วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กลอนปีใหม่

ก็เป็นเพียงอีกวันผันมาถึง
เป็นวันซึ่งเปลี่ยนปีมีเสมอ
ผ่านมาแล้วแล้วก็ผ่านต้องพบเจอ
อย่าละเมอว่าใหม่มันไม่จริง

ยังวนเวียนซ้ำซากแม้อยากเปลี่ยน
ยังคงเลี่ยนล้าหลังยังถูกสิง
ผ่านปีใหม่ผ่านไปไม่ประวิง
ด้วยทุกสิ่งคงคงย้ำทำเหมือนเดิม

เมื่อไหร่หนอขอให้ได้ใหม่บ้าง
ให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่ต้องเพิ่ม
เพียงเปลี่ยนไปนิดหน่อยค่อยๆเติม
จะได้เริ่มประชาธิปไตยในเมืองเรา

ให้เสรีมีบ้างอย่างที่ฝัน
ให้มีวันอ้าปากได้คงไม่เหงา
ให้มีสิทธิ์คิดได้ค่อยบรรเทา
ให้ใครเขาเข้าใจในต้องการ

ผ่านไปแล้วผ่านไปไม่สมหวัง
ที่เรายังตั้งใจให้สุขศานติ์
ไม่ขอมากหากจะได้ให้ยืนนาน
โปรดเจือจานความเสรีที่รอคอย

ต้องเพียรขอรอไปเท่าไหร่หนอ
ต้องให้รอรอไปใจยังหงอย
เสรีภาพที่จะคิดไม่เลื่อนลอย
เราไม่ถอยที่จะขอรอต่อไป
IdeaIdeaIdea

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สี่แผ่นดิน

เอาว่าจะเล่าเรื่องละครเวที "สี่แผ่นดิน เดอะ มิวสิคัล" ที่กำลังเปิดการแสดงอยู่ ณ ขณะนี้นะคะ

ไม่ได้ชวนไปดู แต่เพราะเรื่องนี้ เป็นกระแสฮือฮาอยู่ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมาได้สักพัก

เมื่อเริ่มเปิดการแสดง หลังจากที่ต้องเลื่อนไปเพราะสถานการณ์น้ำท่วม และมีมาโพสท์ กระหน่ำชักชวนกันให้ไปดู
ถึงขนาดมีทวิตเตอร์ ของผู้ว่าฯกทม. ออกมาบอกว่าให้ไปดู โดยเฉพาะแฟนคลับนปช. เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง
จนในที่สุด ก็มีการโพสท์ขออภัยว่าทวีตนั้น ไม่ใช่ผู้ว่าฯ ผู้ว่าไม่ได้ไปดู และไม่ได้เชิญชวน โอละพ่อเล็กๆกันไป
ตกลงไปดูจริงหรือไม่ได้ไป ไปแล้วไม่ได้ชวน หรืออะไรก็ตามเถอะ แสดงให้เห็นว่ามีการนำเรื่องละครเพลงนี้
มาจุดกระแสความแตกแยกอีกครั้ง หรือไม่ก็การหาความบันเทิงของผู้บริหารในยามนี้ เป็นสิ่งต้องห้าม
ไม่สมควรทำมั้ง เพราะเห็นกระหน่ำด่ากันเมื่อมีคนเลวโพสต์กล่าวหาว่านายกฯไปดูคอนเสิร์ตยานี
ผู้ว่าฯกทม. เลยกลัวถูกด่า บอกว่าไม่ได้ไปดู เอิ๊กส์
แต่เอาเถอะจะไปดูหรือไม่ได้ไปดูก็แล้วแต่ ป้าได้ไปดูเลยจะนำมาเล่าก็แล้วกัน

หลังจากเห็นกระแสเอามาบอกกล่าวว่าต้องไปดู ดูแล้วจะรัก"ในหลวง"มากยิ่งขึ้น ทำเอาใจเสีย
เพราะบัตรจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว เขาเลื่อนเพราะน้ำท่วมก็เอาไปเปลี่ยนรอบกะเขามาเรียบร้อย
พอมาเจอเสียงลือเสียงเล่าอ้างอย่างนี้เลยชักใจเสีย ไม่ใช่ว่ากลัวว่าไปดูแล้วจะรัก"ในหลวง"มากขึ้นหรอกค่ะ อย่าคิดมาก

