วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรียนพ.ตงท. สมชาย จ้อ...

ตามที่ท่านได้ตอบกระทู้ เรื่องอนุสาวรีย์ อย่างละเอียดในกท.นี้ http://goo.gl/M7ZU7
ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งมาก เข้าใจดีว่า อนุสาวรีย์ ดีอย่างไร

แต่ต้องไม่ลืมว่า จขกท.ดังกล่าว ตั้งหัวข้อกระทู้ว่า การสร้างอนุสาวรีย์สมควรเป็นภารกิจแรกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ซึ่งข้าพเจ้า ไม่เห็นด้วย จึงได้ตอบกระทู้ไปว่าไม่เห็นด้วย ซึ่งการไม่เห็นด้วย มิได้หมายความว่า จะไม่ชอบอนุสาวรีย์
แต่ไม่เห็นด้วยว่า ควรจะเป็นภารกิจแรก เพราะไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างไร

ปัญหามีอีกมากมายที่จำเป็น และรอให้รัฐบาลชุดใหม่แก้ไข เช่นการสอบสวนนำความจริงออกมาตีแผ่
เยียวยาคนบาดเจ็บและเสียชีวิต อีกทั้งคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว
จะสร้างอนุสาวรีย์ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จะเรี่ยไรเงินประชาชนมาสร้างก็ยังได้ หรือจะประกาศให้เป็นวันหยุดประจำชาติไปก็ยิ่งดี

การมัวแต่มาสร้างอนุสาวรีย์ ในทันที และเร่งด่วน ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ อะไร ถ้าความจริงยังไม่ปรากฎ
ต้องไม่ลืมว่า ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ยังเข้าใจว่า เสื้อแดงเป็นคนผิด การบุ่มบ่ามสร้างอนุสาวรีย์ทันที ย่อมจะ
ทำให้ คนส่วนนั้นขุ่นข้องหมองใจ เมื่อสร้างเสร็จ อาจมีการไปทำลาย หรือแม้แต่ไปถุยน้ำลายใส่ ซึ่งจะกลาย
เป็นชนวนแห่งความขัดแย้งหนักขึ้นไปอีก

ฉะนั้น สู้เร่งทำความจริงให้ปรากฎ ให้ คนทั้งหลาย เข้าใจเจตนาของเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
เรียกร้องสิทธิ์ อันเป็นสิ่งที่พึงมีพึงได้ แต่ถูก ทำร้ายทำลาย จนบาดเจ็บล้มตาย เมื่อความจริงปรากฎ เมื่อนั้น
การสร้างอนุสาวรีย์ ก็จะเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการสร้างอนุสาวรีย์ไม่ควรเป็นภารกิจแรกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่สิ่งที่สำคัญเร่งด่วน ที่ต้องทำในทันทีที่เป็นรัฐบาล คือส่งสัญญาณไปยังศาลว่า รัฐบาลต้องการเห็นการปรองดอง
เริ่มด้วยการให้ประกันตัวคนที่ถูกจับคุมขังทั้งหมดในทันที ไม่ต้องการนิรโทษกรรม แต่ต้องการสิทธิ์
ในการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อออกไปสู้คดีอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม

เพียงแค่นี้ก็จะเป็นการเยียวยาเร่งด่วนเพียงพอแล้ว การช่วยเหลือเงินประกันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่รัฐบาลช่วยได้
เราไม่ต้องการให้รัฐบาลไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่เราต้องการให้ปล่อยตัวทุกคนออกมาสู้คดีต่างหาก

หวังเป็นอย่างมากว่า พ.ต.ท.สมชาย จ้อ...จะเข้าใจเจตนาในการตอบว่าไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์วีรชน
ขออภัยที่เข้ามตอบด้วยการตั้งกระทู้ใหม่แทน เพราะเมื่อเช้าหลังจากตอบกระทู้เสร็จก็ออกไปธุระ กลับมากระทู้เกือบจะหล่นไปหน้าอื่นแล้ว
จะเข้าไปตอบต่อในกระทู้นั้นก็กล้วว่าท่านจะไม่ได้ตามไปอ่าน

ด้วยความเคารพจริงๆ

ปฏิญญาปทุมธานี

ด้วยเมื่อวานไปสุมหัวบ้านนายตำรวจ คุยกันเรื่องการเมือง มีมติออกมาจะเรียกว่าปฏิญญาปทุมธานีก็ย่อมได้ ฮา
เห็นควรว่าต้องรีบแก้รธน.ก่อนเป็นอันดับแรก นัยว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เรื่องพวกที่จะออกมาค้านตามท้องถนน
เห็นว่ายังอยู่ในภาวะอ่อนแรง ตั้งตัวไม่ติด ......รีบทำเสียตอนนี้ ก่อนที่มันจะมีเวลาไปรวบรวมคนมาภายหลัง
เรียกว่า ทำตอนที่คนยังนึกไม่ถึง ระยะนี้ฝนตกบ่อย ม้อบกลัวเปียก ฮา

หากรอไป เพื่อว่าให้คนเห็นผลงาน กลับดูไม่ดี เพราะ เวลาที่เนิ่นนานไป
1.เมื่อมีผลงาน ก็อาจมีข้อให้โจมตีได้ ความพลาดพลั้งย่อมเกิดขึ้นได้ ..

