วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธรรมาภิบาล

เรื่องปลดDD การบินไทย สหภาพร้องจ๊าก หาว่าผิดธรรมาภิบาล
เคลื่อนไหวกันยกใหญ่

เผอิญมีคนมาส่งข่าวว่าสหภาพการบินไทย ความรู้สึกช้ามากไปมั้ง
เพราะวันที่DD คนนี้เข้ามาก็มาไม่ถูกต้องนา มีคนเขาร้องด้วยซ้ำว่า
ตอนมาแกคุณสมบัติไม่ครบ นะคะ

มาจะเล่าให้ฟัง คือว่าก่อนทีแกจะมาเป็น DDการบินไทยน่ะ
แกทำงานอยู่ที่บาฟส์(บริษัทบริการเชื้องเพลิงการบินกรุงเทพจำกัด (มหาชน)
อันว่าบริษัทนี้เป็นคู่สัญญากับบริษัทการบินไทย(มหาชน)นะคะ และตามข้อห้ามของพรบ.
ได้ปรากฎชัดเจนว่าคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ระบุว่า ไม่เป็นหรือภายในระยะเวลา สามปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง ไม่เคยเป็นกรรมการ
หรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในนิติบุคคลที่ได้รับสัมปทาน
ผู้ร่วมทุน หรือมมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่การเป็นประธานกรรมการหรือ
กรรมการในนิติบุคคลดังกล่าว โดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจนั้น

นายปิยะสวัสดิ์ เคยทำงานที่บาฟส์จริงและลาออกเมื่อวันที่ 7 ตค.49 และได้มารับการคัดเลือกเป็นDDการบินไทย
ก่อนถึงเวลาครบ 3ปี จนมีผู้ร้องให้การแต่งตั้งนายปิยสวัสดิ์เป็นโมฆะ ขนาดรมต.คมนาคม
นายโสภณ ซารัมย์ ยังไม่กล้าเซ็นสัญญาจ้างทั้งที่ผ่านการอนุมัติมากว่า 3เดือน
แล้วเขาทำอย่างไรกันคะ แหมเรื่องนี้ง่ายมากสำหรับพรรคแมลงสาบและพวก ก็ดึงเรื่องไงคะ ดึงเอาไว้
ไม่กล้าแต่งตั้ง เป็นเวลา ถึง3เดือน กับ20วัน(คงจำได้เรื่องการตั้งผบตร.ที่ดองไว้ยาวนานที่สุด)
ซึ่งที่จริงแล้ว คุณสมบัติแก ก็ขาดตั้งแต่วันมาสมัครแล้ว แต่เผอิญเป็นพวกเดียวกัน
ก็ทำเป็นหรี่ตาเสียข้าง หยวนๆกันไป ถูลู่ถูกังแต่งตั้งจนสำเร็จ

แต่เรื่องนี้สหภาพไม่สนใจนะคะ มองไม่เห็นว่ามันขัดต่อหลักธรรมาภิบาล
เหมือนตอนที่ปลดDD เสียนี่ เรื่องนี้ ร้องปปช.ไปแล้วก็เงียบนะคะ ตามสไตล์
ของพวกธรรมาภิบาลสูงส่ง หากเป็นคนอื่น ไม่ใช่พวกตัว ป่านนี้มิลากลงมา
ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งหรือคะ ที่จริงควรเอาผิดย้อนหลังด้วยซ้ำ

ที่เขียนมาเพียงเพื่อจะบอกว่าถึงเวลามาอย่างไร ถึงเวลาไปก็รีบไปเงียบๆเถิดค่ะ
ปรามกองเชียร์ของตนเสียบ้าง อย่าปล่อยให้ออกมาร้องแรกแหกกะเฌอกันดังนัก
เดี๋ยวฝุ่นที่ซุกไว้ใต้พรมมันฟุ้ง จนได้เห็นความผิดกันบ้าง จำไว้ล่ะ

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ไอ้ฆาตกรต่อเนื่อง

เป็นคำพูดที่ได้ยินจากผู้หญิงคนหนึ่งในที่ชุมนุมเมื่อวาน
คนแน่นมากๆ แทบจะไม่ที่ยืนที่เดิน ได้ไปยืนอยู่กับเพื่อน
แล้วก็คุยกัน ถึงใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ

พอหญิงสาวคนนั้นได้ยิน เธอหันมาร่วมสนทนาด้วย
ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน(เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ไปร่วมชุมนุม
เพราะคนเสื้อแดง พอแดงแล้วก็ว่าเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง
เป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย)เธอหันมาบอกสั้นๆว่า
"ก็มันเป็นฆาตกรต่อเนื่อง"
เท่านั้นแหละ เข้าใจเลย เพราะอาการของฆาตกรต่อเนื่อง
คือเสพติดความตาย ลองได้ฆ่าสักคนแล้ว คนต่อๆไปก็ไม่ยากแล้ว
ยิ่งฆ่ามาก ยิ่งจะมีความสุข

