่องด่าชาวบ้านเนี่ย
งานถนัด)
ก่อนอื่นในฐานะผู้หญิง ขอด่าไอ้ผู้ชายที่ไปนอนกับผุ้หญิงจนเกิดเรื่องท้อง
แล้วไม่อยากรับ ก็เวลาไปนอนกับเขา ทำไมไม่คิดป้องกันตัว จะบอกว่า
อะไร สมัยนี้ ใครๆก็รู้วิธีคุมกำเนิด ก็ถ้าอยากสนุกโดยไม่รับผิดชอบ ก็ต้อง
ดูแลตัวเอง แต่จะเพราะชุ่ยหรือโง่ อันนี้ก็ไม่ทราบ เพราะปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว
ข้างฝ่ายผุ้หญิงก็เหมือนกัน หากรักจะเอาดีทางนี้ ก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเอง
หรือหากคิดจะจับผู้ชายสักคน ก็ต้องดูหน้าดูตามันให้ดีเสียก่อน ดูว่าถ้า
จับมันด้วยวิธีที่บอกว่าท้องแล้วมันจะยอมรับ ไม่ใช่ให้มันออกมาอ้อมๆแอ้มๆ
มิหนำซ้ำยังทำท่าจะไม่รับเอาเสียอีก
แล้วขอโทษที ไอ้นายจ้างที่เที่ยวได้ไปคุ้ยข่าว หาว่าเขาเป็นผู้หญิงไม่ดี
ต่างๆนาๆนั้น บอกได้คำเดียวว่าเสือกไม่เข้าเรื่อง เป็นแค่นายจ้าง ไม่ใช่พ่อ
ใช่แม่ ที่อบรมเลี้ยงดูเขามาเมื่อไหร่
เรื่องนี้ขอสรุปด่าผู้ชายแน่ๆ คุณไม่มีสิทธิ์ด่าว่าว่าผู้หญิงเขาไม่ดี ผู้หญิงเขา
คบคนมากหน้าหลายตา เลยสักนิด เพราะหากคุณเองก็รู้ถึงขนาดไม่แน่ใจว่า
ตัวเองเป็นพ่อหรือเปล่า แล้วคุณไปนอนกับเขาทำไม
คุณเองก็หวังจะเอาเขาฟรีๆนี่นา นึกว่าเขาง่ายให้เอาฟรี ก็ต้องจ่ายแพง
อย่างนี้แหละ เพราะหากคุณดีจริง คุณก็ต้องไม่ไปนอนกับผุ้หญิงที่มีแฟน
มากมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้ปลุกปล้ำขืนใจสักหน่อย ยินยอมพร้อมใจ
ไปนอนกับเขาเองนี่นา
แล้วข้างฝ่ายผุ้หญิง หากจะจับใครสักคนก็ต้องอย่างนี้แหละ โง่ รักหน้าและชื่อเสียง
ของตัวมากกว่าศักดิ์สรีของคนอื่น แต่ทำใจเถอะ อย่างไรรายนี้ก็พลาดไปแล้วล่ะ
จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน
จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
จากข่าวที่เมื่อวานนี้ “ดาว์พงษ์” นำทีมทหารและตำรวจชี้แจงคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์เดือน เม.ย.-พ.ค. ไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นยืนยัน ศอฉ. ดำเนินการทุกอย่างในกรอบของกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง ระบุมีความพยายามบิดเบือนว่าการตายของ 91 ศพเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ทั้งที่ตายต่างกรรมต่างวาระกันในหลายพื้นที่ อ้างคนถูกยิงด้วยสไนเปอร์ล้วนอยู่ในพื้นที่ของผู้ชุมนุม เชื่อมีคนสวมรอยก่อเหตุหวังป้ายสีทหาร “สมชาย” พอใจคำชี้แจง ขอรายละเอียดเพิ่มอีกครั้งกลางเดือนหน้า มั่นใจทำรายงานสรุปเหตุการณ์เสนอนายกฯได้ในช่วงต้นปี 54 คิวต่อไปรับฟังข้อมูลจากคนเสื้อแดง
เอ่อ...อ่า ไอ้อิ๊บอ๋าย เมิงต้องไปตีความเรื่อง สไนเปอร์ก่อนหรือเปล่า ฮ้า
ก็มันเป็นอาวุธความเร็วสูงที่ใช้ยิงในระยะไกล ไม่ใช่หรือ ก็คนถูกยิง เขายืนอยู่ในฝั่ง
ผู้ชุมนุม ถึงใช้ยิงไง(ก็พวกเมิงมันหน้าตัวเมีย ขี้ขลาด มีหรือจะกล้าเดินเข้ามายิงจ่อหัวใกล้ๆ)