2.เวลาที่เนิ่นนาน มันจะคิดออกว่าจะตีจุดอ่อนตรงไหนดี มีเวลาปั่นหัวคนโง่
คงจะจำได้ว่ากว่าจะสร้างม้อบออกมาป่วนคุณทักษิณได้ ใช้เวลานานนับปี
หาใช่ว่าจะเป่านกหวีดปุ๊บ คนจะออกมาปั๊บ มันต้องใช้เวลากล่อมอยู่นานพอสมควร
จนคนเริ่มคล้อยตาม ครั้งนี้เรื่องอะไรจะไปโง่อีก..ทำในตอนที่ศัตรูอ่อนล้าที่สุด
ทีวีตูดใกล้จอดำ คุมสื่อให้ดี อย่าปล่อยให้พวกมันมีช่องทางออกมาล้างสมองคน ทำเดี๋ยวนี้ทำทันที

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มีเรื่องการให้ประกันตัวเสื้อแดงทุกคนทันที เพื่อให้ออกไปสู้คดี
ดังรายละเอียดจากกระทู้นี้http://goo.gl/SSng3

ส่วนเรื่องอื่นๆที่คุยกัน ไม่เห็นสมควรจะต้องมาประกาศให้ทราบ ฮา

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องความรัก

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ความรักย่อมนำมาซึ่งความสุข สุขทั้งผู้รัก และผู้ถูกรัก
แล้วมันควรแล้วหรือที่จะทำให้คนที่เรารักเดือดเนื้อร้อนใจ

มีคนรักย่อมมีคนเกลียด ไม่มีใครมีแต่คนรัก ดังนั้นการแสดงออกซึ่งความรัก
ที่มีต่อคนคนหนึ่ง จึงต้องคำนึงให้มาก คนเราเมื่อเกลียด ก็ต้องคอยจ้องจับผิด
ไม่ต้องเถียง พวกเราก็เป็น ยิ่งเห็นการเชิญชวนให้รัก การเอ่ยอ้างว่ามีคนรัก
มากมายท่วมท้น พวกเราเห็นได้ยินยังเบือนหน้า ยังแอบแสยะยิ้มพร้อมพึมพัมว่า
พวกเมิงรักกันเข้าไปเถอะ แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้

แต่นายกฯในดวงใจ ไม่มีเกราะแก้วพิศดารคุ้มภัย การตั้งชื่องานวันเกิด
ที่เว่อว่าที่เด็กสมัยนี้เขาเรียกว่าเวิ่นเว้อ รังแต่จะทำให้คนที่เรารักเดือดร้อน

ความรักคือต้องทำให้คนที่เรารัก อยู่ดีมีสุข ไม่ใช่ถูกขุดโคตรเหง้าขึ้นมาด่าทอ
การแสดงความรักโดยไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง รังแต่จะนำมาซึ่งความร้อนใจ
แก่ผู้ถูกรัก ท่านไม่ได้รู้เรื่องเลยด้วยมั้ง แต่ก็ถูกจับจ้องด่าทอเสียแล้ว

ชักไม่แน่ใจว่าคนที่จัดงานชื่อน่ารังเกียจนั้นเป็นคนรักทักษิณจริงหรือเปล่า
เพราะหากรักกันจริง การกระทำอย่างที่รู้ว่าอย่างไรก็ต้องถูกหยิบยกมาด่าทอ
ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ทำเหมือนกับเป็นสายล่อฟ้า ให้ต่างก็โจมตี
แค่จัดงานวันเกิดให้ คราวก่อนก็นับว่าแย่แล้ว (เขาแย่) แต่ไม่ต้องใช้ชื่องาน
บ้าบอขนาดนั้น

คนดีไม่ต้องโฆษณามาก คนเขาก็รู้ว่าดี เขาก็รักเอง แต่การมายกกันเอง
รังแต่จะทำให้คนเขาหมั่นไส้ รังเกียจ เราไม่ชอบที่เขาโฆษณากันอยู่ เราว่ามันเกินเลย
เราก็ไม่ควรทำให้คนที่เรารัก กลายเป็นเหมือนไม่ใช่คนปกติไม่ใช่หรือ?