แต่ใจเสียเพราะงง จำได้ว่าบทประพันธ์ของมรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเรื่องนี้อ่านมานานแล้ว และอ่านหลายรอบ
ละครเวทีที่ธรรมศาสตร์ ก็เคยแสดงเป็นตัวประกอบแล้วด้วยซ้ำ เคยชอบและประทับใจเรื่องนี้มากๆ
แต่เท่าที่นึกออก ก็เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านชีวิตตั้งแต่เยาว์วัยมาจนแก่ตาย โดยผ่านยุคสมัยมาถึง 4 รัชกาล
ตั้งแต่ร.5ถึงวันสุดท้าย ที่แม่พลอยตายเมื่อได้รับข่าวการสวรรณคตของร.8
ก็เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ แล้วมาเชิญชวนกันไปดูเพื่อจะได้"รักในหลวง"มากขึ้นได้ไง
นี่มันพ.ศ. ไหนแล้วเนี่ย ร.9มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ
หรือคนเขียนบทไปแก้ไขยืดเรื่องเอาเอง เลยชักใจไม่ดี เสียความรู้สึก
เลยต้องไปดู ให้รู้จริง (อ้อ ต้องไปดู เพราะเสียดายตังส์ด้วยนั่นแหละ บัตรก็ออกแพง เขาไม่รับคืนเสียด้วย)

ไปดูมาเรียบร้อย เลยมาเขียนเล่าให้ฟังแล้วกัน ว่าทำไมเขาถึงฮือฮากันนัก ไม่ได้ชวนไปดูหรอกค่ะ
เพราะบัตรคงไม่มีแล้ว รอบเมื่อคืนก็เห็นนั่งกันเต็มทุกที่นั่ง

ละครเวทีประเภทเดอะมิวสิคัลนี้ เท่าที่ดู ถกลเกียรติ จัดมาแล้วหลายเรื่อง
ก็ชอบทุกเรื่องล่ะนะคะ เพราะเป็นคนชอบดูละครเวทีมาแต่ไหนแต่ไร
ชอบโปรดักชั่นงานสร้างเขา ทั้งฉาก เครื่องแต่กาย แสงสีเสียง รวมทั้งนักแสดง
ล้วนมากฝีมือ ดูทุกเรื่องก็ประทับใจทุกเรื่อง

"สี่แผ่นดิน" ครั้งนี้ ก็ไม่ได้ดัดแปลง เนื้อเรื่องแต่ประการใดนะคะ ยังคงเป็นเรื่อง
ของแม่พลอยที่มีผัวชื่อ คุณเปรมแบบเดิมแหละค่ะ
แต่อาจเป็นเพราะยุคนี้เป็นยุคของความขาดแคลน ขาดแคลนความรัก
สังคมเริ่มหวั่นไหว ว่า เรารัก"ในหลวง"น้อยไปหรือเปล่า

จะเป็นการจงใจหรือไม่ไม่ทราบ แต่ละครเรื่องนี้ เปิดฉาก โดยเอาแม่พลอยที่แก่แล้ว ออกมาเล่าเรื่องหน้าฉาก
เกริ่นนำว่าที่ปวงชนชาวไทยอยู่ร่มเย็น เจริญรุ่งเรืองมาเพราะบารมี"ในหลวง" เท่านั้นแหละ น้ำหูน้ำตารื้นกันขึ้นมาทีเดียว
โดยคงลืมไปว่า แม่พลอยแกตายไปตั้งแต่ร.8 "ในหลวง"ที่แม่พลอยแกพูดถึงเนี่ยก็น่าจะนับแค่ร.5-ร.8เท่านั่้น
แต่ก็เอาเถอะ คนดู พอได้ยินคำว่า"ในหลวง" น้ำตาคงไหลพรากๆกันแล้ว

เรื่องดำเนินผ่านยุคผ่านสมัยมาเรื่อยๆ เล่าเรื่องความเจริญรุ่งเรืองในสมัยร.5 มีการกล่าวถึง รถไฟม รถราง และไปรษณีย์
ในเนื้อที่ร้อง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในรัชสมัยนั้น รวมทั้งการเลิกทาส
พอเปลี่ยนมายุคร.6 ประเทศเราก็ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เอาอย่างฝรั่งกันเต็มที่ ใช้ชีวิตหรูหรา
ฟุ่มเฟือย (เพราะมีแบบอย่าง) แล้วต่อมาถึงร.7 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
มีการนำเอาคำประกาศของคณะราษฎรมาอ่านเล็กน้อยด้วยนะคะ ป้าเกือบเผลอ
ลืมตัวปรบมือเมื่อฟังจบเสียแล้วสิ

ระหว่างนั้น การดำเนินเรื่องก็เป็นไป ตามท้องเรื่อง เพิ่งได้ทราบจากบางท่านในทวิตเตอร์ว่าคุณชายคึกฤทธิ์
ท่านเขียนเรื่องนี้ได้แบบเนียนๆ โดยเอาความคิดของคนแต่ละแบบใสไว้ในตัวละคร
เลยต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมามัวไปโฟกัสที่ตัวแม่พลอย โดยลืมดูลูกๆ
ครั้งนี้ต้องใส่ใจหน่อย และพบว่า ลูกของแม่พลอย ต่างเป็นตัวแทนของคนแต่ละคน
ที่คิดเห็นต่างกันในสังคมนี้

เพียงแต่สมัยท่านคึกฤทธิ์เขียนกะยุคนี้มันต่างกัน แม้ความต่างจะยังคงมีอยู่ และเพิ่มความรุนแรงขึ้น
"อ้น" ลูกคุณเปรมคนแรกที่เกิดจากเด็กในบ้าน อู๋ย อันเนี้ย เป็นไพร่แท้จริง เพราะเกิดจากการผสมพันธุ์ต่างชั้น
ตามหลัก เด็กพวกเนี้ยจะเจียมเนื้อเจียมตัว ตามทัศนคติของคุณชาย เอ่อ แล้วก็ต้องจงรักภักดีมากเป็นพิเศษ

"อั้น" ลูกชายคนโตที่เกิดจากแม่พลอยและคุณเปรมส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก กลับมาพร้อมเมียแหม่ม
และมีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงการเมือง ในทัศนคุณชาย ก็อาจจะมาก่อนกาล เลยแพ้ภัยไปในที่สุด

"อ๊อด" ลูกแหง่ของแม่ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากทำตัวเป็นชาวเกาะ
(เกาะแม่กิน) แม้มันช่างเหมือนลูกท่านหลานเธอโดยทั่วๆไปโดยแท้ ครั้นวันหนึ่งคิดได้ว่าต้องทำงาน
ก็ดั๊นไปเลือกงานยากเกินกำลัง ลงใต้ไปทำเหมือง เลยแพ้ภัยตายไปอีกราย

ส่วนลูกสาวคนเล็ก"ประไพ" ก็แต่งงานไปกะเจ๊กจีน พ่อค้าที่ โดนดูถูกดูหมิ่น(ในสมัยนั้น) เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน
ซึ่งจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ยังเป็นความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยน

เรื่องก็น่าจะจบลงในตอนที่แม่พลอยตาย จึงจะสมบูรณ์ตามเรื่องเดิม หมดสี่รัชกาลดังชื่อ"สี่แผ่นดิน"
แค่ถกลเกียรติ ก็เสริมต่อไปอีกหน่อย อันคงเป็นเหตุ ทำให้ซาบซึ้ง น้ำตาไหลกัน

โดยส่วนตัว ละครไม่เลวร้าย เพียงแต่อาจมากไปนิด โดยถกลเกียรติ อาจลืมความจริงข้อหนึ่งไปว่า "มากไปย่อมเฝือ" "ยัดเยียดย่อมน่าเบื่อ"
ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนเรียนรู้มากขึ้น เข้าใจโลกเข้าใจสัจธรรมมากขึ้นแล้วนะคะ เอ หรือทั้งโรง มีป้าคิดเอาเองอยู่คนเดียว