แล้วเมิงคิดว่าถ้าอยู่กันตัวต่อตัว เมิงจะใช้สไนเปอร์ไปทำไม จริงไหม
ส่วน “สมชาย” พอใจคำชี้แจงก็ไม่น่าแปลกใจหรอก
ก็เมิงมันพวกเดียวกัน ไม่พอใจได้ด้วยรึ
เชื่อมีคนสวมรอยก่อเหตุหวังป้ายสีทหาร โธ่ว้อย ก็บอกแล้วไง
เมิงยุบกองทัพเสียเถอะ ส่งทหารมาแทบจะหมดกองทัพ ยังปล่อยให้มีคนแฝงตัว
เข้าไปไล่ยิงชาวบ้านจนเขาไปออกข่าวกันทั่วโลก เห็นกันจะๆ แล้วพวกทะเหี้ย
เหล่านั้นปล่อยคนที่แฝงตัวเอาไว้ได้ไง ดูจากวิถีกระสุน มันก็แสดงว่ามาจากฝั่ง
พวกเมิง แล้วยังหน้าด้านมาแก้ตัวอีก
ระบุมีความพยายามบิดเบือนว่าการตายของ 91 ศพเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
ทั้งที่ตายต่างกรรมต่างวาระกันในหลายพื้นที่
ทำไมไม่ต่อด้วยล่ะว่าในแต่ละพื้นที่ที่มีคนตาย มีแต่ทะเหี้ยเต็มไปหมด
อย่างไรก็ตามเมิงก็ยอมรับแล้วล่ะสิว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ จะมารับบ้างไม่รับบ้าง
แล้วจะทำให้ความผิดลดลงหรือไง เมิงไม่รู้หรือการขโมยเงิน ไม่ว่าบาทเดียวหรือล้านนึง
มันก็คือขโมย
เอาสันดานที่เอี้ยชอบใช้พูดเล่นกันในวงเหล้าว่า "ทำผิดแล้วอย่ารับ หากต้องรับ
ก็รับแค่ครึ่งเดียว" มาใช้แบบโกหกเมียเมิง ไม่ได้นะโว้ย
ยิงก็คือยิง จะแก้ตัวว่ายิงไม่ถึง91ศพก็ไม่ได้ล้างมลทิลว่าเมิงไม่ได้ยิงนี่นา
เอ่อ...อ่า ไอ้อิ๊บอ๋าย เมิงต้องไปตีความเรื่อง สไนเปอร์ก่อนหรือเปล่า ฮ้า
ก็มันเป็นอาวุธความเร็วสูงที่ใช้ยิงในระยะไกล ไม่ใช่หรือ ก็คนถูกยิง เขายืนอยู่ในฝั่ง
ผู้ชุมนุม ถึงใช้ยิงไง(ก็พวกเมิงมันหน้าตัวเมีย ขี้ขลาด มีหรือจะกล้าเดินเข้ามายิงจ่อหัวใกล้ๆ)
แล้วเมิงคิดว่าถ้าอยู่กันตัวต่อตัว เมิงจะใช้สไนเปอร์ไปทำไม จริงไหม
ส่วน “สมชาย” พอใจคำชี้แจงก็ไม่น่าแปลกใจหรอก
ก็เมิงมันพวกเดียวกัน ไม่พอใจได้ด้วยรึ
เชื่อมีคนสวมรอยก่อเหตุหวังป้ายสีทหาร โธ่ว้อย ก็บอกแล้วไง
เมิงยุบกองทัพเสียเถอะ ส่งทหารมาแทบจะหมดกองทัพ ยังปล่อยให้มีคนแฝงตัว
เข้าไปไล่ยิงชาวบ้านจนเขาไปออกข่าวกันทั่วโลก เห็นกันจะๆ แล้วพวกทะเหี้ย
เหล่านั้นปล่อยคนที่แฝงตัวเอาไว้ได้ไง ดูจากวิถีกระสุน มันก็แสดงว่ามาจากฝั่ง
พวกเมิง แล้วยังหน้าด้านมาแก้ตัวอีก
ระบุมีความพยายามบิดเบือนว่าการตายของ 91 ศพเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
ทั้งที่ตายต่างกรรมต่างวาระกันในหลายพื้นที่
ทำไมไม่ต่อด้วยล่ะว่าในแต่ละพื้นที่ที่มีคนตาย มีแต่ทะเหี้ยเต็มไปหมด
อย่างไรก็ตามเมิงก็ยอมรับแล้วล่ะสิว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ จะมารับบ้างไม่รับบ้าง
แล้วจะทำให้ความผิดลดลงหรือไง เมิงไม่รู้หรือการขโมยเงิน ไม่ว่าบาทเดียวหรือล้านนึง
มันก็คือขโมย
เอาสันดานที่เอี้ยชอบใช้พูดเล่นกันในวงเหล้าว่า "ทำผิดแล้วอย่ารับ หากต้องรับ
ก็รับแค่ครึ่งเดียว" มาใช้แบบโกหกเมียเมิง ไม่ได้นะโว้ย
ยิงก็คือยิง จะแก้ตัวว่ายิงไม่ถึง91ศพก็ไม่ได้ล้างมลทิลว่าเมิงไม่ได้ยิงนี่นา