ระวังรักษาตัว อย่าเป็นเหยื่อของมันก็แล้วกันค่ะ

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดุลยพินิจ


คำว่า"ดุลยพินิจ" กำลังฮิต โดยเฉพาะเมื่อเกิดความตายของ"อากง"
ที่ไม่ได้รับการอนุมัติปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อสู้คดี ถึง 8ครั้ง แม้ทนาย
จะอ้างในคำร้องต่างๆนาๆ ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ด้วยว่า ศาลท่าน
ใช้ดุลยพินิจว่า กลัวจำเลยหลบหนี

กมธ. (คณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร )โดยคุณ สุนัย จุลพงศธร
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน ได้จัดประชุมพิจารณาศึกษา
กรณีการเสียชีวิตของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง เอ็สเอ็มเอส ในระหว่างถูกคุมขังในราชทัณฑ์
เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏเหตุในลักษณะเช่นนี้อีก โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เข้าร่วมประชุม อาทิ น นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขธิการศาลยุติธรรม นายอานนท์ นำภา ทนายของอากง


จากข่าวคุณสุนัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะไม่วิจารณ์คำพิพากษาของศาล
แต่จะมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่าจะหาทางออกอย่างไร เพราะคนที่
ไม่พอใจในคำสั่งศาลไม่ใช่คู่กรณีของศาล แต่เป็นประชาชนทั่วไป
เพราะหลายคดีประชาชนก็ยังสงสัย เช่น กรณีปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
แต่ถูกปล่อยตัวหรือการที่นายการุณ ใสงาม อดีต ส.ว.บุรีรัมย์ ที่ไม่ยอมมอบตัว
กับตำรวจคดีปิดสนามบินและไม่ยอมออกจากรถ จนตำรวจต้องไปล๊อคตัวออกมาจากรถ
เมื่อสั่งสอบสวนเสร็จก็ปล่อยตัวโดยไม่ต้องประกันตัว ทำให้ประชาชนเข้าใจกันอย่างหลากหลาย
ซึ่งเราก็ต้องมาคุยเพื่อแก้ไขปัญหา


นายสราวุธ กล่าวว่า ศาลก็ไม่สบายใจในสิ่งที่เกิดขึ้น การจะปล่อยตัวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
การประกันตัวในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 ก็ได้รับการประกันตัวหลายคน
เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งที่ผ่านมาคนที่ได้รับ
การปล่อยตัวชั่วคราวมีร้อยละ 93 ที่ไม่ปล่อยร้อยละ 7 กรณีของอากงศาลเชื่อว่าจะมีการหลบหนี
ซึ่งก็เป็นการใช้ดุลยพินิจของศาล ศาลไม่ได้ตัดสินตามสีเสื้อ ตนก็อยากให้มีการปล่อยตัวนักโทษชั่วคราว
แต่ก็เกรงว่าจะหลบหนี อย่างกรณีของอากงหากเป็นโรคร้ายแรงก็ให้นำเอกสารมายืนยัน
แต่ในที่ผ่านมาไม่เคยระบุว่าป่วยขั้นไหน


น่าเสียดายนสพ.เดลินิวส์ลงข่าวแค่ที่ยกมาข้างต้น เท่านั้นเอง ไม่มีการเสนอ
ต่อว่า แล้วทนายพูดว่าอย่างไรงั้นขอ คุยกันเท่าที่ข่าวเสนอแล้วกันค่ะ
เมื่อรองเลขาธิการศาลท่านใช้คำว่า"ดุลพินิจ" ก็ต้องไปค้นหากันหน่อย
ว่ามันแปลว่าอะไร โดยปกติ ถ้าคำนี้ใช้กับศาล ก็จะไปตรงกับคำว่าdiscretionนะคะ
แปลเป็นไทยว่า "การพิจารณาอย่างละเอียด" ส่วนคำในภาษาอังกฤษนั้น
เขาแปลว่า Those in a position of power are most often able
to exercise discretion as to how they will apply or exercise that power.

หึหึ เอาเป็นว่า คำนี้ เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของศาลท่าน ก็ท่านมีอำนาจในการใช้
ท่านจะใช้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับท่าน แต่ต้องไม่ลืมว่า ความยุติธรรมที่แท้จริง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของใคร

เคยมีคนบอกว่า "ความยุติธรรม จะบังเกิด เมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่ายุติธรรม
จึงจะยุติ ข้อกล่าวหา ข้อโต้แย้งได้" ผู้พิพากษาที่ดี ต้องอย่างที่ อ.มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อเข้าไปในคุก เจอคนที่ตนเคยตัดสิน ให้ติดคุก เขาเข้ามาบอกว่า
เขายอมรับการตัดสิน เพราะเขาผิดจริง อย่างนี้จึงเรียกยุติธรรม

แต่เมื่อ ศาลท่านใช้ดุลยพินิจ ก็แปลว่า เป็นความรู้สึกส่วนตัวแท้ๆ
ขนาดรองเลขาธิการศาลท่านยังบอกว่า ดูสิ ขนาด"ลิ้ม" ยังได้ประกันตัวเลย
เอ่อ ช่างยกตัวอย่างเนอะ ก็"ลิ้ม"น่ะ ชาวบ้านชาวช่อง เขาเห็นว่าควร
จับไปขังคุกเสียบ้าง เพราะโดนหลายคดีเหลือเกิน โทษก็หนักๆทั้งสิ้น
รวมเวลาติดคุกที่ถูกตัดสินไป ก็คงประมาณ 100ปีเห็นจะได้ แต่ท่าน
ก็ใช้ดุลยพินิจว่าเขาคงไม่หลบหนี อาจเพราะเห็นว่าบินไปบินมาว่อน
ไปหมด แต่ก็กลับมาทุกครั้ง ใช่ไหมล่ะ ฮาไม่ออก

หากการตัดสินไปขึ้นอยู่กับคนคนเดียว ดุลยพินิจของคนคนเดียว
มันก็เป็นข้อกังขาอย่างนี้แหละ เพราะคดีนี้ เข้าใจศาลท่านนะ
ท่านคงสะเทือนใจมาก เมื่อเห็นข้อความที่เขาว่าอากงส่ง คงเป็นอาการ
ของคนที่ถูกคนด่าพ่อล่อแม่นั่นแหละ มันโกรธ มันแค้น มันต้องจัดการไอ้คนนั้นให้สาสม
โดยลืมนึกถึงความจริงข้ออื่นๆ โดยลืมนึกถึงความถูกต้อง ความเป็นไปได้
การใช้ดุลยพินิจจึงกลายเป็นการใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวล้วนๆ
เมื่อคนเรามีโกรธ มีอคติ ไอ้ที่จะให้ใช้ดุลยพินิจอย่างเที่ยงธรรมก็เห็นจะยาก

ศาลท่านบอกว่าการใช้ดุลยพินิจ ไม่ได้ดูที่สีเสื้อ ใจจริงไม่ค่อยเชื่อนะคะ
แต่ในกรณีอากงนี่คงจะจริง เพราะอากงไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่ในกรณีอื่นๆ
ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ เพราะจากข่าวก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าดุลยพินิจ
ในการตัดสินมันเอนเอียงขนาดไหน เช่นนายการุณเนี่ย หลบหนีอยู่แน่ๆ
เมื่อถูกจับซึ่งหน้า ยังยักเยื้อง ทำให้เดือดร้อนไปหมด อย่างนี้กลับปล่อย
ให้กลับไปเฉยๆซะงั้น แล้วจะบอกว่า ไม่เอนเอียง คงไม่พอ

ที่บ่นมายืดยาวนี่ก็เพราะอยากให้เราปฏิรูปขบวนการยุติธรรมเสียใหม่
อย่าให้ไปขึ้นอยู่กับความคิด อารมณ์ ของคนคนเดียว มันดูไม่ยุติธรรมค่ะ

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลิงไม่กลัว

แค่คนตายหนึ่งคนบ่นไปได้
มันต้องใช้ชดกรรมทำไว้นี่
ช่างจาบจ้วงดวงใจไยปรานี
ตายเสียทีดีแล้วแนวเนียนๆ

แต่พอย้อนนึกดูอดสูนัก
เป็นชนักปักลงตรงคงต้องเขียน
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ใครนั่งเทียน
ถือบังเหียนอัปยศอดสูจัง

ไม่สามารถบอกได้ว่าใครส่ง
เพียงแค่คงเป็นคนนี้จึงจับขัง
เบอร์ไม่ตรงไม่เป็นไรไม่อินัง
และไม่ฟังคำขอพอกันที

ก็อีมี่ อีแม่แปลไม่ออก
เพราะเขาบอกตรงกันมันบัดสี
หาคนช่วยอธิบายให้ฟังที
ว่าอีมี่ซ้ำได้ก็ไม่แคร์

จะเชือดไก่ให้ลิงได้หวั่นไหว
จำใส่ใจไม่ทำซ้ำทำเป็นแถ
แล้วความตายทำใจให้ผันแปร
ที่แน่ๆตอนนี้ลิงไม่กลัว

ลิงทั้งหลายนึกได้ไม่ถูกต้อง
ต่างก็ร้องระงมถ่มไปทั่ว
ไก่ตัวเดียวไม่พอล่อร้อยตัว
คนมันชั่วคงต้องฆ่า อีกห้าร้อย