เขาถึงได้ว่า"การทำลายคนนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ยกให้ขึ้นไปสูงๆ
แล้วค่อยๆเขี่ย เดี๋ยวก็ล้มตกลงมาเอง"

รักคุณทักษิณ อย่าทำลายท่านเลยค่ะ ไม่มีใครอยากเห็นเทวดาอีกแล้วมั้ง
รักและถนอมท่านหน่อย อย่าจ้องทำลายด้วยความรักที่ขาดสติเลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แกงค์กวนตีน

คุณจะแขวนแขวนไปไม่ว่าหรอก
แต่ต้องบอกเหตุผลคนสงสัย
แขวนเอาไว้ไม่กล้าบอกว่าทำไม
จึงเข้าใจเอาเองว่าเฮงซวย

แต่ลงทวิตเตอร์เมื่อคืนล่ะค่ะ พอทราบข่าว มันเหนื่อยหน่ายหัวใจจริงๆเชียว
ฟังอ.สุดา รังกุพันธ์ ไปออกรายการที่นี่ MV 5 เธอก็บอกว่า คน 5คนนี้
มีหน้าที่เป็นกรรมการจัดการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ไม่ได้มีศักดิ์และสิทธิ์อันใด
ที่จะ ตัดสินว่าใครผิด ใครถูก เรื่องต่อไปเป็นหน้าที่ของศาล

เมื่อจัดการเลือกตั้ง ก็หมายความว่า ต้องทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นและดำเนิน
ไปด้วยดี เรารู้ ว่าเขาไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง แต่เมื่อมันมีแล้วก็ต้องทำให้จบ
แล้วต้องจบให้สวย การยึกยัก ประกาศไม่ครบ โดยไม่ประกาศให้ชัดๆไปว่า
คนที่กำลังถูกแขวน โดนแขวนเพราะข้อหาอะไร

รังแต่จะทำให้คนที่เขาเลือกมาแล้วหงุดหงิด อันจะทำให้นำไปสู่การอดรนทนไม่ไหว
เกิดอาการอยากแสดงฤทธิ์ให้ดูเหมือนกัน แต่ก็กลัวจะไปเข้าทางมัน
ที่จะจ้องให้ เกิดความวุ่นวาย เพื่อล้มการเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาปราบปราม
ประชาชนอีกรอบ

ข้อนี้ เราก็รู้กันอยู่ และพยายามอดทนอย่างที่สุดแล้ว แต่การแขวนโดนไม่แจ้งสาเหตุ
มันทำให้หงุดหงิดจริงๆ นี่แค่ใจคนเชียร์ แล้วนึกถึงใจคนที่ถูกแขวน คงยิ่งหัวอกหัวใจ
เจียนระเบิด หากว่าผิดด้วยข้อร้องใด ก็ควรเรียกเจ้าตัวไปสอบถาม แต่นี่ก็เงียบ
ปล่อยให้คิดกันเอาเอง ตอนแรกก็นึกกันว่า เพราะเหล่าแกนนำไปติดคุก
เลยขาดสมาชิกภาพจากพรรคเพื่อไทย ทั้งๆที่มีแกนนำอีกหลายท่านไม่เคยติดคุก

ที่ไหนได้เมื่อวานปล่อยมาอีกขยัก อ๊าว กักคุณณัฐวุฒิ และอีกหลายท่าน
แน่นอนไม่มีคำชี้แจงว่าทำไม สมชื่อ แก๊งค์ว่าแก๊งค์กวนตีนแท้ๆเลย
อยากถามจริงๆว่า พวกมันไม่รู้จริงๆหรือว่า คนเขาจะหงุดหงิด แต่คิดเอาเองว่ามันรู้ แต่ก็ตั้งใจจะทำ
เลยคิดสงสัยต่อไไปว่า เมื่อรู้แล้วยังทำ หวังผลอะไรหรือเปล่า?

รายการเดียวกันข้างบน วันก่อนเชิญ รศ.ดร. บุญทัน ดอกไธสงมาออก
ท่านพูดถูกใจเรื่องนี้ว่า "อันที่จริง คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากประชาชน
เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3กค.เพราะประชาชนเลือกเขาให้มาเป็นผู้แทนแล้ว
โดยการเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องรอการรับรองจากกต."

จะทำอะไรก็รีบทำ อย่ามัวยึกยัก ยั่วประชาชนอยู่เลย หากเกิดความเสียหาย
แค่ห้าหัวคงรองรับตีนที่โกรธแค้นไม่ไหว

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อันสืบเนื่องมาจาก Forward Mail

ด้วยขณะนี้มีการส่งเรื่อง "นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด" ไปตามอีเมลล์ต่างๆ
อ่านดูก็เหมือนจะดี แต่ก็มีข้อกังวลเล็กน้อย จึงขอมาตอบข้อคิด โดยไม่ยกเมลล์มาให้อ่านนะคะ
เนื้อหาก็เป็นอย่างชื่อเรื่องแหละค่ะ

โดยขอตอบดังนี้ ขอประทานโทษ ดิฉันไม่เคยเห็นเบ็ดเลยสักที เห็นแต่ข้องที่เอามาจับประชาชนยัดใส่ มากกว่า
ส่วนนโยบายที่ว่านักการเมืองยื่นปลา ก็เห็นมีแต่พรรคประชาวิบัติเท่านั้น ที่อยู่ดีๆก็เอาเงินมาแจก 2,000บาท ซึ่งเป็นการสูญเปล่า
โดยสิ้นเชิง ยังๆยังมีอีก ไอ้นโยบายชุมชนเข้มแข็ง ที่บังคับซื้อเอาเครื่องกรองน้ำ ดวงไฟจากแสงอาทิตย์ ที่ราคาแพงมหาศาล
มาติดตั้งให้ชุมชน ที่ประชาชนเขาหาได้ต้องการไม่