มะมาปฏิบัติธรรมกัน
เห็นคุณหญิงหัวฟูเธอออกมาพูดในงานนี้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์
ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงการนำหลักคำสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้ผ่านพ้นพิบัติ
ในงานเสวนา "ภัย...ใครพิบัติ" ที่จัดขึ้น ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
พร้อมแนะนำว่าอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ไม่ฝืน
จะช่วยให้ผ่านพ้นพิบัติได้" ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าว
โอ้โฮดูเป็นคนเข้าใจธรรมะจังเลยนะคะ เสียอย่างเดียวเธอไม่รู้ว่าธรรมะที่พระพุทธองค์
ท่านสอนไว้เป็นหลักใหญ่ก่อนจะไปปฏิบัติธรรมข้ออื่นให้ลึกซึ้ง คือต้องถือศีล ๕ก่อน
อันว่าศีล ๕เนี่ยก็รู้ๆกันอยู่ มีข้อหนึ่งซึ่งคุณหญิงลองไปทบทวนดูว่าได้ปฏิบัติโดยเคร่งครัด
แล้วหรือยัง นั่นก็คือ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
คุณหญิงไม่ลองไปทบทวนดูหน่อยหรือว่าตั้งแต่ดังมา มีชื่อเสียงแล้วนี่ คุณหญิงได้
ทำผิดศีลข้อนี้ไปกี่ครั้งแล้ว ผิดพลั้งไป ขอโทษยังพอให้อภัยได้ แต่นี่คุณหญิง
ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนเขาไม่เชื่อน้ำหน้าอีกแล้ว ยังกล้าจะมาสอนให้คนเข้าใจ
ธรรมะอีกหรือ เห็นคุณหญิงว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
หรือการพูดไม่จริงกลายเป็นธรรมชาติของคุณหญิงไปเสียแล้ว
นี่ก็อีกราย พระอาจารย์ไพศาล ท่านยกนิทานชาดก มาเทศน์ให้ฟัง
เนื่องในวันครบรอบโศกนาฏกรรมช้อคทั่วโลก 11กันยายน ท่านว่า
ทุกอย่างเกิดจากความโกรธ ดังนั้นควรละเสียซึ่งความโกรธ ก็สมแล้วที่คุณ"คำพกา"
เธอเขียนบทความเรื่อง"ไม่เถียงแต่ด่า" เพราะเทศน์กัณฑ์นี้ น่าจะไปเทศน์
ก่อนการเข่นฆ่า ผู้คนตายเกลื่อนเมือง น่าจะไปเทศน์ให้คนสั่งฆ่าได้มีสติก่อนสั่ง
จริงอยู่ ก็เข้าใจหรอกว่ามันคงโกรธแค้นพิลึก ที่ภัยมันใกล้ตัวมาทุกที ปล่อยไว้
เดี๋ยวก็ลามจนมอดไหม้ แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งปราบยิ่งทำให้เรื่องไม่จบ ไม่เชื่อลองไป
ดูคลิ้ปต่างๆของวันที่ 19 กย.53 ดูก็ได้
และในครั้งนั้น พระอาจารย์ท่านยกนิทานชาดก มาประกอบหลายเรื่องอยู่
แต่ที่ประทับใจสุดๆ ก็เรื่องที่จะยกมาให้อ่านกันนี่ล่ะค่ะลองอ่านดูนะคะ
ฤาษีขันติวาที เป็นนักบวชที่มีขันติธรรมอย่างสูงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป
รวมทั้งพระมเหสีด้วย ทำให้พระราชาทรงอิจฉาต้องการล้างแค้น ด้วยการ
จับเอาฤาษีมาทดสอบด้วยการทรมานเพื่อดูขันติธรรม แม้ว่าถึงกับต้องตัดมือ
ตัดเท้า ตัดจมูก ตัดหู ฤาษีก็ไม่แสดงความโกรธ แต่กลับได้แต่แผ่เมตตาให้
กับพระราชา พร้อมกับกล่าวว่า"ขอพระราชา จงมีอายุยืน ขอจงแคล้วคลาดจากบาปกรรมที่ท่านกระทำนี้"
เอ้า พวกเรามาร่วมกันสวดบทแผ่เมตตา แล้วตะโกนโดยพร้อมเพรียงกันว่า
