วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีป้องกันน้ำท่วม?

ระยะนี้ จะเห็นว่ามีการเสนอวิธีการป้องกันน้ำท่วม(กันน้ำไม่ให้เข้าบ้าน)
กันออกมามากมาย ซึ่งก็ดีนะคะ ถ้าทำแล้วสบายใจ ไม่เสียเงินมาก
ก็ลองทำดู อย่างน้อย ก็จะสบายใจว่าได้ทำแล้ว

แต่น้ำท่วมครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งไหนๆ ไม่เหมือนน้ำท่วมที่เกิดจากฝน
ตกหนัก แล้วน้ำระบายไม่ทัน(กทม.เป็นบ่อยๆ) ไม่ใช่น้ำท่วมที่เกิดจาก
น้ำทะเลหนุน แม่น้ำเจ้าพระยา ระดับน้ำสูง ถ้าเป็นอย่างนั้น การยาซิลีโคน
การกั้นกระสอบทราย ก็คงเอาอยู่ น้ำที่จะมาครั้งนี้ เป็นมวลน้ำมหาศาล
เขาว่าก้อนใหญ่มหึมา เป็นน้ำลามทุ่ง (แปลว่าทางบก)ไม่ได้มาทาง
แม่น้ำลำคลอง หรือจากฝน จึงยากที่จะกั้นเอาไว้ได้

ไม่ทราบได้ดูข่าวโรงงานกิ๊ฟฟารีนในนวนครกันหรือเปล่าคะ
ผู้บริหารเขาว่าเป็นโรงงานสุดท้ายที่น้ำเข้าท่วม เขาเล่าว่า
ที่โรงงานก่อกำแพงคอนกรีตหนาอย่างดี สูง2เมตร กั้นไว้รอบตัวอาคาร
จึงเป็นโรงสุดท้ายที่อยู่รอด แต่เมื่อน้ำมาจริงๆ เขาว่า เสียงดังมาจากทางด้านหลัง ตึงๆ (แน้ มีเคาะประตูด้วย)
แล้ว กำแพงคอนกรีต2เมตรก็พังลงมา และน้ำก็ทะลักเข้าทุกทิศทุกทาง
จนเจิ่งนองไปสูงสักสองเมตรกว่า เป็นอันจบกันสำหรับแขกที่ไม่ได้
รับเชิญ แต่ก็มาอยู่ดี

เอาเถอะค่ะ ป้องกันไว้ให้ดีที่สุด แต่ต้องไม่ลืมทำใจไว้ด้วย
น้ำครั้งนี้ มากมายมหาศาล ลองเธอจะผ่านมา กั้นอย่างไรก็เอาไม่อยู่
ปล่อยเธอกลับไปหา พ่อ-แม่เธอในทะเลเถอะค่ะ เธออาจจะผ่านบ้าน
ใครไปบ้าง ก็ต้องยอมๆกันไป อย่าไปดึงดัน ห้ามเธอเลย
เธอเป็น หญิงเจ้าอารมณ์ กั้นเธอมากๆ แป๊บเดียวเธอก็รวม
พลังบุกทะลวง สร้างความเสียหายมากกว่าอีกค่ะ

ด้วยความเคารพจริงๆ วิธีกันน้ำแบบที่เสนอๆกันมา คงใช้ได้ดี
สำหรับกรณีน้ำท่วมขัง เพราะระบายไม่ทัน แต่หากเป็นน้ำลามทุ่ง
เช่นครั้งนี้ เห็นทีจะยาก เพราะน้ำที่มาจะมาจะเร็วและแรง และเยอะมากๆ

สู้เอาเงินที่จะป้องกัน ไปซื้อของกิน น้ำดื่ม เตรียมไว้รับสถานการณ์
จะดีกว่านะคะ ไม่ก็เก็บเอาไว้ซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดจะดีกว่า
อย่าหาว่ามองโลกในแง่ร้ายเลย หากแต่ มองโลกในความเป็นจริงมากกว่า

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขอโทษ

เมื่อ"ขอโทษ"โกรธก็หายไปเกือบครึ่ง
ที่เคยตึงเคยข้อง คงต้องหาย
คำขอโทษ ต่อใจโหดโกรธแทบตาย
ก็ยังคลายหายขึ้งพึงทำกัน

เเป็นนายกฯที่อ่อนน้อมยอมขอโทษ
ไม่ต้องโอดว่าไม่ผิดคิดผลักผัน
มีปัญหามาให้แก้อยู่ทุกวัน
แล้วจำนรรจ์คำขอโทษโกรธก็คลาย

คำสั้นๆคำนี้มีอำนาจ
คนขี้ขลาดหวาดระแวงแกล้งทำหาย
ทำดึงดันว่าไม่ผิดไม่คิดอาย
ทำคนตายก็ไม่กล้าเอ่ยวาจา

พระท่านสอนเอาไว้ไม่ผิดพลาด
คนฉลาดต้องรู้จำย้ำหนักหนา
เอ่ยขอโทษ เพื่อให้เขาเอาใจมา
พร้อมอาสาจะช่วยไปด้วยใจ