อ้อ นักการเมืองที่ยื่นปลานั้นเห็นชัดเจนว่าเป็นพรรคที่พวกท่านเชียร์กันสุดลิ่ม ทิ่มประตูแน่ๆ และให้บังเอิญเป็นปลากระป๋องเน่า นมก็บูดเสียอีก
คงลืมกันไปสิท่า แต่ประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่ลืม เขาเลยไม่เลือให้กลับมาสานต่อนโยบายงี่เง่า สร้างแต่หนี้อีกไง

เขาไปเทคะแนนให้นักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองที่มีนโยบายที่สัมผัสได้และเคยทำได้จริงกันท่วมท้น และก็ไม่เห็นว่าจะเป็นการยื่นปลา
แต่อย่างใด เพราะนโยบายโอท้อป ก็สร้างงานสร้างเงินให้ชาวบ้าน ลืมตาอ้าปากได้ กองทุนหมู่บ้าน ก็ทำให้คนคิดเองว่าอยากจะได้อะไร
ทำเรื่องขอกู้ยืมมา แล้วก็ได้ในสิ่งที่ตรงใจ

ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แปลว่าประชาชนต้องเป็นใหญ่ ในหลวงก็ทรงเพียงแค่สัญญลักษณ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ
อย่าเอาท่านมาเปรียบกับนักการเมืองเลย มันไม่เหมาะสม อีกอย่างท่านก็ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว หากเป็นพ่อเป็นแม่เรา อายุขนาดนี้
เราก็จะดูแลท่าน ให้อยู่ดีมีสุข ไม่ดึงท่านออกไปสุ้รบปรบมือกับใครหรอก จริงไหม

การเฝ้าแต่ตำหนิติว่านักการเมืองว่าเลว ไม่ดีต่างๆนาๆ ก็ไม่สามารถจะพัฒนาบุคคลากรทางการเมือง
ให้มีคุณภาพดีขึ้นมาได้ ตราบใดที่เรายังปกครองในระบอบประชาธิปไตย เราต้องสนับสนุนคนดีให้มาทำการเมือง
นักการเมืองเลวย่อมมีอยู่เพราะในสังคมคงจะหาแต่คนดีพร้อมไปทั้งหมดไปไม่ได้ ย่อมมีทั้งคนดีและคนเลว
ปะปนกัน หากยังจำกันได้ ในหลวงทรงเคยมีพระบรมราโชวาทว่า "เราต้องสนับสนุนให้คนดีปกครองบ้านเมือง"
ท่านไม่ได้ทรงเห็นว่า เราไม่ควรให้มีการเลือกตั้งแต่อย่างใด การตั้งแง่ว่านักการเมืองเลว และหวังแต่จะพึ่งพระองค์ท่าน
ก็คงไม่ถูกต้องนัก

ขอบคุณ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อยู่ร่วมประเทศกัน มันก็ต้องกระทบกันบ้าง

เอาง่ายๆก่อนเลย เรื่อง ค่าแรงขั้นต่ำ 300บาทต่อวัน เห็นออกมาตีโพยตีพาย
ว่าทำไม่ได้ ทำแล้วกระทบบริษัท ทำแล้วบริษัทอยู่ไม่ได้

ส่วนนักวิชาการฝั่งโน้นก็ออกมาทันที ไม่ว่าจะต้องทำให้ทั่วถึงกันทั้งประเทศ ลามปามไป
โน่นเลยถึงแรงงานต่างด้าว บ้างก็ตำหนิติว่าต่างๆแล้วแต่จะนึกอะไรมาขัดแย้งได้

ทำให้นึกถึงสำนวนไทยที่ว่า"ติเรือทั้งโกลน"ซึ่งแปลว่า"ติสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จหรือยังไม่รู้ว่าอะไรป็นอะไร"
เป็นการตีตนไปก่อนไข้โดยแท้

การออกนโยบายอะไรมาใช้ในสังคม ก็ต้องกระทบกับคนทุกคน บางคนก็ต้องว่าดี ส่วนบางคนก็อาจได้ผลลบบ้าง(เช่นนายจ้าง)
เพราะเราอยู่ในสังคมเดียวกัน คงไม่มีอะไรที่จะดีกับคนทุกคน ในเวลาเดียวกันได้แน่นอน

บริษัมห้างร้านที่ออกมาโวยวายว่าทำไม่ได้ต้องขาดทุน เลิกกิจการแน่นอน
ก็ทำให้คิดว่าเป็นพวกใจเร็วด่วนได้ มีอคติครอบงำโดยแท้ เพราะพูดออกมา
โดยยังไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ ยังไม่พยายามทำความเข้าใจ ติเอาไว้ก่อน
เพียงเพราะได้รับการโปรแกรมมาว่า ต้องไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย กับรัฐบาลนี้
รัฐบาลที่ไม่ใช่พวกของตัว (เพราะดันไปสนับสนุนทางด้านการเงินเอาไว้มั้ง)
เลยคิดว่าเมื่อเป็นเจ้าของเงินก็ต้องเป็นเจ้าของพรรคด้วย

ดังนั้นเมื่อพรรคที่ตัวสนับสนุนเกิดพ่ายแพ้ ทำให้แผนงานที่คิดจะทำต่อไปก็ต้องพังไป
ไอ้เรื่องจะเจ๊งจริงๆนั้นคงยาก เพียงแต่กำไรที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำ
เพราะเอาเปรียบค่าแรงงานไว้คงจะลดน้อยถอยลง แต่หากตั้งใจรับฟัง
หาหนทางแก้ร่วมกันอะไรๆก็จะดีขึ้นเอง ไม่ใช่ออกมาติเสียตั้งแต่เริ่มเช่นนี้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าบริษัทใหญ่โตเหล่านี้ปรับตัวได้(หากคิดจะปรับ)
หากพวกเขาเชื่อในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่อกแว่ก ไม่เชื่อใน
อำนาจนอกระบบ ไม่นานก็ต้องหันมาปรองดองกับรัฐบาลใหม่ ไม่คอยแต่ตั้งแง่
ตำหนิติเตียน แต่หาก พวกเขายังเชื่อในอำนาจนอกระบบ ก็ต้องคิดว่ารัฐบาลนี้อยู่ได้ไม่นาน
เดี๋ยวก็ต้องไป เลยออกมาตำหนิเพื่อให้เกิดผลงานเข้าตาเสียละมากกว่า

จึงสรุปว่า ไม่มีนโยบายใดที่ไม่กระทบใครเลย เพียงแต่ต้องศึกษาดูว่า
มันกระทบเป็นวงกว้างต่อคนส่วนใหญ่หรือไม่ หากแต่เป็นผลดีต่อคนส่วนใหญ่
ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ถึงกับต้องลืมตาอ้าปากได้ แต่มีความสุข
มีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงน้อยนิด ก็น่าจะยอมๆกันบ้าง

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อีกข่าวที่น่าบันทึก

ธปท.เสนอรัฐบาลใหม่หารือกนง.สัปดาห์หน้า

กรุงเทพฯ : นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า
ธปท. อยู่ระหว่างการติดตามดูการจัดตั้งรัฐบาล และการวางแผนนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ตามที่ได้หาเสียงว่า
ทำได้จริงมากน้อยเพียงใด ซึ่งยืนยันว่าสามารถร่วมงานได้กับทุกรัฐบาล และไม่ว่าใครจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การคลังคนใหม่ก็ตาม แต่อยากให้รัฐบาลใหม่นำนโยบายการคลังของรัฐบาลหลายสมัยที่ผ่านมามาศึกษาด้วย อาทิ มาตรการ
การช่วยเหลือค่าครองชีพ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รายจ่ายสวัสดิการที่เป็นภาระพูกพันตามรัฐธรรมนูญ และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ผ่านสถาบันการเงิน เป็นต้น

“ขณะนี้ฝ่ายนโยบายการเงินธนาคารกำลังรวบรวมนโยบายทางการเงินและนโยบายประชานิยมที่หาเสียง เพื่อมาประเมินผลกระทบจาก
นโยบายต่างๆว่าจะส่งผลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในช่วงต่อไปมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงภาระทางการคลังที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งยังต้องมีการพิจารณาปัจจัยที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศด้วย”

อย่างไรก็ตาม การไหลกลับมาของเงินทุนต่างชาติ ซึ่ง ธปท. จะนำปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ เพื่อพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพการเงิน เปิดเผยว่า ความเสี่ยงด้านการเมืองต่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวลดลง
หลังการเลือกตั้งไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา และการที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าและทำให้ค่าเงินบาทเข็งค่าขึ้นไม่ได้มา จากปัจจัย
การเมืองในประเทศเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งมาจากบรรยากาศในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ที่ผ่านมา

“ส่วนนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจส่งผล ให้เกิดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นนั้น คงต้องรอดูว่าที่สุดแล้วรัฐบาลจะเลือกทำนโยบายใดบ้าง
และไม่ทำนโยบายใดบ้าง แต่สิ่งสำคัญก็ควรช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจเป็นหลัก และการทำนโยบายก็คงไม่สามารถดำเนินการทีเดียวทั้งหมด
จะต้องมีกระบวนการหารือกันถึงความเหมาะสมของแต่ละนโยบาย”

อ่านแล้วกวนตีนมาก เขายังไม่ทันรับราชโองการเลย ใช้ภาษาว่าเรียกมาคุย
ซึ่งที่จริงแล้ว ธนาคารประเทศไทย มีหน้าที่ปรับตามนโยบายรัฐไม่ใช่หรือ
สมัยนายอภิสิทธิ์ ออกนโยบายโง่เง่า ผลาญเงินไปโดยไม่ได้ประโยชน์
ไม่ทราบว่ากนง. เคยทักท้วงบ้างไหม

ปัญหาของรัฐบาลใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่างานจะหินแค่ไหน แต่ที่น่าห่วงกว่านั้น
ก็คือพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่เรียกกันว่าระบบราชการนี่แหละ
ทุกครั้งที่ประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล ก็มักจะคล้อยตามข้าราชการ เพราะไม่มีสมองมัวแต่ไปหากินตามน้ำกันหมด
จนสมัยนายชวนเป็นนายกฯ เขาถึงเรียกว่าเป็นปลัดประเทศ เพราะ คอยนั่ง
รอรับรายงานที่ข้าราชการจะเสนอขึ้นมา แล้วก็เซ็นเอกสาร ข้าราชการเลย
ใหญ่คับบ้านคับเมือง คงเพราะนึกว่าประเทศนี้บริหารโดยข้าราชการ มองไม่เห็นหัว
ประชาชน พอสมัยคุณทักษิณ ปรับให้ข้าราชการ กลายเป็นพนักงานบริษัทเอกชน
ต้องแข่งกันทำงาน เอาใจลูกค้า ซึ่งก็คือประชาชน จึงเห็นได้ว่า สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ
ข้าราชการทำงานขยันขันแข็ง แข่งกันทำงาน ผิดกันลิบกับสมัยประชาธิปัตย์

บันทึกไว้ก่อน

อ่านข่าวเจอ ไตรมาส2ขาดดุล3.72แสนล้าน

กรุงเทพฯ : นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2 ขาดดุลจำนวน 100,616 ล้านบาท ส่งผลให้ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ดุลการคลังภาครัฐขาดดุล 372,000 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 191,995 ล้านบาท หรือลดลง 47.6% โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 654,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 115,718 ล้านบาท หรือ 21.5% จากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

“ทั้งนี้ เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และภาษีของกรมสรรพากร ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้รายได้รัฐบาลสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 58,262 หรือ 16.7% รวมทั้งรัฐบาลได้จัดสรรและโอนเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร็วกว่ากำหนด โดยได้โอนเงินอุดหนุนทั่วไปของช่วงครึ่งปีหลังภายในไตรมาสที่ 2”

สำหรับในส่วนรายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 754,743 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 24,338 ล้านบาท หรือ 3.3% เนื่องจากการเบิกจ่ายของรัฐบาลจำนวน 574,036 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 81,725 ล้านบาท หรือ16.6% เป็นผลมาจากงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2554 สูงกว่าปีงบประมาณ 2553 ถึง 21.7% ส่งผลให้การเบิกจ่ายในไตรมาสที่ 2 เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ภาครัฐบาลมีรายได้ทั้งสิ้น 1,268,782 ล้านบาท (คิดเป็น 11.7% ของ GDP) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 187,985 ล้านบาท หรือ 17.4% ขณะที่รายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 1,641,642 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 303,429 ล้านบาท หรือ 22.7% เนื่อง จากการเบิกจ่ายของรัฐบาลสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 234,100 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุลจำนวน 372,860 ล้านบาท ขาดดุลเพิ่มขึ้น 44.8%

จำเป็นต้องบันทึกเอาไว้ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าเพียงแค่ 6เดือนแรก รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ผลาญเงิญงบประมาณไปแล้วถึงหนึ่งล้านหกแสนสี่หมื่นหนึ่ง พันหกร้อยสี่สิบสองล้านบาท
ทำให้แม้จะจัดเก็บรายได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (ซึ่งคาดว่าคงมาจากภาษีน้ำมัน แต่คนแถลงข่าวกลับเลี่ยงไปบอกว่ามาจากภาษีสรรพสามิต ซึ่งคนจำนวนไม่น้อย
ไม่รู้ว่ามันคือภาษีน้ำมัน)

ดังนั้น เพื่อความยุติธรรมในการเข้ารับตำแหน่ง จึงจำต้องบันทึกความเสียหายที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ทำไว้
จะได้ไม่มีปัญหา ตีโพยตีพาย โบ้ยให้ว่าเป็นความผิดฟลาดของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์

สลิ่มจ๋า....มาดูนี่

ไอ้ที่เต้นเร่าๆกัน น้ำตาท่วมFB หาว่าคนประเทศนี้มันโง่ เลือกพรรคเพื่อไทยมาขาดกว่า100เสียง
จะได้เลิกงอแงเสียที

นี่ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเองนะจ๊ะ คัดลอกมาจากข้อมูล ของพรรคแมลงสาบเลยนะจ๊ะ

พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2489 เป็นพรรคการเมืองที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้
ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย และยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551
มีจำนวนทั้งสิ้น 2,874,860 คน และมีสาขาพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 195 สาขา นับแต่วันก่อตั้งพรรคจนถึงปัจจุบันมีหัวหน้าพรรคมาแล้วรวม 7 คน
ในจำนวนนี้ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย 4 คนคือ พันตรีควง อภัยวงศ์ ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าพรรคคนแรก ดำรงตำแหน่งนายได้ดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีของไทย 4 คนกรัฐมนตรี 4 สมัย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 สมัย นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี 2 สมัย นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

4คนเองนะจ๊ะ อยู่มา 65ปี ได้เป็นนายกฯแค่ 4คนเอ๊ง แล้วแต่ละคนก็มีที่มาแปลกๆนะจ๊ะ
แค่นันยังไม่พอยังมีที่ไปแปลกๆอีกด้วยล่ะ