ขอจงแคล้วคลาดจากบาปกรรมที่ท่านกระทำนี้
ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงการนำหลักคำสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้ผ่านพ้นพิบัติ
ในงานเสวนา "ภัย...ใครพิบัติ" ที่จัดขึ้น ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
พร้อมแนะนำว่าอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ไม่ฝืน
จะช่วยให้ผ่านพ้นพิบัติได้" ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าว
โอ้โฮดูเป็นคนเข้าใจธรรมะจังเลยนะคะ เสียอย่างเดียวเธอไม่รู้ว่าธรรมะที่พระพุทธองค์
ท่านสอนไว้เป็นหลักใหญ่ก่อนจะไปปฏิบัติธรรมข้ออื่นให้ลึกซึ้ง คือต้องถือศีล ๕ก่อน
อันว่าศีล ๕เนี่ยก็รู้ๆกันอยู่ มีข้อหนึ่งซึ่งคุณหญิงลองไปทบทวนดูว่าได้ปฏิบัติโดยเคร่งครัด
แล้วหรือยัง นั่นก็คือ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
คุณหญิงไม่ลองไปทบทวนดูหน่อยหรือว่าตั้งแต่ดังมา มีชื่อเสียงแล้วนี่ คุณหญิงได้
ทำผิดศีลข้อนี้ไปกี่ครั้งแล้ว ผิดพลั้งไป ขอโทษยังพอให้อภัยได้ แต่นี่คุณหญิง
ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนเขาไม่เชื่อน้ำหน้าอีกแล้ว ยังกล้าจะมาสอนให้คนเข้าใจ
ธรรมะอีกหรือ เห็นคุณหญิงว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
หรือการพูดไม่จริงกลายเป็นธรรมชาติของคุณหญิงไปเสียแล้ว
นี่ก็อีกราย พระอาจารย์ไพศาล ท่านยกนิทานชาดก มาเทศน์ให้ฟัง
เนื่องในวันครบรอบโศกนาฏกรรมช้อคทั่วโลก 11กันยายน ท่านว่า
ทุกอย่างเกิดจากความโกรธ ดังนั้นควรละเสียซึ่งความโกรธ ก็สมแล้วที่คุณ"คำพกา"
เธอเขียนบทความเรื่อง"ไม่เถียงแต่ด่า" เพราะเทศน์กัณฑ์นี้ น่าจะไปเทศน์
ก่อนการเข่นฆ่า ผู้คนตายเกลื่อนเมือง น่าจะไปเทศน์ให้คนสั่งฆ่าได้มีสติก่อนสั่ง
จริงอยู่ ก็เข้าใจหรอกว่ามันคงโกรธแค้นพิลึก ที่ภัยมันใกล้ตัวมาทุกที ปล่อยไว้
เดี๋ยวก็ลามจนมอดไหม้ แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งปราบยิ่งทำให้เรื่องไม่จบ ไม่เชื่อลองไป
ดูคลิ้ปต่างๆของวันที่ 19 กย.53 ดูก็ได้
และในครั้งนั้น พระอาจารย์ท่านยกนิทานชาดก มาประกอบหลายเรื่องอยู่
แต่ที่ประทับใจสุดๆ ก็เรื่องที่จะยกมาให้อ่านกันนี่ล่ะค่ะลองอ่านดูนะคะ
ฤาษีขันติวาที เป็นนักบวชที่มีขันติธรรมอย่างสูงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป
รวมทั้งพระมเหสีด้วย ทำให้พระราชาทรงอิจฉาต้องการล้างแค้น ด้วยการ
จับเอาฤาษีมาทดสอบด้วยการทรมานเพื่อดูขันติธรรม แม้ว่าถึงกับต้องตัดมือ
ตัดเท้า ตัดจมูก ตัดหู ฤาษีก็ไม่แสดงความโกรธ แต่กลับได้แต่แผ่เมตตาให้
กับพระราชา พร้อมกับกล่าวว่า"ขอพระราชา จงมีอายุยืน ขอจงแคล้วคลาดจากบาปกรรมที่ท่านกระทำนี้"
เอ้า พวกเรามาร่วมกันสวดบทแผ่เมตตา แล้วตะโกนโดยพร้อมเพรียงกันว่า
ขอจงแคล้วคลาดจากบาปกรรมที่ท่านกระทำนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)