พูดไม่ยากหากใจไม่กระด้าง
เพราะมันง้างหัวใจไปถึงไหน
เปิดประตู ความช่วยเหลือเพื่อคนไทย
ไม่ฝักใฝ่ไม่ถือหางข้างเขา-เรา

เพียงนายกฯ เอ่ยคำว่าขอโทษ
คนใจโฉดคิดด่าพากันเหงา
ความขึ้งเคลียด เกลียดก็คลายคล้ายบรรเทา
ควรจะเอาใส่ในปากไม่ยากเลย

ผิดหรือไม่ใครก็เห็น เป็นเรื่องแน่
เพียงแต่แค่เอ่ยคำ อย่าทำเฉย
พูดติดปากว่าขอโทษให้คุ้นเคย
มันไม่เชยหรอกหนาป้าวิงวอน

จากข้อคิดคำสอน ของท่านอาจารย์ คะเวสะโก หรือที่รู้จักกันในนามท่านมิสุโอะ
พระญี่ปุ่น ที่พูดไทยคล่อง แต่หนังสือสอนเล่มสั้นๆอ่านง่ายๆ ไว้มากมาย

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่ออคติบังตา

ได้อ่านบทความในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุด เปิดไปเจอคอลัมน์ "โลกทรรศน์" เขียนโดย นายอุกฤษฎ์ ปัทมานันท์
ด้วยคำถามว่า "เสื้อแดงหายไปไหน?" ในบทความได้เขียนออกมาด้วยอคติ อย่างที่สุด เขาตั้งคำถามว่า ในเมื่อเสื้อแดง
อ้างว่า เป็นมวลชนจำนวนมหาศาล จนทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง

เขาสงสัยว่า เมื่อเกิดสภาวะน้ำท่วมใหญ่เช่นในครั้งนี้ เสื้อแดงไปทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่เห็นออกมาแสดงศักยภาพ ช่วยเหลือ
อันแสดงให้เห็นว่า ช่างดำมืดทางความคิดเสียจริง จากภาพข่าวทางทีวีเอเชียอัพเดต(ซึ่งเขาแขวะว่าเป็นกระบอกเสียงของเสื้อแดง)
ไม่รู้ว่าเขาได้เคยเปิดดูบ้างไหม เคยรู้บ้างไหมว่า นปช.เองได้ระดมทั้งเงินทองและเครื่องใช้อุปโภคบริโภค ใส่รถสิบล้อ เดินทางออกไปเป็นคาราวาน
นับสิบคัน เพื่ออกไปให้ความช่วยเหลือ

ไม่นับรวมถึงเสื้อแดงที่กระจายอยู่ตามเครือข่ายโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่า ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค หรือแม้แต่เวปบอร์ดทางการเมือง
ก็ได้ระดมสรรพกำลัง ออกไปช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบภัย เพียงแต่สื่อหลัก ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ ทีวี ไม่เคยสนใจทำข่าว
ไม่เหมือนช่วงที่ รัฐบาลก่อน ที่สั่งฆ่าประชาชน แล้วยังป้ายสีว่า เสื้อแดง เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งในช่วงนั้นเห็นกระจายข่าว
ใส่ร้ายกันอย่างเต็มที่

เขาแขวะต่อว่า เสื้อแดงคงเกิดขึ้นเพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อการเลือกตั้งเท่านั้น เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายก็เลิกราไป
มันจะไม่เป็นการอคติมากไปหน่อยหรือ การที่เขาไม่รู้ไม่เห็นข่าวทางสื่อหลัก ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราชาวเสื้อแดงจะนิ่งเฉย
ต่อมหันตภัยครั้งนี้สักหน่อย มันไม่มืดบอดไปหน่อยหรือ ที่มากล่าวหากันว่า เสื้อแดงนั้นหาได้มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยแต่อย่างไร
เขาคงลืมไปว่า เสื้อแดงเกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดเมื่อไหร่

คนพวกนี้ มีหน้าที่เขียน แต่เมื่อเขียนด้วยอคติ งานเขียนจึงน่ารังเกียจ ที่สำคัญที่สุด ยังไปแขวะคุณทักษิณ ว่าทำไม ไม่ใช้ศักยภาพ
ความเก่ง ความสามมารถ จนเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อหาทางช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากประสบภัยสึนามิ และโรงงานไฟฟ่าพลังปรมาณู
หรือการที่เดินทางไปปาฐกถาการพัฒนาเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาความยากจนให้กับกัมพูชา