คนแรกที่ดำรงค์ตำแหน่งนายกฯก็คือคนนี้ พันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี2490 อ๊ะๆ ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งมาเถอะเธอว์
เขาปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลรับเชิญของคณะรัฐประหาร ฟังดูแปลกๆดีนะจ๊ะ อุตส่าห์คุยว่า ตลอดระยะเวลา 65 ปีที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อย่างต่อเนื่อง

พอปี 2518 มี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นได้ไม่นานนัก เขาบันทึกไว้ว่า
เป็นผู้นำคณะรัฐบาลที่มีอายุรัฐบาลสั้นที่สุด คือ 11 วัน ในคณะรัฐมนตรีคณะที่ 38 ระหว่างวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2519
จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 35 ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ยังเป็นคณะรัฐมนตรี
คณะแรกและคณะเดียวจนถึงปัจจุบันนี้ ที่ต้องลาออกเพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรในการแถลงนโยบาย

ในปีเดียวกันนั้นเอง ก็ชนะเลือกตั้งมาอีกสมัย โดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ชนะน้องชายมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มา

ต่อมาก็ไม่ได้เป็นนายกฯอีกเลย เพราะมัวไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรม หลายสมัย (รวม 8ปี)
และร่วมกับพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อีกสมัย แล้วก็ถูกรสช.ไป

การเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2535 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด จำนวน 79 คน และได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
โดยมีนายชวน หลกีภัย เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ได้เ้ข้า้บริหารประเทศเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง จนถึงกลางปี 2538
เหตุการณ์ทางการเมืองได้เกิดพลิกผันอีกครั้ง และนำไปสู่การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

สำหรับสลิ่มที่ไม่รู้ว่าเกิดเหตุพลิกผันอะไรในปีนั้น เพราะพรรคไม่ยอมบันทึกไว้
ก็ขอบอกว่าไม่มีอะไรมากหรอกเพียงแต่ตาชวนแกโดนเรื่องสปก 4-01เข้าไป อยู่ต่อก็ไม่ได้ เลยชิงยุบสภา
ต่อมาก็แพ้ คุณบรรหาร แพ้ พลเอกชวลิต จนพลเอกชวลิตลาออก นายชวนจึงได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง
โดยอาศัยงูเห่าจากพรรคประชากรไทยของคุณสมัคร

หลังจากนั้นมาพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยชนะเลือกตั้งอีกเลย แม้จะคุยว่าได้เป็นรัฐบาล
โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สลิ่มต้องไม่ลืมนะว่าเป็นเพราะเกิดการยุบพรรค
เกิดงูเห่าในพรรคพลังประชาชน โดยนายเนวิน ชิดชอบ ชักชวนสส.จากพรรคพลังประชาชน ไปร่วมยกมือ
โหวตให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ความจริงข้อนี้ อย่าได้ลืมเป็นอันขาด เดี๋ยวจะหลงไหลได้ปลื้มว่าที่นายอภิสิทธิ์
ได้เป็นนายกฯ เพราะชนะเลือกตั้งเข้ามาหากไม่มีงูเห่า นายอภิสิทธิ์ก็คงไม่มีโอกาส เพราะแพ้พรรคพลังประชาชนไปตั้ง65เสียงเลยน้า

พอมาถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด นายอภิสิทธิ์ก็พาพรรคประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้ การเลือกตั้งอย่างยับเยิน
จนต้องบันทึกไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ แพ้ผู้หญิงที่เพิ่งประกาศตัวเล่นการเมือง ในตำแหน่งผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ คนที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย

จากที่เล่ามา สลิ่มควรตะหนักว่า ไม่ควรเสียใจ ตีโพยตีพายที่แพ้พรรคเพื่อไทยไปหรอก
ควรสำนึกว่าพวกเธอว์ เชียร์พรรคผิดนี่จ๊ะ ดั๊นไปเชียร์พรรคที่ไม่ค่อยจะชนะนี่นา
ถ้าเธอว์หันมาเชียร์พรรคที่ชนะมาอย่างสม่ำเสมอเช่นพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อ เป็นพรรคอะไร
ก็ยังชนะขาดทุกทีไป พวกเธอว์ๆ ก็จะได้ไม่ผิดหวังร้องไห้กระจองอแงอย่างนี้ จำไว้

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่องบัตรเสีย

ไม่น่าเชื่อ การเลือกตั้งครั้งนี้ จะสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาหลายอย่าง
แน่นอนปรากฏการณ์ที่ฟ้าถล่มดินทลาย ก็หนีไม่พ้น การที่ประเทศไทย
ได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก มิหนำซ้ำเป็นนายกฯคนที่16ของโลก

ปรากฎการณ์คนออกไปใช้สิทธิ์มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
เท่าที่เคยมีการเลือกตั้งในประเทศนี้ เขาว่ากันว่า คนตั้งใจอย่างมากที่จะออกไปใช้สิทธิ์
ว่ากันว่า เมื่อวันเลือกตั้งล่วงหน้า มีคนที่ไปไม่ทันเลือกตั้งถึงกับหลั่งน้ำตา
ทั้งๆที่วิ่งมาตั้ง 2-3กิโล แต่ก็ยังไม่ทัน

ทีนี้มาดูเรื่องบัตรเสีย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบัตรเสียมากที่สุดจะเกิดขึ้นในเมืองหลวง
เมืองที่ประชาชนคิดว่าตนเองฉลาดล้ำกว่าใครทั้งปวง แต่งวดนี้ทำบัตรเสีย
มากที่สุด มากกว่าจังหวัดสุรินทร์เสียอีก
แสดงให้เห็นว่า คนต่างจังหวัดตั้งใจกาบัตรมาก โอกาสผิดพลาดน้อย
แต่ในเมืองหลวง มันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ

เรื่องของเรื่องเขาว่ากันว่าที่มันผิดมากมาย ขนาดนี้ เพราะความเขลา
เบาปัญญาของคนกทม.เองแหละค่ะ ก็แหมทำสป็อตโฆษณาออกมาเชิญชวนให้ไปใช้สิทธิ์
ขนดาราดังออกมาทำสกู๊ปเชิญชวน ด้วยสโลแกนที่ว่า "เลือกคนที่รัก กาพรรคที่ชอบ"

ทีนี้ พอเข้าคูหา ได้บัตรมาสองใบ ใบแรก เขาว่าให้เลือกคนที่รัก นี่เลย ชูวิทย์ เบอร์ 5
ว่าแล้วก็บรรจงกากากบาทไปที่ช่องหมายเลย 5 (แต่อนิจจา พรรคชูวิทย์ไม่ได้ส่งผู้สมัครแบบสส.) บัตรก็เลยเสีย
พอมาใบที่สอง ให้กาพรรคที่ชอบ อุ๊ยคนกทม. เขาเป็นคนเรื่องมากค่ะ คิดว่าฉลาดกว่าชาวบ้าน
กรูไม่ชอบสักพรรค อย่ากระนั้นเลย กาช่องโหวตโน ดีกว่า(ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร)
ฮาไหมล่ะท่าน นี่แหละคนที่คิดว่าตัวฉลาดกว่าใครเขา แต่โชว์โง่ได้ดีจริงๆ
ขนาดจะเลือกตั้งทั้งที ยังไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร พรรคไไหนส่งใครลงบ้าง สมน้ำหน้า ฮาจริงๆ

ขอบคุณค่ะ

ขอขอบคุณปวงชนชาวไทยที่ช่วยกัน ตัดสินโทษให้รัฐบาลที่สั่งฆ่าประชาชน
ผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า การสั่งฆ่าคนมีคนต้องรับผิดชอบ

ทั้งๆที่พยายามจะใส่ร้ายป้ายสี เอาตัวรอดด้วยการยกเรื่องเผาบ้านเผาเมือง
มาใส่ร้ายป้ายสี ทั้งๆที่ยังไม่รู้ชัดว่าใครเป็นคนทำ(อันที่จริงคนที่ลงคะแนน
ให้พรรคเพื่อไทย ต่างก็รู้ดีแก่ใจแล้วว่าเป็นใครกันแน่)เลยทำการลงโทษ
สั่งสอนด้วยการออกมาเลือกตั้งกันมากมาย มากกว่าการเลือกตั้งทุกๆครั้งที่ผ่านมา

ด่านต่างๆ การโกงสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่การพิมพ์โลโก้พรรค การออกมารุม
การออกมาชี้นำด้วยสารพัดพวก(แต่เผอิญเป็นพวกที่คนรู้ไส้เสียแล้ว)
แล้วเป็นไงคะพอใจผลการเลือกตั้งกันหรือยัง มั่นใจหรือยังว่าประชาชน
เขารู้เท่าทันแล้ว เขาตั้งใจจะออกไปใช้สิทธิ์ เพื่อจะลงโทษ แม้ทางกม.อาจต้องใช้เวลา
แต่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตอกย้ำว่า ตึกไม่ได้สำคัญไปกว่าชีวิตคน

มีทุกอย่างอยู่ในมือ สื่อ อำนาจ แล้วก็ยังไม่รอดผลกรรมที่ทำไว้
นี่ดีว่าคุณชุมพลออกมาบอกก่อนว่าที่เข้าไปร่วมรัฐบาลสั่งฆ่าประชาชนนั้น
ทำไปด้วยความไม่เต็มใจ ไม่อย่างนั้นก็โดนมากกว่านี้ แต่ผลที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต
เคยชนะแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังโดนหางเลขไปด้วย ได้มาพอเป็นกระสาย
เขาคงสั่งสอนว่า แค่ถูกบังคับให้ร่วมรัฐบาล แต่ไม่ถอนตัวออกมาตอนที่สั่งฆ่าประชาชน
ก็ต้องได้รับผลกรรมเสมือนหนึ่งเป็นผู้กระทำด้วย

ขอบคุณจริงๆค่ะ ที่ช่วยกันตัดสินโทษพรรคฆาตกรในครั้งนี้