นับเป็นข้อที่น่าทุเรศเป็นที่สุด การเขียน โดยที่ทำเหมือนไม่เข้าใจ ทำเหมือนข้อสงสัยธรรมดา ว่าทำไมคุณทักษิณไม่ช่วยเหลือคนไทยบ้าง
โอ้อนาถแท้หนอ เท่าที่ติดตามข่าวคุณทักษิณก็ ไม่ได้นิ่งดูดาย พยายามให้คำชี้แนะ การแก้ปัญหา อยู่มิใช่หรือ แต่พวกคนอย่างคุณไม่ใช่หรือ
ที่รังเกียจรังงอนคุณทักษิณนักหนา คนอย่างพวกคุณไม่ใช่หรือที่ดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อคุณทักษิณถูกปฏิวัติ และถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
จนต้องระเห็จออกไปอยู่ต่างประเทศ คนอย่างพวกคุณไม่ใช่หรือที่ตำหนิติว่าเสมอ เวลาคุณทักษิณจะให้คำแนะนำอะไร

มาถึงเวลานี้ ยังเอามาเขียนแขวะได้อีกว่า คุณทักษิณมัวไปช่วยประเทศอื่น แต่ไม่ช่วยประเทศไทย ขึ้นต้นลงท้าย งานเขียนของคุณก็ไม่ต่างอะไร
จากกระดาษเปื้อหมึก ที่สำคัญเป้นหมึกสีดำที่อุดมไปด้วยอคติ ดวงตามืดมน

จริงอยู่ คุณอาจเถียงว่า คุณเขียนด้วยทัศนคติส่วนตัว เขียนไปตามที่นึก เขียนไปตามที่เห็น ไม่จำเป็นต้องไปถูกจริตกับคนเสื้อแดง
และไม่จำเป็นต้องชื่นชมคุณทักษิณหรือคนเสื้อแดง ก็ตามเถอะ ฉันก็ขอบอกว่า เมื่อฉันอ่านแล้ว ฉันเห็นแต่อติเต็มข้อเขียนของคุณ
และละเลยไม่ได้ที่จะต้องเอาคุณมาสับต่อในเวปบอร์ด เพื่อให้ท่านอื่นๆที่ไม่ได้อ่าน ได้ทราบเรื่อง และเข้ามยำคุณต่อ คงไม่ว่าอะไรนะ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ใกล้เข้าไปแล้ว

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

คงมีคนเขียนถึงกลอนบทนี้กันมามากแล้ว บ้างก็ว่าไม่ใช่ของเก่า
บ้างก็ว่าไม่ใช่คำทำนายของท่านฤาษีลิงดำ จะอย่างไรก็ช่างเถอะ

อย่างน้อยความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ว่ากลอนนี้อย่างน้อย
ก็แต่งก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ จะชนะการเลือกตั้ง ก่อนที่จะทราบว่า
คุณยิ่งลักษณ์ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ของประเทศไทย

เมื่อคุณยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ จึงไปตรงกับคำทำนาย และยิ่งไปสอด
คล้องกับท่อนที่ต่อมา จนคนเอาไปนินทาว่าร้ายว่า หากมีผู้ปกครองเป็นหญิง
จะเกิดปัญหาทางด้านน้ำ อย่างที่เรากำลังประสบอยู่ แต่แน่นอน หลังฝน
ย่อมมีฟ้าใส ใครๆก็รู้ เป้นสัจจธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่มีทางที่เราจะจม
อยู่ใต้น้ำตลอดไป ไม่มีทางที่ฟ้าจะมืดตลอดไป เมื่อสิ่งเลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไป
เรื่องที่จะตามมาต่างหากที่น่าสนใจ

เพราะตามกลอนทำนายต่อว่า "จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา"
เอาเพียงแค่นี้ก็คงปลอบประโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำ อดทนสู้กับอุทกภัยครั้งนี้ได้
เพราะจากนี้อีกไม่นาน ประเทศเราของจะได้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ
อย่างสมบูรณ์แบบเสียที หลังจากหลอกประชาคมโลกมานานนับ60-70ปี
ว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันแปลว่าประชาเป็นใหญ่ แต่บ้านเรา
กลับมีบางคนใหญ่กว่าประชาเสียอีก สามารถล้มล้างเสียงของประชาชน
เข่นฆ่าประชาชนเพียงเพราะไม่เชื่อฟังอีกด้วย

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา

ส่วนท่อนนี้อ่านแล้วก็เกิดความหวังนะคะ ขอเพียงอย่างเดียวคือต้องมีศรัทธา
จะศรัทธาอะไรเสียอีกละคะ นอกจากศรัทธา และเชื่อมั่นในการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตย ศรัทธาว่าเรานี่แหละมีสิทธิ์ที่จะเลือกใครก็ได้ที่เราคิดว่าดี
มีความสามารถที่จะนำพาประเทศชาติผ่านวิกฤต ไปได้ ไม่ต้องร้องขอเทวดา
คนนี่แหละค่ะทำได้ ทำได้ด้วยแรงศรัทธา ร่วมกันสร้างชาติขึ้นมาใหม่ หลังน้ำท่วมใหญ่
ล้างคราบไคลเผด็จการ ล้างสิ่งสกปรกโสมมที่หมักหมมอยู่ทั่วประเทศให้หมดไป
กับน้ำในครั้งนี้

อย่าลืม"หลังฝน ฟ้าจะใส" เพียงแค่เชื่อ ท่านก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ เพื่อจะพบโลกใหม่
โลกที่ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินเสียที